“เฮียใหญ่!” ไอชิโบกมือเรียกทันทีเมื่อเห็นเฮียใหญ่ของที่นี่เลี้ยวรถเข้ามาจอดในโรงรถ เฟรญ่าจับไหล่ของชายหนุ่มค่อยๆ ปีนลงจากรถไปยืนบนพื้น หันมองวงเหล้าขนาดย่อมนั่งอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าค่ายมวย ตรงนี้คือที่ประจำสำหรับคนที่ยังไม่อยากกลับบ้านหลังเลิกงาน
“เข้าบ้านไป” หันกลับมามองคนตัวสูง ยกมือขึ้นแบส่งไปตรงหน้าเขา
“อะไร”
“ศิราชเอามือถือเฟรญ่าไปยังไม่คืนกันเลยนะคะ”
“อยู่ในบ้าน ฉันโยนไว้บนโซฟา” ลดมือลง มองชายหนุ่มที่เดินผ่านหน้าเธอไปหาไอชิที่โบกมือเรียก หญิงสาวเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เดินกลับเข้าไปในบ้าน ใส่รหัสประตูก่อนจะเปิดเข้าไป
เฟรญ่ามองหามือถือของเธอเป็นอย่างแรก แต่มันไม่ได้อยู่บนโซฟาเหมือนอย่างที่ศิราชบอกเธอ มันถูกตั้งใจวางเอาไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา และลักษณะของมันก็ดูเหมือนจะถูกตั้งใจวางเอาไว้อย่างดีด้วย
ตรงข้ามกับสิ่งที่เขาบอกเธอทั้งหมดเลย
เฟรญ่าอายุห่างจากชายหนุ่มราวๆ ห้าปี เธอเจอกับเขาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เด็กเรียบร้อยที่เลือกเรียนการทำอาหารควบคู่กับการทำขนมแบบเธอ ในช่วงเวลาแบบนั้นไม่เหมาะสมกับคนเถื่อนแบบเขาเลยสักนิด
หญิงสาวย่างก้าวเข้าไปในชีวิตที่แสนเละเทะของชายหนุ่มหนึ่งปีเต็ม ศิราชใช้ชีวิตเหมือนประชดชีวิต เขาทำทุกอย่างที่สังคมไม่ชอบ ตีรันฟันแทงไม่เคยขาด มันพลอยทำให้ชีวิตของเธอตกอยู่ในอันตรายไปด้วย การคบกับเขาก็เหมือนเป็นการฉุดรั้งชีวิตของตัวเองให้ต่ำลง มีกลุ่มผู้ชายดักรอยามเธอกลับห้อง มันอันตรายจนเธอหวาดผวา ความรู้สึกไม่ปลอดภัยทำให้เธอเลือกที่จะหนีไปจากชีวิตของเขา
เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ดึงเธอกลับเข้ามาอยู่ในชีวิตของเขาอีกครั้ง
‘มีแฟนหรือยัง’ เป็นคำถามแรกที่เธอได้ยิน หลังจากพบหน้ากันในรอบหลายปี
‘ยังไม่มีค่ะ’
‘ยังเรียบร้อยเหมือนเดิมนะ แต่ดูซนขึ้นมาก’ จ้องใบหน้าของเธอ จนเป็นเธอเองที่ต้องหลบตาเขา หญิงสาวจำเขาได้แม่น
แฟนคนแรกของเธอ
ชายหนุ่มเป็นครั้งแรกของเธอ ศิราชเป็นคนเข้ามาเปิดประสบการณ์ชีวิตของเธอครั้งแรกทั้งหมด ภาพที่ชายหนุ่มใช้ไม้ฟาดคู่กรณีที่มาดักรอเธอเหมือนจะเอาให้ตายเสียให้ได้ ยังติดตาเธอมาถึงทุกวันนี้ ไม่เคยลืม
‘ศิราชทำแบบนี้เฟรกลัวนะ’ ชายหนุ่มให้พี่ชายของน้ำผึ้ง เสนองานพร้อมกับเงินเดือนที่ดีเกินไปสำหรับเด็กจบใหม่ และเฟรญ่าก็โง่งมเชื่อเพราะไว้ใจพี่ชายของน้ำผึ้ง โดยไม่รู้มาก่อนว่าพี่ชายของน้ำผึ้งเป็นเพื่อนในกลุ่มของศิราช
‘ฉันไม่ได้บังคับเธอมา เธอเลือกที่จะมาทำงานที่นี่เอง’
‘ศิราชคนร้ายกาจ’ ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะเขาต้องการดึงเธอกลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้งต่างหาก
ชายหนุ่มไหวไหล่กับคำพูดของเธอ จ้องหน้าเธอไม่เลื่อนสายตาไปไหน
‘ไม่กลัวเฟรญ่าหนีไปอีกแล้วเหรอคะ’
‘เธอหนีได้เพราะฉันปล่อยให้เธอหนีต่างหากล่ะเฟรญ่า ตอนนี้เธอติดกับแล้ว ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอหนีไปไหนอีก’
ศิราชไม่ได้จำกัดอิสรภาพของเธอ ไม่มีการต่อยตีเกิดขึ้นอย่างที่เธอเคยเห็นในอดีต เหมือนกับว่าครั้งนี้เรากลับมาเจอกันในเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม
หากให้เขาถอดเสื้อจะเห็นรอยเย็บที่กลายเป็นแผลเป็นบนตัวเขา มันเป็นรอยที่ผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนและหลายรอยมาก
วางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะ ดันตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินเท้าเปล่าออกจากบ้านตรงมาหาเขาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ยื่นมือออกไปรับตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
ก้มมองคนตัวเล็กที่น้ำตาเอ่อคลอออกมา
“มีอะไร” กระซิบถามเธอชิดริมหู เฟรญ่ายิ่งเบียดตัวเข้าไปหาเขา ชายหนุ่มยกตัวเธอลอยขึ้นให้ยืนบนเท้าของเขา เพราะหญิงสาวไม่ได้สวมรองเท้าออกมา
“เฟรญ่าเห็นแมงมุมยักษ์อยู่ในห้องครัวค่ะ มันกระโดดเกาะแขนเฟรญ่า”
“โดนกัดหรือเปล่า?”
ส่ายหน้าตอบเขา
“ไม่ค่ะ เฟรญ่าปัดออกเร็ว” พยักหน้ารับ พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยกตัวหญิงสาวขึ้นอุ้ม ใช้ลำแขนแข็งแรงรองรับบั้นท้ายงอนเอาไว้ข้างเดียว พาเธอเดินกลับเข้าไปในบ้าน
กดรหัสเปิดประตูเข้าไป วางหญิงสาวลงบนพื้น เดินผ่านเธอเข้าไปที่ห้องครัว
“ศิราชเจอไหมคะ” เอ่ยถามเมื่อเห็นชายหนุ่มมองหาอยู่นาน ขยับเดินเข้าไปหาเขา มองชายหนุ่มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณที่เธอยืนอยู่
“เจอ” ตอบเธอและใช้ผ้าปัดแมงมุมจนหล่นลงพื้น กระทืบเท้าลงบนพื้น ใช้เท้าเหยียบมันจนเละ หยิบกระดาษทิชชูสองสามแผ่นก้มหน้าลงหยิบมันทิ้งลงถังขยะ และหยิบอีกแผ่นเช็ดน้ำที่ไหลออกมาจากตัวแมงมุมเปื้อนอยู่บนพื้น
“ไปใส่รองเท้าสลิปเปอร์ เดี๋ยวนี้” บอกคนตัวเล็กที่ยังยืนนิ่งเท้าเปล่าอยู่กับที่ เฟรญ่าก็รีบหันไปหยิบรองเท้าสลิปเปอร์ออกมาใส่ทันที
“บอกกี่ครั้งแล้วไม่รู้จักจำ” เขาบอกเธอบ่อยเรื่องการเดินเท้าเปล่าในบ้าน การใส่รองเท้าก็เหมือนเป็นการทำให้อุ้งเท้าสะอาดอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหยียบฝุ่นโดยตรง กันเชื้อโรคหรือเศษอาหารที่มองไม่เห็น
ใส่รองเท้าเสร็จถึงได้เดินเข้าไปหาคนตัวสูงที่ยังอยู่ในห้องครัว
“ศิราชหยิบมาม่าบนชั้นให้หน่อยได้ไหมคะ” เพราะชั้นเก็บอาหารกึ่งสำเร็จรูปอยู่สูง ส่วนสูงเพียงน้อยนิดของเธอจึงไม่สามารถหยิบเองได้ นอกจากจะปีนขึ้นไปบนเคาน์เตอร์ครัวเพื่อหยิบเอง แต่นั่นลำบากเกินไป ในเมื่อเธอมีคนที่ตัวสูงมากอยู่ข้างกาย หญิงสาวก็ไม่จำเป็นต้องลำบาก
เขามองเธอครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมหยิบมาม่าคัพลงมาให้เธอตามที่หญิงสาวร้องขอ
“มีอะไรให้ร้องตะโกนดังๆ”
“ศิราชจะได้ยินเหรอคะ” เพราะในบ้านค่อนข้างเก็บเสียง และเวลาชายหนุ่มออกไปด้านนอก ทุกคนก็คุยกันเสียงดังด้วย
“ถ้าเป็นเสียงเธอ ฉันจะได้ยิน” มองหาสัตว์ประหลาดที่อาจมีหลงเหลือเพียงนิด ก่อนจะผละตัวเดินออกไปจากบ้าน ถึงตัวบ้านจะเก็บเสียง แต่เก็บไม่ได้ทั้งหมด หากเธอร้องเรียกเขาเสียงดัง ชายหนุ่มจะต้องได้ยิน เพราะหูเขาจะโฟกัสเสียงภายในบ้านเป็นส่วนใหญ่ มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่ที่นี่
6 วันถัดมา..เช้าวันใหม่ศิราชวิ่งออกกำลังกายตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เขาวิ่งทว่าเฟรญ่าปั่นจักรยานตาม เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ตอนเช้า และเพื่อไปเที่ยวดูสวนทุเรียนของคุณพ่อด้วยคุณพ่อกับคุณแม่เข้าสวนตั้งแต่เช้าไปดูคนตัดทุเรียน เฟรญ่าจึงถือโอกาสออกกำลังกายขาด้วยการปั่นจักรยานเพื่อไปหาท่านขับมาถึงหน้าสวน ตั้งขายั้งกับพื้น เดินเข้าไปในสวนพร้อมกับศิราช เฟรญ่ามาอยู่ที่นี่เกือบอาทิตย์ เธอยังไม่ได้เข้าสวนทุเรียนสักครั้ง มัวแต่หากิจกรรมทำกับครอบครัว เป็นต้นว่าพาคุณพ่อกับคุณแม่ไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันใกล้ๆ บ้าน ให้คุณพ่อได้ทำความคุ้นเคยกับว่าที่ลูกเขย“เดินดีๆ” มองเฟรญ่าที่เดินเซไปเซมาเพราะพื้นไม่เสมอเรียบเหมือนพื้นปูน “บอกว่าเป็นลูกชาวสวนใครจะเชื่อ” ส่ายหน้ามองเธอ“เฟรญ่าไม่ได้ใส่ผ้าใบมานี่คะ เลยเดินไม่คล่องตัว” ชายหนุ่มจับมือเธอ ตรงเข้าไปหาคุณพ่อ การปรากฏตัวพร้อมกันของทั้งคู่ เหมือนเป็นการประกาศว่าที่ลูกเขยของที่นี่ก็ไม่ปาน“น้องเฟรญ่าของพี่~” เสียงยานเรียกเฟรญ่าดังขึ้นบนต้นทุเรียน “จำพี่ได้ไหมจ๊ะ” บอกตรงจำไม่ได้ แต่เฟรญ่าก็เลือกที่จะอมยิ้มส่งให้ “จำไม่ได้แต่พี่จำน้องเฟรญ่าได้นะจ๊ะ คนสวยของพี่~”
ดินเนอร์มื้อค่ำง่ายๆ เกิดขึ้นหน้าบ้าน ศิราชกับคุณพ่อไม่มีบรรยากาศอึมครึมต่อกัน แถมยังดูเข้ากันง่ายขึ้นเพราะกินเหล้าเหมือนกันชายหนุ่มตักหมูกระเทียมให้เธอเพราะเห็นว่าอยู่ไกลมือ การใส่ใจของศิราชอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งหมด แม้จะมีการดูแลคุณพ่อคุณแม่ของเฟรญ่าเพื่อเรียกคะแนนอยู่บ้าง แต่การดูแลลูกสาวของตนดูออกง่ายมาก ว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติเพราะทำแบบนี้ให้เฟรญ่าบ่อย“เฟรญ่าอยากกินกุ้งหรือเปล่าลูกรัก” คุณพ่อพูดและหันไปมองศิราช “ให้พ่อตักให้ไหม”“เฟรญ่าแพ้กุ้งครับ” ศิราชพูดดักเอาไว้“ฮึ” ยกแก้วเหล้าขึ้นกิน พูดไปงั้นแหละ อยากรู้ว่าเขยจะรู้หรือเปล่าว่าเฟรญ่าแพ้ ดูจากการตอบสนองจากคำถามที่ถามเฟรญ่า สีหน้าก็ออกทันที“ถ้าเฟรญ่ามาอยู่ที่นี่ คงมีหนุ่มจีบตรึม เนื้อหอมมากรู้หรือเปล่า” คุณพ่อพูดกับใครไม่มีใครรู้ เสมือนพูดขึ้นมาลอยๆ“แต่เฟรญ่าชอบศิราชค่ะ” พูดกับคุณพ่อยิ้มๆ ได้รับเสียงหัวเราะจากคุณแม่เป็นการยกใหญ่“คุณก็อย่าแกล้งลูก” คุณแม่หันไปพูดกับคุณพ่อ“แล้วศิราชล่ะชอบลูกสาวพ่อหรือเปล่า ไม่สิรักหรือเปล่า ชอบมันพูดง่ายเกินไป มาเพื่อที่จะขอเฟรญ่าแต่งงานคงไม่ตอบว่าแค่ชอบหรอกใช่ไหม?”เฟรญ่าอมยิ้
“คุณพ่อจะไปไหนคะ” เดินเข้ามาในบ้าน เห็นคุณพ่อสวมเสื้อแขนยาว เหมือนจะออกไปไหน แถมยังโยนเสื้อแขนยาวอีกตัวให้ศิราชอีกด้วย ชายหนุ่มเองก็รับเอาไว้ได้ทัน“จะเข้าสวน พ่อหนุ่มตามมา จะเป็นลูกเขยของชาวสวน ก็ต้องเก็บทุเรียนให้เป็น”“คุณพ่อ…” เรียกท่านเสียงอ่อน มองตามหลังท่านที่เดินผ่านเธอไป ศิราชเองก็สวมเสื้อและเดินตามท่านไปเช่นกันเฟรญ่ากังวล เพราะกลัวว่าคุณพ่อจะทดสอบอะไรแผลงๆ ถึงศิราชจะไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตฟู่ฟ่าหรูหรา แต่เขาก็ไม่เคยลำบาก แถมตอนนี้แดดยังร้อนจัดอีกด้วย ขนาดเธอเป็นลูกเจ้าของสวน เฟรญ่ายังไม่เคยเก็บทุกเรียนเองเลยมันต้องใช้ความชำนาญ ซึ่งมีคนงานคอยทำหน้าที่นี้อยู่แล้วคุณพ่อนะคุณพ่ออยากเดินตามทั้งสองคนไป แต่คุณแม่จับแขนเธอเอาไว้ พร้อมส่ายหน้า“เราซื้ออะไรมาเยอะแยะจ๊ะ พาแม่ไปดูหน่อยสิ เตรียมมื้อเย็นให้ทั้งสองคนนั้นด้วย กลับมาคงเหนื่อยและหิว” มองคุณแม่อ้อนๆ แต่ในเมื่อท่านยังคงส่ายหน้าเฟรญ่าจึงจำยอม เดินตามท่านไปในครัว“ตอนนี้ทำงานอะไร” เปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างคนขับ คุณพ่อของเฟรญ่าใช้รถกระบะขับเข้าไปในสวนที่อยู่ห่างออกไป“เปิดร้านสักครับ มีหุ้นธุรกิจกับเพื่อนอีกนิดหน่อย” ตอบท่านอย่างตรง
สองอาทิตย์ต่อมา..เลื่อนกระเป๋าไปให้ศิราชยกขึ้นท้ายรถ เฟรญ่ายิ้มตั้งแต่ตื่นเช้า เธอทั้งตื่นเต้นมากและยินดีมาก เพราะวันนี้เป็นวันที่ศิราชจะเดินทางไปพบคุณพ่อกับคุณแม่ของเธอท่านเป็นคนต่างจังหวัด และศิราชต้องการขับรถไปเอง แม้จะเหนื่อยหน่อยแต่มันสะดวกต่อการเดินทาง จะแวะที่ไหนก็ได้ระหว่างทาง และเฟรญ่าชอบนั่งรถมากกว่านั่งเครื่องบิน“ไม่ต้องยก” หันมาพูดกับเธอ “พูดไม่ฟังเดี๋ยวโดน” เฟรญ่าย่นจมูกใส่เขา เธอแค่อยากช่วยเขายกกระเป๋าเอง อีกอย่างมันเป็นใบเล็ก“โดนอะไรคะ”“โดนจับจูบ ถ้าไม่อายเด็กในค่ายก็ลองยกอีกรอบ” เฟรญ่าหันไปมองเด็กในค่ายมวยที่มองตรงมายังเธอ ก่อนจะเบือนหน้าหนี“อายค่ะ ไม่ยกแล้ว” ก้าวขาถอยหลัง แต่เฟรญ่ากลับถูกดึงให้กลับเข้าไปชิดตัวเขา “อื้อออ” ชายหนุ่มจูบหนักๆ บนปากนุ่ม“ยิ้มตั้งแต่เช้า ตอนนี้ก็ยังไม่หยุดยิ้ม”“เหมือนคนบ้าไหมคะ” ยิ่งเขาพูดเธอก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น“ไม่เหมือน” ส่ายหน้าตอบ “ไม่มีคนบ้าที่ไหนน่ารักเท่าเธอแล้วเฟรญ่า”“ฮืออออ” วางมือบนแผ่นอกกว้าง ก่อนจะกดหน้าลงเพื่อหลบซ่อนความเขินอายของตัวเองชายหนุ่มปล่อยตัวเธอ ยกกระเป๋าใบสุดท้ายขึ้นรถ ก่อนจะจูงมือเฟรญ่าไปขึ้นรถเพื่อออกเดินท
07.40 น.วางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะ มองคนตัวโตเดินลงบันไดตรงมาที่โต๊ะทานข้าว วันนี้เฟรญ่าทำข้าวต้มเองในครัว ไม่ได้ออกไปทำที่ร้านเฉกเช่นทุกวันชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะดึงเฟรญ่านั่งลงบนตัก เกยคางบนไหล่บอบบาง “วัดไข้ให้หน่อย” จับมือเล็กวางบนหน้าผากเขา “ยังมีไข้อยู่ไหม”เฟรญ่าอมยิ้ม หอมแก้มของชายหนุ่มเป็นการเอาใจคนป่วย “ตัวไม่ร้อนแล้วค่ะ” เมื่อคืนเธอคาดการณ์ว่าเขาอาจไข้สูง แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น หลังจากกินยา อาบน้ำ นอนพัก แปะแผ่นเจลลดไข้ ศิราชก็ไม่ไข้อีกเลย “ตัวเย็นมากเลย”“เพราะเพิ่งอาบน้ำมา” เฟรญ่าพยักหน้ารับ เพราะกลิ่นครีมอาบน้ำยังติดตัวเขาอยู่เลย “ป้อนหน่อย” มองข้าวต้มในถ้วย บอกเฟรญ่าชิดริมหูเฟรญ่าอมยิ้มน้อยๆ นานทีเธอจะเจอศิราชโหมดนี้ ใช้ช้อนตักข้าวต้มเป่าป้อนเขา ศิราชก็อ้าปากรับกินจนหมด วันนี้เขานอนตื่นสายกว่าทุกวัน อยากลุกไปออกกำลังกายตามความเคยชิน แต่ก็โดนเมียตัวน้อยห้ามเอาไว้ แถมยังขู่อีกด้วยว่า หากเขาดื้อ เธอจะขังเขาเอาไว้ในห้องตัวก็แค่นี้ยังมีหน้ามาขู่ ทว่าศิราชก็ยอมทำตาม“วันนี้หยุดทำงานสักวันดีไหมคะ”“เมื่อกี้ฉันมีไข้ไหม” เฟรญ่าส่ายหน้าตอบ “แสดงว่าหายแล้ว”“แต่อาจจะยังไม่
19.00 น.‘มึงอยากให้กูจัดการแบบไหน’ เสียงพูดธิเบศร์ดังผ่านมือถือเข้ามากระทบหูเขา ศิราชถอดถุงมือโยนใส่ถังขยะ เพราะพึ่งสักให้ลูกค้าเสร็จ ทว่ายังไม่เสร็จทั้งหมด ต้องมาทำต่ออีกในวันพรุ่งนี้“แล้วแต่ดุลพินิจ” ตอบเรียบๆ หันไปคว้าเสื้อแขนยาวมาพาดบ่า มองนาฬิกาบนข้อมือเพียงนิด “สองคนนั้นทำร้ายว่าที่น้องสะใภ้มึง”‘…’“น้องสะใภ้คนแรกของมึง”‘เออ’ ตอบรับอย่างหงุดหงิด รู้อยู่หรอกว่าเฟรญ่าเป็นว่าที่น้องสะใภ้ มีใครไม่รู้บ้าง ธิเบศร์เองก็เพิ่งรู้เรื่องว่าพ่อของเขาไปหาว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยตัวเอง ไปดูให้เห็นกับตา“จัดการให้เหมาะสมแล้วกัน”‘ไอ้เวร ทำไมมึงไม่จัดการเองวะ’“หรือมึงจะคอยตามเช็ดให้กู?” ศิราชจัดการเองได้ แต่เพราะเขาละเอียดไม่มากพอ เส้นสายไม่เยอะเท่าธิเบศร์ อารมณ์ร้อนดั่งไฟ เผลอพลั้งมือทำอะไรเกินกว่าเหตุคงไม่ใช่เรื่องดี “จะเอาอย่างนั้นก็ได้ กูไม่มีปัญหา”‘เฮ้อ เดี๋ยวกูจัดการเอง เก็บเงินเตรียมแต่งน้องสะใภ้กูแล้วกัน’“อย่าห่วง เฟรญ่าพร้อมเมื่อไหร่แต่งเมื่อนั้น”‘เออ กูรอดู’สายถูกตัดไป ชายหนุ่มเดินออกจากห้อง มองเฟรญ่าที่นั่งกินผัดไทยอยู่บนโซฟา ดวงตาคู่สวยมองซีรีเกาหลีบนหน้าจอไอแพด โดยมีไอชินั่งเล่น