รถที่เธอนั่งประสบอุบัติเหตุ จนเธอกระเด็นตกน้ำ แต่ก่อนที่จะหมดสติเธอนึกถึงตัวร้ายในนิยายที่ชื่อเหมือนเธอ และทั้งสองยังตกน้ำตายเหมือนกันอีก แต่หลังจากที่เธอฟื้นเธอกลับพบว่าเธอเข้ามาอยู่ในร่างของนางร้าย
View Moreบทนำ
พินัยกรรมของคุณย่า
สายลมฤดูใบไม้ร่วงที่แสนเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านยอดสนโบราณที่ยืนเรียงรายสองข้างทางเดินหินเก่า ๆ บ้านไม้สไตล์จีนโบราณตั้งตระหง่านท่ามกลางความเงียบงันของเมืองชนบทที่แสนห่างไกลจากความเจริญ ดูราวกับหลุดออกมาจากภาพเขียนหมึกของจิตรกรโบราณ
เฟิงเหม่ยหลินสาวสวยจากเมืองหลวง เธอก้าวลงจากรถหรู พร้อมเสื้อคลุมยาวสะบัดตามแรงลมที่พักมาเบา ๆ เธอยืนทอดสายตามองตัวบ้านตรงหน้า บ้านไม้หลังเก่าที่เธอไม่ได้กลับมาเยือนนานนับสิบปี นานจนแทบลืมว่าเคยมีบ้านหลังนี้อยู่
“ย่ายกบ้านหลังนี้ให้ฉันจริง ๆ น่ะเหรอ”
หญิงสาวกระซิบกับตัวเองเบา ๆ ขณะยกมือขึ้นลูบลูกบิดประตูไม้ที่เย็นเฉียบ ก่อนจะเปิดมันเข้าไปอย่างช้า ๆ
ย่าของเธอเสียไปสิบกว่าปีแล้ว แต่พินัยกรรมของท่านเพิ่งจะถูกเปิด ในวันที่เธอเรียนจบปริญญาตามคำสั่งของท่าน และตามพินัยกรรม ย่ายกบ้านหลังนี้และของทั้งหมดที่อยู่ในบ้านให้กับเธอ
บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านหรู ไม่ใช่ตึกระฟ้าใจกลางเมือง เป็นเพียงแค่บ้านไม้หลังเก่า ๆ แต่กลับทำให้หัวใจของเธอเต้นแผ่วอย่างแปลกประหลาด มันคือบ้านเก่าที่เธอเคยมาวิ่งเล่นตอนยังเด็ก เมื่อตอนที่พ่อแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่
ภายในบ้านมีฝุ่นจับแน่นทุกมุม โต๊ะเตี้ย ชุดน้ำชาเก่ากระจัดกระจาย และกลิ่นไม้แห้งผสมกลิ่นเย็น ๆ จาก เฟอร์นิเจอร์ไม้เก่า ๆ เธอเดินสำรวจบ้านเก่าทีละห้อง จนกระทั่งมาถึงห้อง ๆ หนึ่ง ห้องที่เธอจำได้ลาง ๆ ว่าย่าหวงมาก
“นี่สินะห้องที่ย่าเคยห้ามฉันเข้า” เธอมองประตุนั่นสักพัก ก่อนจะเอื้อมมือไปบิดที่ลูกบิดประตู แต่มันก็ไม่สามารถเปิดออก
ประตูห้องนั้นยังคงปิดสนิทและล็อกจากด้านใน แต่กุญแจดอกเก่าในซองจดหมายที่ย่าให้เธอไว้ ยังคงใช้งานได้เธอไม่ลังเลที่จะไขมันออก เสียงลั่นของประตูดังขึ้น
ก่อนที่บานประตูจะเปิดออก พร้อมกับสายลมแปลกประหลาดที่พัดสวนออกมาปะทะใบหน้าของเธอ ฝุ่นยังคงหนาเพราะขาดการทำความสะอาจมานาน แต่มีบางสิ่งกลับดูสะอาดจนน่าประหลาดใจ
ภายในห้องมีชั้นหนังสือไม้โบราณ ที่เต็มไปด้วยตำราเล่มหนา บันทึกเก่า ภาพถ่ายเก่า และหนังสือเพียงเล่มเดียวที่โดดเด่นที่สุด ปกดำด้าน ตัวหนังสือสีทองที่จางหายจนแทบมองไม่เห็น
“รักใต้จันทรา ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่” เธอหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา แล้วอ่านชื่อของมันด้วยเสียงเบา ๆ
ถ้าเธอจำมันไม่ผิด เธอเคยเห็นย่าของเธออ่านหนังสือเล่มนี้และท่านรักหนังสือเล่มนี้มาก ท่านเคยบอกว่าชื่อของเธอเหมือนกับหนึ่งในตัวละครของเรื่องนี้
เธอถือหนังสือเล่มนั้นติดมือออกมาโดยไม่รู้ตัว เหมือนแรงดึงดูดบางอย่างบอกกับเธอว่าให้ “เอาไป” แล้วเธอก็ทำตาม
ที่เบาะหลังของรถ กลายเป็นมุมสงบของเฟิงเหม่ยหลิน หญิงสาวนั่งไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งกอดเสื้อคลุมไว้หลวม ๆ ขณะที่มืออีกข้างลูบหนังสือเล่มเก่าปกดำที่เธอเพิ่งได้มาจากบ้านของย่าอย่างเบามือ
“รักใต้จันทรา” ชื่อที่ดูเรียบง่าย แต่ชวนให้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้ง
กลิ่นของกระดาษเก่าและหมึกพิมพ์แบบโบราณลอยขึ้นมาจาง ๆ เมื่อเธอเปิดหน้าแรก
“ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ดอกเหมยแรกแย้มในจวนแม่ทัพใหญ่”
เสียงบรรยายในใจเริ่มดังก้อง พร้อมภาพในหัวของเธอที่คิดภาพหญิงสาวที่นั่งปักผ้าอยู่กลางสวน
ตัวละครเอก ซูเยี่ยน บุตรสาวบุญธรรมของอดีตท่านแม่ทัพที่มีหัวใจบริสุทธิ์และใบหน้าอ่อนโยน ราวกับเทพธิดาในภาพวาด
เฟิงเหม่ยหลินเลิกคิ้ว “แน่นอนตัวนี้ต้องเป็นนางเอกที่แสนดีตามพล๊อตเรื่องทั้วไปแน่ๆ” เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนจะเปิดอ่านหน้าต่อ ๆ ไป
ถัดจากนั้นไม่กี่หน้า ตัวละครชายคนแรกก็ปรากฏ องค์ชายสาม หลี่อวี้เหิง เย็นชา ฉลาด หยิ่งทระนง และ หล่อบัดซบ
“นางผู้นี้ เจ้าคิดว่าเหมาะกับตำแหน่งชายาของข้าหรือไม่”
เขาพูดกับขันทีในขบวนรถม้า ขณะมองซูเยี่ยนจากเงาผ้าม่าน แน่นอน นางไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกจับตามอง เธอก็แค่ช่วยชาวบ้านเก็บตะกร้าผลไม้ที่หล่นพื้น
“แหม พระเอกแบบเดิม ๆ เลยสินะ ทำหน้าขรึมแต่แอบตกหลุมรักตั้งแต่เห็นหน้ากันครั้งแรก”
เฟิงเหม่ยหลินกลอกตาบ่นออกมาเบา ๆ แต่ก็ยังคงอ่านต่อ
จากนั้นอีกไม่กี่หน้า ก็ถึงฉากแรกของ “นางร้าย” ที่โผล่มาอย่างอลังการในงานเลี้ยงของจวนแม่ทัพ
เฟิงเหม่ยหลิน บุตรสาวตระกูลใหญ่ ผู้มากด้วยยศศักดิ์ งามหยดย้อย แต่นิสัยแสนร้ายกาจ
“หญิงต่ำต้อยเช่นนั้นน่ะหรือ สมควรยืนข้างองค์ชาย”
เธอกล่าวพลางยกพัดขึ้นปิดครึ่งใบหน้า รอยยิ้มเยาะในดวงตาเด่นชัดยิ่งกว่าบนริมฝีปาก แม้จะไม่มีคำพูดหยาบคาย แต่สายตาก็แทงใจจนซูเยี่ยนสะอึกไป
เฟิงเหม่ยหลิน (ตัวจริง) หลุดหัวเราะพรืด
“โอ๊ย นี่มันฉันเหรอ ร้ายจัด นี่มันนางร้ายสูตรสำเร็จชัด ๆ” เธออดหัวเราะออกมาเบา ๆ กับความร้ายของตัวร้ายไม่ได้
แต่ความรู้สึกสนุกเริ่มถูกแทนที่ด้วยความไม่พอใจ เมื่ออ่านต่อไปเรื่อย ๆ
ไม่ว่าจะกี่บท “เฟิงเหม่ยหลิน” ในนิยายก็ไม่เคยชนะซูเยี่ยนได้เลย เธอพ่ายแพ้ทั้งในสนามสังคม และหัวใจขององค์ชาย
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เธอคิดแผนแกล้งนางเอก ก็จะมีคนคอยขัดขวางเสมอ ไม่ใช่องค์ชายแต่เป็น แม่ทัพหนุ่ม ผู้อบอุ่น เยือกเย็น และเที่ยงธรรม
แม่ทัพซูหมิงเฉิน พระรองผู้น่าหลงใหล ทั้งแข็งแกร่ง ทั้งอ่อนโยน ฉลาด รักความถูกต้อง และปกป้องนางเอกแบบสุดตัว
เขากระชากข้อมือเฟิงเหม่ยหลินก่อนจะบีบแน่นไว้ในบทหนึ่ง “หากยังกลั่นแกล้งซูเยี่ยนอีก ข้าจะไม่ไว้หน้าแม้เจ้าจะเป็นธิดาเสนาบดี”
เฟิงเหม่ยหลินคนอ่าน กำหมัดแน่น
“หา แบบนี้มันเกินไปไหมวะ นางร้ายผิดก็จริง แต่ทำแบบนี้รุนแรงไปไหมแม่ทัพ” เธอบ่นออกมาอย่างรู้อินในตัวละคร
“แล้วดูซูเยี่ยนสิยืนน้ำตาคลอ เหมือนจะเป็นลมตลอดเวลา ตามบทนางเอกผู้อ่อนแอจริง ๆ” เธอบ่นแต่ก็ยังคงอ่านต่อ
“พระเอกก็รักนางเอก พระรองก็รักนางเอก แล้วนางร้ายละจะมีใคร แต่ก้ร้ายซะขนาดนั้นจะมีใครสนใจละ” เธอพลิกหน้ากระดาษแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์ความอิน
และพบบทสรุปของเฟิงเหม่ยหลินว่าเธอจบชีวิตด้วยการตกน้ำตาย ระหว่างแผนลักพาตัวนางเอก รถม้าที่เธอใช้เกิดอุบัติเหตุ ตัวเธอเองพลัดตกจากรถม้า จมหายไปในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวและเย็นยะเยือก โดยไม่มีใครคิดจะช่วย
หลังอ่านมาถึงตรงนี้ ความเงียบในรถแน่นิ่งลงไปชั่วขณะ เฟิงเหม่ยหลินปิดหนังสือลง เสียงฝนตกปรอย ๆ กระทบกระจกรถดังเปาะแปะ
“โห ตายแบบไม่มีใครคิดไปช่วยสักคนเหรอ” เธอบ่นออกมาเบา ๆ “โดนเขียนบทให้เป็นตัวร้ายขนาดนี้เลยสินะ”
เธอพิงเบาะรถ ถอนหายใจ แล้วสบตาเงาของตัวเองที่สะท้อนในกระจกหน้าต่างรถ
“แต่ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะไม่แย่งพระเอกหรอก จะปล่อยให้พวกนางรักกันไปให้พอใจเลย” เธอพูดกับตัวเองเบาๆ
“ฉันจะไปจีบพระรอง ผู้ชายดี ๆ แบบนั้น สมควรได้รับความรักคืนบ้างเหมือนกันหรือไม่ก็อยู่เงียบ ๆ ในจวนของตัวเอง แล้วทำตัวเป็นคุณหนูผู้เย่อหยิ่งดีกว่า”
เธอบ่นพร้อมกับมองไปที่ข้างนอก ตอนนี้รถกำลังวิ่งข้ามสะพานวันนี้พระจันทร์เต็มดวง ภาพของพระจันทร์ดวงโตที่สะท้อนบนพื้นน้ำทำเอาเธอละสายตาไม่ได้
“คุณหนูระวัง”
แต่แล้วก็มีเสียงเบรกรถกะทันหันดังขึ้น รถไถล เสียงคนขับร้องตะโกน เฟิงเหม่ยหลินถูกเหวี่ยงไปข้างหน้า
โลกหมุนคว้าง รถไถลอย่างรุนแรง ล้อหน้าทิ้งรอยยาวบนพื้นถนนที่เปียกชื้น ก่อนจะพุ่งชนราวสะพานอย่างแรง โครม
ร่างของเฟิงเหม่ยหลินปลิวขึ้นจากเบาะ คนทั้งคนกระเด็นออกนอกตัวรถในวินาทีที่กระจกด้านข้างแตกกระจาย ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะตั้งสติได้ เธอรู้เพียงว่าเธอกำลังร่วงลงมา
ลมหายใจถูกดึงออกจากปอด ร่างทั้งร่างลอยคว้างกลางอากาศ เสียงของโลกภายนอกเงียบงัน มีเพียงเสียงหัวใจของเธอเองที่เต้นรัวอย่างหนักหน่วง
สายฝนเย็นเฉียบฟาดหน้า ภาพเบื้องล่างคือสายน้ำกว้างใหญ่สีคล้ำดำที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวินาที
“นี่ฉันกำลังจะตกน้ำเหรอ”
มันคือความจริงที่สมองยังไม่ทันประมวลผล แต่ร่างกายกลับรับรู้ก่อนแล้ว ปลายนิ้วเธอสั่น หน้าท้องหดเกร็ง ดวงตาเบิกโพลง
“เหมือนฉากนั้นเลย” เธอคิดในใจ “เฟิงเหม่ยหลิน ในนิยายก็ตกน้ำตายเหมือนกัน”
หัวใจของเธอเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ราวกับลางบอกเหตุ เสียงสุดท้ายที่แว่วอยู่ในหัวไม่ใช่เสียงคนขับรถที่ตะโกนเรียกเธอ ไม่ใช่เสียงลม แต่เป็นประโยคในหนังสือที่เธอเพิ่งอ่านไปไม่กี่นาทีก่อน
“เฟิงเหม่ยหลิน กระเด็นตกจากรถม้า พลัดจมหายไปในแม่น้ำ และไม่มีใครตามไปช่วย” เพราะไม่มีใครรักนางเลยแม้แต่คนเดียว
ทันใดนั้น ตูม!!
ร่างของเธอกระแทกผิวน้ำ เสียงดังปานสายฟ้าฟาด แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นความเย็นเยียบ น้ำทะลักเข้าสู่รูจมูก ปาก และหู เธอตะเกียกตะกายพยายามลอยขึ้น แต่ขาทั้งสองข้างกลับเหมือนถูกพันธนาการด้วยอะไรบางอย่าง
ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ความเย็นกัดกินเนื้อหนัง ความมืดโอบล้อม เธอมองไม่เห็นสิ่งใด แขนเหวี่ยงไปมาในน้ำโดยไร้ทิศทาง เธอพยายามจะตะโกน เรียกใครสักคน แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
“นี่ฉันกำลังจะตายจริง ๆ เหรอ” เธอคิด
“จุดจบของฉันจะเหมือนนางร้ายคนนั้นจริง ๆ งั้นเหรอ”
เธอคิดถึงหน้าตัวเองในกระจกเมื่อครู่ คิดถึงชื่อที่บังเอิญซ้ำกัน คิดถึงนิยายที่หยิบออกมาจากห้องเก็บของในบ้านย่า
คิดถึงตอนที่ตัวเองพูดเล่น ๆ ว่าอยากจะจีบพระรองแทน“พระรองที่แสนดีคนนั้น เขาจะช่วยฉันเหมือนช่วยซูเยี่ยนไหมนะ”
ภาพของแม่ทัพซูหมิงเฉินลอยเข้ามาในหัวอย่างไร้เหตุผล ทั้งที่เขาเป็นแค่ตัวละครในหนังสือ รอยยิ้มอ่อนโยนสายตาเด็ดขาด น้ำเสียงหนักแน่น
“แม่ทัพ ช่วยฉันด้วย”
เสียงในใจเงียบหาย เธอมองเห็นแสงจันทร์ริบหรี่เหนือผิวน้ำ แล้วทุกอย่างก็มืดดับลงในวินาทีนั้น
ตอนที่ 20คำปลอบใจจากแม่ทัพแสงแดดยามเช้าส่องลอดม่านผ้าของรถม้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา ทอแสงอบอุ่นให้กับบรรยากาศเงียบงันภายในเหม่ยหลินนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของเบาะรถม้า ใบหน้าเรียบเฉย สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เช้า ไม่แม้แต่จะสบตากับใคร แม้ซูเยี่ยนและเหวินซีจะพยายามพูดคุย เปลี่ยนเรื่องเล่า หรือหยอกล้อคลายความตึงเครียด แต่เธอก็ยังคงนิ่งเหมือนวิญญาณบางส่วนของเธอ ยังคงติดอยู่ที่บ้านร้างเมื่อคืน“เหม่ยหลิน” เสียงของซูเยี่ยนดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่จับมือเธอไว้แน่น “เจ้าทำเพื่อช่วยข้า ข้ารอดเพราะเจ้า”แต่เหม่ยหลินกลับค่อย ๆ ก้มหน้าลงมองมือของตนเอง ที่แขนเธอยังมีผ้าพันแผลสีขาวสะอาดหุ้มบาดแผลเอาไว้เธอขยับริมฝีปากช้า ๆ “ข้าฆ่าคนไปแล้วจริง ๆ” เสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจน ราวกับลมที่พัดผ่านกลางใจคนทั้งรถม้าซูเยี่ยนชะงัก หันไปมองเหวินซี ก่อนทั้งสองจะพุ่งเข้ากอดเธอแน่นในเวลาเดียวกัน“เจ้าทำไปเพราะไม่มีทางเลือก เพราะเจ้าปกป้องพวกข้า” เสียงทั้งสองคนดังสลับกัน พยายามกล่อมความรู้สึกในใจของหญิงสาวผู้กำลังสั่นเทาอยู่เงียบ ๆและเมื่ออ้อมกอดอบอุ่นโอบเธอไว้ สิ่งที่เธอกดไว้ในใจมาต
ตอนที่ 19 โจรป่าบุกเสียงฝนที่เคยซัดสาดตลอดคืนเริ่มเบาลงจนกลายเป็นเสียงพรำเบา ๆ ก่อนจะหยุดลงในที่สุด เหลือเพียงกลิ่นดินเปียกชื้นที่โชยเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ผุพังท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน ภายในบ้านร้างหลังเก่าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หลับใหลบนที่นอนที่ทำอย่างง่าย ๆ กลับมีเพียงชายคนหนึ่งที่ยังคงลืมตาหมิงเฉิน ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในเงามืด ใกล้กับองค์ชายอี้เหิง สายตาของเขาหลุบต่ำอย่างใจเย็น แต่ในความนิ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงตื่นตัว เขาเคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขารู้จัก “ความเงียบผิดปกติ” ได้ดีเสียงฝีเท้าเบา ๆ แว่วมาแทบจะไม่ต่างจากเสียงฝนหยด แต่สำหรับเขา มันชัดเจนราวกับเสียงฟ้าร้อง“มีคนกำลังมา” เขากระซิบเบา ๆ ให้กับอี้เหิง ก่อนจะขยับมือทำสัญญาณไปทางทหารองครักษ์ที่อยู่อีกฝั่งทันใดนั้น กลุ่มทหารเริ่มตื่นตัวอย่างเงียบเชียบ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปจับด้ามดาบ แต่อีกข้างยังไม่ยกขึ้นรอคำสั่งหมิงเฉินขยับลุกขึ้น ก่อนจะเดินเบา ๆ ไปยังมุมที่เหล่าหญิงสาวนอนอยู่ เขาหยุดอยู่หน้าเหม่ยหลิน และโน้มตัวลงแตะไหล่เธอเบา ๆเธอลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ทันทีที่เห็นแววตาจริงจังของเขา เธอก็เงียบลง“ท่านมีอะไร” เธ
ตอนที่ 18ขี่ม้ากลับเมืองหลวงแสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องผ่านกลุ่มแมกไม้สองข้างทาง ถนนที่ทอดยาวจากเมืองเจียงหลินกลับสู่เมืองหลวงเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าม้าเป็นจังหวะและเสียงล้อรถม้าที่บดไปตามทางดินแต่ที่เป็นจุดสนใจที่สุดกลับไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฟิงเหม่ยหลินหญิงสาวนั่งอยู่บนหลังม้าศึกตัวใหญ่ขององค์ชายสามจริง ๆ ม้าสีดำขลับสูงใหญ่ แข็งแกร่งแม้จะไม่ได้พยศ แต่ก็ไม่ใช่ม้าสำหรับสุภาพสตรีเลยแม้แต่น้อย ทว่าภาพที่เห็นกลับช่างเหมาะเจาะหญิงสาวในชุดคุณหนูตระกูลใหญ่ ปักลวดลายอย่างประณีต เธอนั่งอยู่บนเบาะม้าอย่างมั่นคง ผมยาวถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยกเรียบ ๆ แต่กลับดูสง่างามเกินใคร ริมฝีปากทาสีอ่อนเฉดชมพูระเรื่อ รับกับใบหน้าเรียวที่ไม่ต้องยิ้มก็ตรึงสายตาคนได้ทั้งขบวนท่าทางการนั่งหลังตรงนั้นไม่ได้บ่งบอกความอ่อนช้อยตามแบบคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แต่กลับแฝงความ นิ่ง เรียบ และเย่อหยิ่งอย่างเงียบงันคนมองไม่อาจละสายตาได้ไม่เว้นแม้แต่พวกสาวใช้ที่เดินตามขบวนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นภาพนั้นเข้าพวกนางก็เริ่มมีเสียงซุบซิบกันขึ้นมาเบา ๆ“คุณหนูเฟิงนั่งบนหลังม้าขององค์ชายสามเชียว นั่นม้าศึกนะ”“นางคงยั่วยวนองค์ชายจ
ตอนที่ 17 มีคนมาสู่ขอเช้าวันถัดมา ท้องฟ้าโปร่งใส ลมเย็นพัดเบา ๆ แต่บรรยากาศสงบในยามเช้ากลับถูกรบกวนด้วยเสียงจอแจของผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาที่หน้าจวน ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายงดงาม พร้อมด้วยบุตรชายทั้งหลายที่ถูกแต่งตัวเสียจนแทบไม่เหลือเค้าของลูกชาวเมือง“คุณหนูเฟิงออกมายังเจ้าคะ” เสียงของหญิงกลางคนพวกนั้นถาม“ลูกข้าร่ำเรียนที่สำนักหลวง ท่านหญิงลองคุยดูได้นะเจ้าคะ”“ลูกชายข้าเองก็เพิ่งสอบได้ที่หนึ่งในเมือง”เสียงเหล่าแม่ ๆ ดังอื้ออึงจนข้ารับใช้ในจวนต้องรีบมาตามพวกเธอออกไปดูเหม่ยหลินที่ยังงุนงงกับบรรยากาศก็เดินออกมาที่หน้าจวนพร้อมกับหมิงเฉินและซูเยี่ยน ทันทีที่หญิงสาวก้าวออกมาจากประตูหลัก สายตาทั้งหมดก็จับจ้องมาที่เธอราวกับเจอเป้าหมายทองคำ“นั่นนางใช่หรือไม่”“ใช่จริง ๆ ด้วย นางสวยมาก สวยกว่าที่ข่าวเล่าอีก”“ใช่ และนางช่างดูสง่างาม”เหม่ยหลินเบิกตากว้างก่อนจะชะงักเท้า เหล่าบรรดาแม่ ๆ พร้อมลูกชายเริ่มพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประหนึ่งกำลังจะเข้าร่วมงานเลือกเขยหลวงเธอเบี่ยงตัวถอยหลังทันที ก่อนจะหันขวับไปมองหมิงเฉิน แล้วพึมพำอย่างร้อนรน“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
ตอนที่ 16ความสามารถที่คาดไม่ถึงแสงแดดอ่อนยามสายส่องลอดต้นไม้ใหญ่ข้างทางสาดเข้ามาในรถม้าเป็นระยะ รถม้ายังคงเคลื่อนไปบนเส้นทางผ่านป่าเขา บนถนนที่เต็มไปด้วยก้อนหินและหลุมบ่อจนนั่งแทบไม่ติดเบาะเฟิงเหม่ยหลินเอนหลังพิงเบาะไม้ พลางถอนหายใจยาว นางหลับตาอย่างอ่อนล้า ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว“เมื่อไรจะถึงกันนะ ข้าอยากลงไปเดินเสียให้รู้แล้วรู้รอด”ซูเยี่ยนที่นั่งข้าง ๆ อดยิ้มขำไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อดทนอีกนิด พรุ่งนี้ก็ถึงเมืองเจียงหลินแล้ว เจ้าเก่งอยู่แล้วนี่ เหลือแค่อึดใจเดียวเอง”เหวินซีที่นั่งฝั่งตรงข้ามหยิบพัดขึ้นมากางด้วยท่าทางสบาย ๆ ก่อนจะหรี่ตาลง“เฟิงเหม่ยหลินคนเมื่อวาน ที่ตบคุณหนูจนทรุดไปนอนกองอยู่กับพื้นนั่นหายไปไหนแล้วนะ หรือว่าตัวจริงคือเฟิงเหม่ยหลินขี้บ่นคนนี้กันแน่”เหม่ยหลินลืมตาช้า ๆ หันขวับไปมองเหวินซีด้วยแววตานิ่งสนิท ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดจากริมฝีปากของนาง เพราะในตอนนี้เธอเวียนหัวเกินกว่าจะเถียงกลับได้“…”ซูเยี่ยนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ก่อนจะยื่นน้ำให้เหม่ยหลิน “เจ้าหลับไปสักหน่อยดีไหม เดี๋ยวถึงที่พักจะได้มีแรงเดินเล่น”เหม่ยหลินเพียงพยักหน้าเบา ๆ พลางรับถ้วยน้ำไปจิบช้า
ตอนที่ 15เสียงบ่นระหว่างเดินทางเสียงฝีเท้าม้าชะลอลงพร้อมกับเสียงโบกมือสั่งของทหารหน้าขบวน“หยุดพักที่นี่ครึ่งชั่วยาม”รถม้าหลายคันค่อย ๆ จอดเรียงรายใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทาง มีเสียงนกเบา ๆ จากลำธารใกล้ ๆ ดังคลอไปกับเสียงแมลงยามเย็น สายลมพัดแผ่วจนชายผ้าคลุมบางสะบัดพลิ้วเหม่ยหลินก้าวลงจากรถม้าด้วยความโล่งอกสุดหัวใจ “ข้านึกว่าข้าจะตายคารถม้าแล้วจริง ๆ”ซูเยี่ยนลงตามหลังมาก่อนจะหัวเราะ “ถ้าเจ้าบ่นแบบนี้อีกวันนี้ข้าคงหูชาแน่”เหวินซีเดินถือพัดเข้ามาสมทบ “แต่ก็ดีที่พักตรงนี้ มีลำธารใกล้ ๆ ข้าเองก็อยากล้างหน้าเสียหน่อย”“เจ้าจะตามข้ามาไหม” ซูเยี่ยนหันมาชวนเหม่ยหลิน“ข้า” เธอลังเลนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ก็ได้ แต่อย่าลากข้าลงไปเล่นน้ำก็พอ”ซูเยี่ยนหัวเราะคิก “เจ้าชั่งรู้ใจข้าดีเหลือเกิน”ทั้งสามเดินแยกออกไปที่ลำธาร ปล่อยให้เหล่าทหารจัดเตรียมจุดพัก จัดเวรยาม และจุดเตาถ้วยน้ำชาหลังล้างหน้าและเปลี่ยนลมหายใจให้สดชื่น เหม่ยหลินก็แยกตัวออกมาเล็กน้อย เดินไปนั่งยังโขดหินริมน้ำ ละสายตาไปยังผิวน้ำที่ไหลเอื่อย สะท้อนแสงเย็นยามตะวันใกล้ตกดินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นทางด้านหลัง ก่อนที่หมิงเฉินจะเดินมาหย
Comments