หนิงเหมยลากหมูป่าลงจากเขาด้วยอาการหอบแฮ่กๆ แต่ยังดีที่เธอมีน้ำวิเศษให้ดื่มเวลาที่เธอเหนื่อยล้า
พูดแล้วก็ดื่มอีกสักหน่อยดีกว่า อึก! อึก!
‘อ่าย! ค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย’ พูดจบหนิงเหมยก็เก็บกระบอกน้ำไม้ไผ่เก็บใส่ตะกร้าสะพายหลังทันที
ก่อนที่จะค่อยๆ ลากเจ้าหมูป่าจอมตะกละนี่กลับบ้านตัวเองต่อไป!
“หนิงเหมย น…นี่ นี่เธอล่าหมูป่ากลับมาได้เลยเหรอ?!” หนึ่งในชาวบ้านที่เห็นเธอลากหมูป่ากลับบ้านก็เอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
“โฮ่ะๆฉันแค่บังเอิญโชคดีน่ะค่ะ หมูป่าตัวนี้มันตะกละฉันเดินเข้าไปใกล้มันยังไม่รู้ตัวเลยค่ะ ฉันก็เลยฆ่ามันได้ง่ายๆ เลย ”
ชาวบ้านที่ได้ยินคำพูดของเธอก็ถึงกับทำหน้ากันไม่ถูกเลยทีเดียว นี่มันอะไรกันการล่าหมูป่าได้เพราะหมูป่าตะกละเนี่ย!
นี่มันช่าง! ทำไมพวกเขาขึ้นเขาตั้งบ่อยครั้งทำไมถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้างเล่า! หรือเพราะพวกสามีของพวกเธอจะโง่กว่าหมูป่าตัวนี้กัน?
“เธอพูดจริงเหรอเนี่ย แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ?! ”
หนิงเหมยเกาแก้มแก้เก้อเพราะเธอก็ไม่รู้จะเอ่ยแถอะไรออกมาแล้วล่ะ จึงได้แต่ตอบออกไปส่งๆ
“จริงสิคะ ฉันก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะไปมีความสามารถถึงขนาดล่าหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะคะ?!”
หนิงเหมยที่กำลังจะขอตัวลากหมูป่ากลับบ้านต่อ ก็มีเสียงแว๊ดๆ ใส่เธอดังขึ้น จนเธอถึงกับต้องเบ้หน้าอย่างไม่ชอบใจ!
“หึ! ล่าหมูป่าได้แล้วไม่คิดจะนำไปให้พ่อแม่สามีเพื่อความกตัญญูหน่อยหรือยังไงห๊ะ?!”
แค่ได้ยินเสียงหนิงเหมยก็จำได้ทันทีว่าใคร เพราะในความทรงจำของเธอนั้นบ่งบอกเอาไว้อย่างดี!
“ฉันจะนำไปขายรักษาพี่ตงหยางค่ะคุณแม่ เพราะเงินชดเชยที่พี่ตงหยางได้มาจากการบาดเจ็บคุณแม่ก็ยึดไปหมดแล้วไม่ใช่หรือคะ?” หนิงเหมยแสร้งตีหน้าเศร้า ก่อนจะแฉความชั่วช้าของนังแก่ตรงหน้าเธอ!
“แกพูดบ้าอะไร มันเป็นลูกก็ต้องกตัญญูไม่ใช่หรือยังไง? มันบาดเจ็บจากการเป็นทหารแกเป็นเมียก็รักษากันไปสิ แต่เงินนั่นถือเป็นการกตัญญูต่อฉันกับตาแก่!”
หนิงเหมยฟังแล้วก็ถึงกับต้องร้องว่าอิหยังวะ ตรรกะอะไรของยัยแก่นี่เนี่ย?
‘ดูนางโม่วโฉวสิ นางรังแกตงหยางกับหนิงเหมยขนาดนั้นแล้วยังคิดจะมาแย่งหมูป่าจากนังหนูหนิงเหมยอีก!’
‘ฉันล่ะสงสารทั้งสองคนจริงๆ คนบ้านอี้ก็อย่างไรกันดีแต่รังแกคนไม่มีทางสู้’
‘คนบ้านนี้นี่ใจไม้ไส้ระกำจริงๆ’
‘น่าไม่อายจริงๆ ทำถึงขนาดนี้แล้ว หรือว่านางเห็นว่าตงหยางไม่ใช่ลูกของนางจริงๆ’
‘หึ! ก็ตงหยางคงจะหมดประโยชน์แล้วล่ะสิ ถึงได้ทำแบบนี้’
เสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ทำให้หนิงเหมยอดที่จะยิ้มในใจไม่ได้ เพราะอย่างไรจุดประสงค์ของเธอก็แค่ต้องการให้ชาวบ้านช่วยกันโพทะนาเรื่องชั่วช้าของคนบ้านอี้กันเยอะๆ!
“แต่คุณแม่คะ ถึงยังไงพี่ตงหยางก็เป็นลูกชายของคุณแม่กับพ่ออี้ไม่ใช่หรือคะ? ในเมื่อพวกท่านตัดขาดกับพี่ตงหยางแล้วพวกเราก็ไม่มีอะไรจะต้องกตัญญูต่อกันแล้ว คุณแม่ลืมไปแล้วหรือคะ
ในสัญญาคุณแม่ก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาเองว่าไม่ว่ายังไงต่อให้จะจนหรือรวยพวกเราก็จะไม่มาวุ่นวายกันอีกไม่ใช่หรือคะ? คุณแม่กับพ่อสามีเป็นถึงผู้อาวุโสคงจะไม่กลับคำพูดของตัวเองหรอกใช่หรือไม่คะ!” หนิงเหมยค่อยๆ เอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นี่…นี่มันก็! …”
หนิงเหมยที่เห็นแม่เลี้ยงของตงหยางได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ออก เธอก็ได้แต่ขำคิกคักในใจอย่างสมเพช หึ! อย่าคิดจะได้อะไรจากเธอแม้แต่น้อย
“ถ้าคุณแม่ไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวลากหมูป่ากลับบ้านก่อนนะคะ ฉันต้องกลับไปทำอาหารให้พี่ตงหยางอีก”
พูดจบหนิงเหมยก็ไม่รอให้ยัยแก่นั่นได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เธอรีบลากหมูป่ากลับบ้านตัวเองเลยทันที
ซึ่งกว่านางโม่วโฉวจะได้สติหนิงเหมยก็ลากหมูป่าไปไกลเสียแล้ว เธอจึงได้แต่กระทืบเท้าปึงปังด้วยความไม่พอใจ
………
เมื่อกลับมาถึงบ้านหนิงเหมยก็นำหมูป่ากลับเข้าไปในมิติทันที ก่อนที่จะเข้าครัวเริ่มทำอาหารเย็นทันที
ซึ่งวันนี้หนิงเหมยก็ตัดสินใจว่าจะทำอาหารไทยง่ายๆ ให้สามีได้ลองชิม! นั่นก็คือไข่พะโล้ปีกไก่ แล้วก็ไข่เจียวหมูสับ!
หนิงเหมยไม่รอช้าก็รีบลงมือทำอาหารทันที เพราะกลัวสามีจะรอนาน
เมื่อทำอาหารเสร็จเธอก็รีบยกอาหารเย็นเข้าไปให้สามีในห้องทันที!
“อาหารเย็นมาแล้วค่ะสามี”
หนิงเหมยที่เห็นว่าสามีพยายามจะขยับตัวลุกด้วยตัวเองก็รีบเอ่ยห้ามออกมาอย่างเป็นห่วง
“สามีอย่าขยับตัวเองแบบนั้นสิคะ เดี๋ยวฉันวางถาดอาหารก่อนแล้วจะไปช่วยคุณเอง”
ตงหยางที่ได้ยินเสียงภรรยาเอ่ยออกมาอย่างดุๆ ตัวเอง จึงได้แต่พยักหน้ารับแล้วนั่งรออย่างสงบเสงี่ยม
“ครับ”
“ขนมจ้ะกระต่ายน้อยของแม่” หนิงเหมยว่างจานขนมกับนมลงบนโต๊ะ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ลูกสาว“ขอบคุณค่ะคุณแม่ อี้เออร์จะกินแล้วน้า~” พูดจบก็รีบยื่นมืออวบอ้วนของตัวเองไปหยิบคุกกี้ในจานเข้าปาก ก่อนจะหลับตาพริ้มราวกับว่ากำลังขึ้นเคลิ้มอย่างไงอย่างงั้นแหละ หึๆการกระทำของเด็กสาวทำเอาคนเป็นแม่กับย่าอดจะยิ้มขำด้วยความเอ็นดู และรักใคร่ไม่ได้ นับวันยิ่งแก่นแก้วและรู้ความนัก“ง่ำๆ อาหย่อยมากเยยค่า อิอิ” เด็กสาวเคี้ยวขนมตุ้ยๆ จนแก้มพอง“หนิงอี้ไม่เอาไม่ทำแบบนี้นะคะ ตอนนี้หนูโตแล้ว เวลาที่กินอะไรอยู่ในปากต้องเคี้ยวให้หมดปากก่อนแล้วถึงค่อยพูด” นางหม่าที่เป็นย่าคนแล้วก็เอ่ยดุหลานสาวคนโปรดออกมา หากหล่อนไปทำแบบนี้ที่อื่นจะทำให้คนอื่นมองไม่ดีเอาได้แต่ทว่าเมื่อเจ้ากระต่ายน้อยที่โดนคนเป็นย่าดุก็ถึงกับยู่ปากอย่างน้อยอกน้อยใจ “คุณย่าดุอี้เออร์…”“อี้เออร์ลูกไม่ร้องนะจ้ะ การที่คุณย่าดุก็ไม่ใช่เพราะว่าหวังดีกับหนูหรือจ้ะ? ไหนลองบอกแม่สิว่าที่คุณย่าดุหนูเมื่อกี้เพราะหนูทำอะไร?”“ฮึก! …เพราะอี้เออร์เคี้ยวขนมไม่หมดปากแล้วพูดค่ะ” เด็กน้อยตอบพร้อมกับเช็ดน้ำตาป้อยๆ“ใช่ แล้วที่คุณย่าดุหนูมันสมควรไหมจ้ะ?”
“แล้วตกลงว่าคุณต้องการจะเอาเรื่องจริงๆ ใช่ไหมครับสหายหนิงเหมย?”“ใช่ค่ะ ครั้งนี้ฉันรับกับการกระทำอุกอาจของแม่สามีไม่ได้จริงๆ ค่ะ คิดจะมาปล้นขโมยของในบ้านฉันทั้งๆ ที่ฉันกำลังตั้งครรภ์อยู่แบบนี้ ถ้าเกิดครั้งนี้ไม่มีแม่หม่าอยู่ด้วยฉันก็คง…” หนิงเหมยไม่ได้กล่าวประโยคอะไรออกมาอีก ได้แต่ปล่อยให้คนคิดกันเองต่อไป“ถ้าอย่างนั้นผมก็คงจะต้องขอเชิญคุณไปที่สถานีตำรวจเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมด้วยนะครับ ไป! จับตัวหล่อนไป!”“ไม่! ฉันไม่ไป! กรี๊ด! ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ส…สามีคุณช่วยฉันด้วย ฮือๆ” นางโม่วโฉวกรีดร้องออกมาอย่างไม่อาย“นี่พวกคุณจะจับตัวภรรยาของผมไปไหน?” ตำรวจหนุ่มที่ได้ยินคำถามของชายชราด้านหลังก็ได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันมาตอบ“พวกเราต้องขอจับกุมตัวคนร้ายไปที่สถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดีต่อไปครับ! หากคุณอยากไปขอยื่นเรื่องประกันตัวก็ให้ไปทำเรื่องที่สถานีตำรวจ” ตำรวจหนุ่มตอบก็เดินออกไปทิ้งให้ชายชราได้แต่ยืนตะลึงงันอยู่เพียงลำพังและหลังจากที่จบเรื่องจากสถานีตำรวจแล้วตงหยางก็รีบพาภรรยากับนางหม่ากลับบ้านพักผ่อนทันที เพราะกลัวว่าภรรยาจะเหนื่อยจนเกินไป โดยที่ในหัวไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเก
“อะไรนะ?! รออะไรกันอยู่รีบเข้าไปจับตัวนางโม่วโฉวกันสิ!” เขาตะคอกใส่ผู้ชายในกลุ่มชาวบ้านอย่างโกรธเกรี้ยว นางกล้าดีถึงขั้นกระทำการข้ามหน้าข้ามตาเขาถึงขนาดนี้!“ปล่อยข้านะ! พวกแกกล้าดียังไงถึงได้มาจับตัวฉันแบบนี้ คอยดูเถอะฉันจะให้ตาเฒ่าอี้เอาเรื่องพวกแกแน่!” ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหญิงชราพวกเขาก็อดที่จะกรอกตาขึ้นอย่างรำคาญใจแต่ทว่าเมื่อโดนหิ้วออกมาจากบ้าน ก็ต้องตกใจแม้กระทั่งเสียงที่กำลังโวยวายก็ยังเปล่งไม่ออก“ทะ…ท่านผู้นำมาที่นี่ได้ยังไง?” นางพยายามเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะตวัดสายตาคมมองไปยังทางหนิงเหมยอย่างไม่พอใจ “นี่แกถึงขั้นกล้าเรียกท่านผู้นำหมู่บ้านมาจับฉันเลยหรือนังลูกสะใภ้ไร้ประโยชน์?!”“หล่อนหยุดก่อเรื่องแล้วมันจะตายหรือไง!”“ท่านผู้นำ… แต่นี่มันเรื่องในครอบครัวของฉัน ท่านผู้นำจะมายุ่งอะไร?” นางโม่วโฉวพูดออกมาอย่างไม่ยินยอม อย่างไรวันนี้เธอก็ต้องได้สิ่งที่เธอต้องการกลับไปให้ได้!“นะ…นี่หล่อนกล้า!” เขายกมือกร้านแดดขึ้นมาชี้หน้าของหล่อนอย่างไม่พอใจ “หล่อนพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง นี่คิดว่าฉันอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของหล่อนงั้นรึ? ถ้าหากหล่อนไม่มาก่อเรื่องวุ่นวายที่บ
ทันทีที่ตรวจอาการให้หญิงสาวตรงหน้าเสร็จ ก็หันไปหาชายหนุ่มที่เอาแต่เดินวนเวียนไปมาจนเขาแทบจะมึนหัวไม่ได้“พ่อหนุ่มเลิกเดินแล้วใจเย็นก่อนเถอะ ภรรยาของเอ็งไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ก็แค่ตั้งครรภ์ได้12สัปดาห์แล้วก็เท่านั้น” หมอชราประจำหมู่บ้านกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดจะยินดีกับสองสามีภรรยา“อ้อก็แค่ตั้งครรภ์เท่านั้น ห๋า! ภรรยาของผมกำลังท้องอยู่หรือครับ?!” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แค่พอทวนคำตอบแล้วก็ถึงกับต้องร้องตกใจออกมาอย่างตื่นเต้น“ใช่แล้วล่ะ ส่วนเรื่องอาหารการกิน หรือการดูแลภรรยาของเอ็ง เดี๋ยวข้าจะจดเอาไว้ให้ ส่วนเรื่องเทียบยาบำรุงเอ็งก็ไปหาซื้อในเมืองเอาก็แล้วกัน”“ดะ…ได้ ขอรับ!” ชายหนุ่มตอบรับอย่างตื่นเต้น เพราะตัวเขาเองกำลังจะมีลูก จนหนิงเหมยที่นั่งมองอยู่ก็อดส่ายหัวอย่างขำขันสามีไม่ได้ อะไรจะตื่นเต้นปานนั้น?“เอาล่ะ เทียบยาบำรุง อาหารที่ควรจะเลี่ยง หรือการดูแลต่างๆ ข้าก็จะเอาไว้ให้หมดแล้ว ก็คงหมดหน้าที่หมอเท้าเปล่าอย่างข้าสักทียังไงคงต้องขอตัวกลับบ้านก่อน หากมีอะไรก็ไปหาที่บ้านหมอเฉียวได้”“ได้ครับ รบกวนแล้ว ยังไงเดี๋ยวผมขับล่อออกไปส่งที่บ้านครับหมอเฉียว” หลังจากนั้นชายหนุ่ม
หนิงเหมยลูบปลายจมูกด้วยความเจ็บ“ภรรยาเจ็บมากไหมครับ ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณเจ็บตัวแบบนี้” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมกับจับปลายคางภรรยาให้เชิดขึ้นเพื่อดูจมูกของภรรยา“มะ…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อีกไม่นานก็คงจะหายแล้ว ว่าแต่คุณมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” หญิงสาวเงยหน้าถามพร้อมกับใบหน้าฉงนสงสัย“เอ่อ ผมก็เพิ่งจะเดินมาไม่นานครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราเข้าบ้านไปกินข้าวกันดีกว่า ป่านนี้ป้าหม่าคงจะนั่งรอแย่แล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยตอบออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องชวนคนเป็นภรรยาเข้าบ้าน“อ๊ะ! จริงด้วยค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรารีบเข้าบ้านกันดีกว่า” ทั้งสองคนปิดประตูก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้านพร้อมกันนี่ก็เป็นเวลาหลายวันแล้วหลังจากที่ผ่านพ้นวันปีใหม่มา ตอนนี้หนิงเหมยกับตงหยางก็มีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเองแล้ว ซึ่งหนิงเหมยทำแผงลอยขายแป้งย่างราคาไม่กี่เฟินเท่านั้นเอง และถึงแม้ว่าแผงลอยนี้จะไม่ใช่ร้านที่ใหญ่โตอะไรแต่ก็พอมีกำไรรายได้เข้ากระเป๋าให้คนทั้งคู่ได้ไม่เว้นแต่ละวันเชียวส่วนนางหม่าก็มาช่วยทั้งสองคนบ้างเป็นบางครั้งบางคราวแต่ทว่าก็ไม่ได้บ่อยนัก เพราะหนิงเหมยเองก็ไม่ค่อยอยากจะให้นางหม่าออกมาตากแดดตากลมยืนหล
“เห้อตาเฒ่าอี้ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องภายในครอบครัวของแกหรอกนะ แต่อย่างไรหนิงเหมยก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘บุตรสาวบุญธรรม’ ของฉัน แล้วจะให้ฉันนางหม่าคนนี้ทนเห็นบุตรสาวโดนคนในครอบครัวอี้ของแกมารังแกอีกก็อย่างไรอยู่”“บุตรสาวบุญธรรม?” อี้จางหย่งสบถขึ้นมาด้วยความฉงนใจ“อ้อใช่ตอนนี้หนิงเหมยเป็นบุตรสาวบุญธรรมของฉันแล้ว หากคนบ้านอี้ยังคิดที่จะมาก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่ไม่เลิกฉันก็คงไม่คิดจะไว้หน้าใครอีก!” นางหม่าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดัน“ป้าหม่าครับนี่ก็ได้เวลากินข้าวแล้วพวกเรากินข้าวกันเลยดีไหม อ้อแล้วนี่คุณพ่อมีอะไรที่นี่อีกหรือเปล่าครับ?” ตงหยางเอ่ยโดยที่ไม่ได้คิดจะสนใจคนเป็นพ่อเลยสักนิด“...” อี้จางหย่งไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกมา ก่อนจะถอนหายใจฟืดฟาดแล้วกระทืบเท้าปึงปังออกจากบ้านไปด้วยความโมโหกับการกระทำของเจ้าลูกชายไม่ได้ความคนนี้ ช่างเป็นคนที่อกตัญญูจริงๆ!เมื่อคนนอกออกไปตอนนี้ภายในบ้านจึงเหลือเพียงแค่สองสามีภรรยา กับนางหม่าเท่านั้น“เอ่อถ้าอย่างนั้นฉันจะเข้าไปเตรียมอาหารออกมาขึ้นโต๊ะเลยก็แล้วกันนะคะ” หนิงเหมยเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าพ่อสามีเดินออกจากบ้านไปแล้วแต่ทว่ายังไม่ทันท