ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ปกคลุมบ้านดินหลังน้อย หลี่เหมยนั่งลงกับพื้นไม้ที่เก่าและผุพัง นางมองดูตะเกียงน้ำมันที่ให้แสงสว่างเพียงน้อยนิดด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสงสัย
"นี่ยามใดกันแล้วนะ" นางเอ่ยถามลอยๆ
หลี่ซุน ลูกชายคนที่สามตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
"เลยยามเฉินมาแล้วขอรับท่านแม่" (ยามเฉิน 07.00-09.00 น.)
"เช่นนั้นอาซานกับอาหลินช่วยกันหาบน้ำมาเติม เสร็จแล้วก็อยู่ที่บ้านหาอะไรทำเป็นเพื่อนเสี่ยวม่ายกับเด็ก ๆ ส่วนอาหลงกับอาซุนเตรียมกระสอบ ตะกร้า แล้วก็จอบมือขึ้นเขากับแม่ แม่อยากไปสำรวจแถวนี้ซะหน่อย" หลี่เหมยสั่งการอย่างรวดเร็ว
พอได้ยินเช่นนั้น หลี่ซุนก็ท้วงขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
"แต่ท่านแม่ขอรับ บนเขาตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือแล้ว แม้แต่สัตว์ป่าสักตัวก็หายากแล้ว จะมีก็แต่งูที่ชุกชุมไปหมด อันตรายขนาดนั้นท่านแม่ไม่ควรไปนะขอรับ"
"งูหรือ?"
น้ำเสียงของหลี่เหมยดูตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้ยินคำนั้น นางนึกถึงความรู้ที่ได้อ่านจากการดูสารคดีในยุค 2025 ที่บอกว่าในยุคโบราณ ผู้คนนำงูมาทำเป็นอาหารและยาได้มากมาย แต่ต้องทำอย่างถูกวิธี ทั้งยังเคยเห็นคุณตาที่จากไปแล้วเขียนตำรับยาพิษที่ทำจากพิษงู นางจึงรู้ได้ทันทีว่าช่องทางทำเงินมาถึงแล้ว
นางไม่พูดอะไรอีก เมื่อทั้งสามคนเตรียมอุปกรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พากันสะพายตะกร้าขึ้นเขาทันที
ระหว่างทางก็เห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่ที่กำลังขนข้าวของออกจากหมู่บ้าน หลี่เหมยจึงเอ่ยถามลูกชายทั้งสอง
"นั่นชาวบ้านเขาจะไปไหนกัน"
"อพยพขอรับ เกินครึ่งหมู่บ้านแล้วที่อพยพหนีความแห้งแล้งไปอยู่เมืองอื่น ท่านแม่ หรือว่าพวกเราจะตามไปด้วยดีหรือไม่"
หลี่หลงเอ่ยถามมารดาด้วยท่าทางที่ดูเป็นห่วง แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาจึงเปลี่ยนไป แต่อาหารที่พวกเขาได้กินในวันนี้ ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีกว่าไม่ใช่หรือ
"ไม่ได้หรอก พี่สะใภ้ของพวกเจ้าใกล้จะคลอดแล้ว ยังเดินทางตอนนี้ไม่ได้ รอดูไปก่อน ถ้าแม่หาทางรอดได้ก็จะไม่ต้องลำบากไปรอนแรมข้างนอก"
หลี่เหมยพูดไปก็คิดไป ตอนนี้เป็นเดือนเก้าแล้ว ฝนที่ควรจะตกก็ไม่ตก ข้าวที่ควรจะได้เก็บเกี่ยวก็ไม่มี เพราะต้นกล้าทนความแห้งแล้งไม่ได้ อีกแค่เดือนเดียวก็จะถึงหน้าหนาวแล้ว ทุกคนจึงต้องเร่งเตรียมพร้อม
การที่นางไม่ออกเดินทางในตอนนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นางอยากออกสำรวจดูว่ามันไม่มีสิ่งของให้กินจริง ๆ หรือชาวบ้านไม่รู้กันแน่ว่าอะไรกินได้หรือกินไม่ได้
เดินขึ้นเขาไปได้ไม่ไกลนัก หลี่เหมยก็ต้องตาลุกวาวเมื่อเห็นผลเกาลัดหล่นเต็มพื้น
"แม่เจ้า เกาลัด!" หลี่เหมยอุทานออกมาพร้อมกับรีบเดินเข้าไปเก็บกองรวมกันไว้
"ท่านแม่ ลูกหนาม ๆ พวกนี้กินได้หรือขอรับ ลูกเห็นมีเต็มเขาไปหมด" หลี่ซุนกล่าวด้วยความประหลาดใจ
"ได้สิ อร่อยมากเลยนะ จะเก็บใส่ตะกร้าไปเลยดีไหมนะ หรือจะกองไว้ก่อน ขากลับค่อยมาเก็บ" หลี่เหมยยิ้มอย่างพึงพอใจ
"ไว้ขากลับเราค่อยมาเก็บก็ได้ขอรับท่านแม่ ลูกหนามนี่ไม่มีใครกินอยู่แล้ว" หลี่หลงพูดเสริม
"ก็ได้ เอ๊ะ ทางนั้นเป็นป่าไผ่เหรอ พาแม่ไปดูหน่อย"
"ขอรับ" หลี่ซุนตอบรับ แล้วเดินนำหน้ามารดาเข้าไปในป่าไผ่ โดยมีหลี่หลงเดินตามหลังเงียบ ๆ เรื่องเข้าป่าหลี่ซุนเชี่ยวชาญที่สุด
พอเดินใกล้ป่าไผ่เข้าไปเรื่อย ๆ หลี่ซุนก็เอ่ยเตือนทุกคน
"ท่านแม่กับพี่รองระวังให้ดี แถวนี้เป็นงูจงอางกับงูเขียวหางไหม้ งูเขียวไผ่เยอะมาก"
พูดไม่ทันขาดคำก็มีงูเขียวหางไหม้ตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาใกล้ หลี่ซุนกำลังจะใช้มีดพร้าขว้างใส่แต่งูตัวนั้นก็ถูกจับไว้เสียก่อน
หลี่เหมยเคยเข้าอบรมป้องกันตัวและเคยฝึกจับงูมาบ้าง เมื่อเห็นงูเลื้อยเข้ามาใกล้ นางจึงใช้ไม้ไผ่ที่เตรียมมาสะกิดหัวงูเอาไว้ แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งจับไปที่หัวของงูทันทีอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
หลี่ซุนถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจและไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่เห็น หลี่เหมยไม่สนใจท่าทีของลูกชาย นางเริ่มมองหางูตัวต่อไปอย่างตั้งใจ
"งู!" หลี่เหมยร้องออกมาอย่างตื่นเต้น เมื่อนางเห็นงูจงอางตัวหนึ่งกำลังเลื้อยข้ามทางของนาง นางใช้ไม้ไผ่ที่มีในมือสะกิดไปที่หัวของงูจงอางทันที ก่อนจะใช้มือจับไปที่คอของงูตัวนั้นอย่างชำนาญอีกครั้ง
"ท่านแม่! ท่านทำอะไรลงไปขอรับ! นั่นมันงูจงอางนะขอรับ!" หลี่หลงตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
"ชู่ว! เงียบหน่อยสิ เดี๋ยวพวกมันก็แตกหนีกันหมดหรอก" หลี่เหมยยกนิ้วขึ้นมาแตะที่ปากอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดออกมาอย่างใจเย็น
ลูกชายทั้งสองได้แต่ยืนอึ้งกับทักษะการจับงูของมารดา ก่อนจะช่วยกันจับงูที่มารดาจับได้ใส่ลงไปในกระสอบอย่างระมัดระวัง
หลี่เหมยเริ่มหาตัวต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ จนในที่สุดก็ได้งูจงอางมา 2 ตัว งูเขียวหางไหม้ท้องเหลืองมา 5 ตัว และงูไผ่เขียวอีก 3 ตัว
เมื่อได้งูตามที่ต้องการแล้ว นางจึงหันไปสั่งลูกชายทั้งสอง
"มัดปากกระสอบให้ดีล่ะ"
ในขณะที่ลูกชายทั้งสองยังคงอึ้งกับทักษะการจับงูของมารดาอยู่ หลี่เหมยก็รีบใช้จอบมือสับเอาหน่อไม้หน่อใหญ่ไปทั้งหมด 2 ตะกร้า
"ท่านแม่จะเอาไปทำไมมากมายขอรับ หน่อไผ่ขม ๆ เช่นนี้จะเอาไปทำอะไรได้" หลี่หลงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หลี่เหมยได้ยินดังนั้นก็อึ้งจนพูดไม่ออก นางเพิ่งจะรู้ว่าชาวบ้านในยุคนี้ไม่รู้จักวิธีทำหน่อไม้ให้กินได้นี่เอง
"เอาเถอะ รอแม่ทำให้กินก่อน รับรองว่าพวกเจ้าจะต้องร้องขอให้แม่ทำให้กินบ่อย ๆ แต่ช่วงนี้ใกล้หน้าหนาวแล้ว เราคงต้องมาสับหน่อไม้ไปให้เยอะหน่อย เอาไว้เป็นเสบียง ส่วนวันพรุ่งนี้แม่จะพาพวกเจ้าเข้าเมืองไปขายงู"
"ขายงู! งูก็ขายได้หรือท่านแม่"
สองพี่น้องเอ่ยออกมาหลังจากสงสัยมานาน ว่ามารดาของพวกเขามาจับงูไปทำไมมากมาย
"ขายได้สิ ขายให้ร้านยาเอาไปสกัดทำเป็นยาพิษ ยาถอนพิษ ตัวใหญ่ได้พิษเยอะก็ราคาดี แต่พวกเราที่เป็นคนจับก็อันตราย ชุดนี้พวกเราจับไปน่าจะได้ราคาดี เพราะมันไม่มีร่องรอยฟกช้ำ"
หลี่เหมยตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
ลูกชายทั้งสองพยักหน้ารับ จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินลงมาจากเขา แล้วแวะมาเก็บเกาลัดต่อจนเต็มตะกร้า ก่อนจะพากันเดินกลับบ้านด้วยสีหน้าที่ชื่นมื่น
หลี่เหมยรู้แล้วว่านางจะต้องทำอย่างไรต่อไป นางจะใช้ความรู้ความสามารถที่มีในยุคที่จากมา เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวนี้ให้ได้ และจะทำให้ครอบครัวของนางกลายเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งและมีความสุขให้ได้ ตาของนางเป็นหมอยาสมุนไพร ยายกับแม่เก่งเรื่องทำอาหาร พ่อเก่งเรื่องทำธุรกิจ นางไม่เชื่อหรอกว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยนางไม่ได้
เมื่อหลี่เหมยพาลูกชายทั้งสองกลับมาถึงบ้าน หลี่ซานก็รีบเข้ามาช่วยรับตะกร้าหน่อไม้และเกาลัดหรือลูกหนามที่พวกเขารู้จักด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาเห็นกระสอบที่ถูกมัดปากแน่นหนาอยู่ในมือของมารดาและน้องชายก็อดที่จะถามไม่ได้
"ท่านแม่ กระสอบนั่นคืออะไรหรือขอรับ" หลี่ซานเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
"ในกระสอบนี้เป็นงูพิษทั้งนั้น ห้ามพวกเจ้าเข้าใกล้เด็ดขาด"
หลี่เหมยกำชับลูกหลานด้วยน้ำเสียงจริงจัง พอทุกคนได้ยินก็รีบรับคำพลางถอยห่างจากกระสอบอย่างรวดเร็ว
"ท่านแม่เอาหน่อไผ่มาทำไมมากมายหรือเจ้าคะ"
เสี่ยวม่ายเอ่ยถามเมื่อเห็นหน่อไม้ที่ถูกปอกเปลือกแล้วเต็มจนล้นตะกร้าทั้งสอง
"แม่จะเอามาทำกับข้าวให้พวกเจ้าชิม ส่วนที่เหลือก็จะทำเก็บไว้เป็นเสบียงในหน้าหนาว วันนี้จะทำแบบตากแห้งก่อน ไว้พรุ่งนี้เข้าเมืองแม่จะซื้อเครื่องปรุงออกมาทำแบบดองพริก"
ทุกคนในบ้านต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย เดิมทีในหมู่บ้านไม่มีใครกินหน่อไผ่ที่ขมแบบนี้ แม่ของพวกเขายิ่งแล้วใหญ่ ที่ผ่านมานางไม่เคยเหลียวมองเลยสักนิด .
แล้วท่าทางที่ใส่ใจพวกเขาแบบนี้มันคืออะไรกันแน่ นางเปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่ผ่านความตายในค่ำคืนที่ผ่านมา นี่คือความคิดที่ดังก้องอยู่ในหัวของทุกคน
หลี่เหมยสังเกตเห็นแบบนั้นจึงรีบขึ้นเสียงให้เหมือนร่างเดิม
"ไป ๆ ๆ! รีบไปต้มน้ำ พวกเจ้าจะมามองหน้าข้าทำไม เห็นข้าดีขึ้นแบบนี้ไม่ดีรึยังไง! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าถูกพ่อของเจ้าด่าตอนที่หมดสติไป ถ้าเขาไม่มาเตือนข้าให้รีบกลับใจ ข้าคงไม่ใจดีกับพวกเจ้าเช่นนี้หรอก!"
"..."
"อาซาน อาหลง อาซุน พวกเจ้าช่วยกันแกะเอาเม็ดเกาลัดออกมา เสร็จแล้วเอาเปลือกไปทิ้งให้ไกลหน่อย เดี๋ยวเด็ก ๆ จะไปเหยียบเอา! ส่วนอาหลินตั้งหม้อแล้วก็มาช่วยแม่หั่นหน่อไม้ เสี่ยวม่ายเจ้านั่งตรงนี้แล้วก็ผ่าครึ่งหน่อไม้ให้แม่ก็พอ"
"ขอรับท่านแม่/เจ้าค่ะท่านแม่"
ทุกคนรีบรับคำแล้วไปทำตาม เห็นมารดาบ่นเสียงดังแบบนี้พวกเขาค่อยรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาหน่อย หลี่หลงที่ไม่เคยช่วยงานเพื่อน ตอนนี้ก็ไม่กล้าไม่ทำอีกแล้วตั้งแต่โดนตีไปจนหลังลาย เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่ามารดาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จากนั้นหลี่เหมยก็ใช้เวลาในการหั่นหน่อไม้เป็นชิ้นเล็ก ๆ สามถ้วยใหญ่แล้วให้ลูกสาวนำไปต้มสองน้ำเพื่อลดความขม ส่วนหน่อไม้ส่วนที่เหลือ นางก็หั่นครึ่งแล้วนำไปลวก จากนั้นก็เอาขึ้นมาสะเด็ดน้ำเตรียมตากแห้ง
กระทั่งหลี่หลินหุงข้าวสุกได้ที่แล้ว นางจึงลงมือทำผัดหน่อไม้ใส่ไข่ และทำไข่น้ำอีกหนึ่งหม้อ ในช่วงเวลาเย็นย่ำยามเซิน (ยามเซิน 15.00-17.00 น.) ขณะเดียวกันนางก็ให้หลี่หลินคั่วเกาลัดใส่น้ำตาลที่นางนำออกมาให้ไปด้วย กลิ่นหอมของเกาลัดคั่วอบอวลไปทั่วบริเวณ ทำให้เด็ก ๆ น้ำลายสอ
ในขณะที่ทุกคนกำลังรออาหารกันอยู่นั้น อยู่ ๆ นางก็นึกถึงบ้านพ่อแม่สามีที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก นางจึงตักกับข้าวสองอย่างใส่ถ้วยแล้วให้เด็ก ๆ นำไปส่งให้ท่านย่าของพวกเขา
"เอาไปส่งท่านปู่ท่านย่าเถอะ" หลี่เหมยสั่ง
"ขอรับท่านแม่"
หลี่ซานจึงอาสาเป็นคนไปเอง เขาประคองถ้วยกับข้าวไว้ในมืออย่างระมัดระวัง แล้วเดินออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักหลี่ซานก็กลับมานั่งล้อมวงกินข้าวกับทุกคน พอเห็นข้าวสวยตรงหน้า ไข่น้ำและผัดหน่อไม้ พวกเขาก็รอให้มารดาลงมือก่อน เมื่อมารดากินเข้าไปคำแรกแล้ว ทุกคนก็รีบชิมผัดหน่อไม้ทันที
ผัดหน่อไม้ของหลี่เหมยรสชาติอร่อยกลมกล่อม มีความหอมของเครื่องปรุงที่นางนำออกมาจากมิติ และความกรอบของหน่อไม้ที่ไม่มีความขมเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
"ท่านแม่! อร่อยเหลือเกินขอรับ! ข้าไม่เคยรู้เลยว่าหน่อไผ่พวกนี้จะอร่อยขนาดนี้!" หลี่ซุนพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
"ใช่เจ้าค่ะท่านแม่! ท่านแม่เก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ!" หลี่หลินพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม
แม้แต่หลี่หลงที่เคยเถียงมารดาอย่างไม่ลดละก็ยังเอ่ยปากชมออกมาอย่างจริงใจ
"อร่อยจริง ๆ ขอรับ"
หลี่เหมยยิ้มอย่างพึงพอใจ นางตักผัดหน่อไม้แบบไม่เผ็ดใส่ถ้วยให้หลานชายทั้งสองคน
"อร่อยก็กินเยอะ ๆ ต่อไปนี้ถ้าพวกเราสามัคคีกันแบบนี้ แม่รับรองว่าอาหารการกินของพวกเจ้าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ"
ทุกคนต่างยิ้มให้มารดาพลางคิดว่าพวกเขาไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ อาหารที่สมบูรณ์เช่นนี้ในยามที่บ้านเมืองแห้งแล้งแบบนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน แต่ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยพวกเขาก็มีหน่อไผ่อ่อนให้กินเต็มภูเขา
ไหนจะลูกหนามคั่วอีก ได้กินสักสองถึงสามครั้งก็ไม่เสียทีที่เกิดมาแล้ว ก่อนหน้านี้ยังต้องประทังชีวิตด้วยต้มรำข้าว ต้มโจ๊กข้าวโพด หรือแม้แต่ต้มเปลือกไม้ก็ยังมีมาแล้ว
"ขอรับท่านแม่! พวกเราจะสามัคคีกัน เป็นครอบครัวที่เหนียวแน่น" หลี่ซานพูดออกมาอย่างหนักแน่น
หลี่เหมยพยักหน้ารับ นางมองดูทุกคนที่กำลังกินอาหารกันอย่างมีความสุขด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นในหัวใจ นางไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่ที่พ่อแม่จากไป
การสูญเสียที่ไม่อาจยอมรับได้ทำให้หลี่เหมยเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลงด้วยอาการตรอมใจ แต่ในห้วงเวลาสุดท้ายของการจากไป จิตใจของเธอกลับสงบและเต็มไปด้วยความรักที่บริสุทธิ์ การยอมสละทุกสิ่งในชีวิตเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า ทำให้เธอได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ที่ได้กลายเป็นสะพานเชื่อมให้เธอกลับไปสู่จุดจุดเดิมที่ห้วงคะนึงโหยหาอีกครั้งประตูสู่โลกใบเก่าในห้วงเวลาที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะสิ้นสุดลง วิญญาณของหลี่เหมยพลันหลุดลอยออกมาจากร่างที่ผ่ายผอม เธอพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสถานที่อันว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวเย็นยะเยือก รอบกายไม่มีสิ่งใด นอกจากความเงียบงันและอุณหภูมิที่หนาวเหน็บ ทันใดนั้นเอง เสียงลึกลับที่เคยพาเธอมายังโลกแห่งนิยายในครั้งแรก ก็ดังขึ้นอีกครั้ง"หลี่เหมย... เจ้าได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการสละทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าได้นับร้อยชีวิต ความดีงามของเจ้าได้กลายเป็นแสงสว่างนำทางให้แก่ดวงวิญญาณของเจ้า และด้วยความรักที่บริสุทธิ์ที่เจ้ามีต่อครอบครัว บุญกุศลนี้จึงได้ตอบแทนเจ้า"หลี่เหมยเงียบฟังอย่างตั้งใจ หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความหวังที่ริบหรี่"เราจะให้โอกาสเจ้าอี
เสียงเครื่องวัดชีพจรในห้องคนป่วยดัง "ติ๊ด…ติ๊ด…ติ๊ด…" เนิ่นนานกว่าหนึ่งปีเต็ม ที่ร่างของหลี่เหมยนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแห่งนี้ สีหน้าของเธอนั้นสงบราวกับคนที่หลับใหลไปในห้วงนิทราอันยาวนานข้างกายของหลี่เหมย มีเพียงป้าหลัว หญิงวัยกลางคนที่จงรักภักดี คอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดไม่เคยห่างกาย ถึงจะมีพยาบาลพิเศษคอยดูแลเรื่องต่าง ๆ แต่ป้าหลัวก็จะคอยพูดคุยกับร่างที่ไร้การตอบสนองนั้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง ราวกับเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเจ้านายของตนจะกลับมากระทั่งเช้าวันหนึ่ง แสงตะวันสีทองอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้อง ดวงตาที่ปิดสนิทของหลี่เหมยค่อย ๆ กะพริบขึ้นอย่างเชื่องช้า นิ้วมือเรียวเล็กขยับสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังไขว่คว้าจับต้องบางสิ่ง ป้าหลัวที่นั่งหลับอยู่ข้างเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความยินดี ก่อนจะรีบคว้ามือของเจ้านายเอาไว้แน่น"คุณหลี่! คุณหลี่ฟื้นแล้วหรือคะ!" เสียงของป้าหลัวสั่นเครือด้วยความตื้นตันใจและดีใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทันทีที่ได้รับแจ้งผ่านสัญญาณ พยาบาลและแพทย์ก็รีบเข้ามาตรวจ
เสียงสะอื้นแผ่วเบาของเด็ก ๆ ทั้งสามดังลอดออกมาจากเรือนนอนที่เงียบสงัด ราวกับสายลมเศร้าที่กำลังร่ำร้องปลุกปลอบวิญญาณของผู้เป็นย่าให้ตื่นขึ้นมา ทว่า...ความเงียบวังเวงกลับเป็นสิ่งเดียวที่โอบล้อมอยู่เซียวติ้งเซิงก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง ใจที่เคยแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผากำลังแหลกสลายอย่างไม่อาจต้าน ดวงตาคมของเขาเบิกกว้าง ก่อนจะพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าหลี่เหมยนอนนิ่งบนเตียง ผิวซีดขาวเย็นชืดประหนึ่งหยกที่ไร้ชีวิตชีวา มีร่างเล็กจ้อยของซางหนิงอิงซบอยู่กลางอก มือเล็ก ๆ ตบเบา ๆ ราวกับจะปลุกให้ท่านย่าลืมตา ซางจื้อคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กอบกุมมือที่เย็นเฉียบไว้แน่น ดวงตาบวมช้ำด้วยน้ำตา ซางหยวนนอนข้างน้องสาวสะอื้นจนตัวสั่นไม่ยอมห่างไปไหน"ท่านย่า...ตื่นเถอะขอรับ...อาจื้ออยู่ตรงนี้แล้ว...ได้โปรดอย่าทิ้งพวกเราไป...""ต้านย่า...ต้านย่ากลับมาก่อน...ฮึก...อย่าไปนะ..."หัวใจของเซียวติ้งเซิงแทบแตกสลาย เขาก้าวเข้าไปอย่างโซซัดโซเซ ก่อนทรุดนั่งลงข้างเตียง มือใหญ่สั่นเทาขณะประคองร่างบอบบางของหลี่เหมยขึ้นมากอดแนบอก ความเย็นชืดนั้นแทงทะลุเข้าถึงกระดูก"อาเหมย...เหตุใดเจ้าจึงจากไปเช่นนี้ ข้าตั้งใ
ยามเย็นของวันนั้น แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ลาลับทิวเขา สาดทาบเป็นสีทองเรื่อไปทั่วทุ่งนา เสียงจิ้งหรีดเริ่มขับขานทำนองแห่งรัตติกาล กลิ่นหอมจากครัวเล็ก ๆ ของจวนสกุลหลี่ก็ลอยอบอวลไปทั่วทุกห้องบนโต๊ะไม้เรียบง่ายกลางเรือน มีอาหารเรียงรายครบครัน ทั้ง ปลาช่อนทอดสามรส ผัดหน่อไม้ น้ำแกงรากบัวตุ๋นกระดูกหมู กลิ่นหอมอบอวล ชวนให้น้ำลายสอ ทั้งหมดนั้นคืออาหารที่ครั้งหนึ่งหลี่เหมยเคยทำให้ลูก ๆ ลิ้มรส และบัดนี้ถูกถ่ายทอดไปสู่มือหลี่หลินกับเสี่ยวม่าย ที่ตั้งใจปรุงรสราวกับได้รำลึกความหลัง นางทอดสายตามองอาหารตรงหน้าแล้วหัวใจสั่นสะท้าน เหมือนทุกอย่างย้อนคืนกลับสู่วันเก่า ช่วงเวลาแรกที่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้"โอ้โห กับข้าวพวกนี้ทำให้ลูกคิดถึงบ้านหลังเก่าของเรานะขอรับท่านแม่ ลูกยังจำวันที่เราไปสับหน่อไผ่แล้วก็จับงูมาขายได้ขึ้นใจเลย" หลี่ซุนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า"จริงด้วย วันที่พวกเราขึ้นเขาไปเก็บรากบัว ไปจับปลาช่อนตัวใหญ่ ก็เหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน แม้กระทั่งวันที่พวกเราวิ่งหนีเสือครั้งนั้นลูกก็ยังจำได้ขึ้นใจ" หลี่ซานเอ่ยขึ้นบ้างเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ"แม่ก็คิดถึง ช่วงเวลานั้นแม่มีความสุขมากเลยนะ"ห
หลายเดือนต่อมา หลังจากที่หลี่เหมยและครอบครัวได้ตั้งรกรากในเมืองเทียนฉางอย่างมั่นคง นางก็เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังตั้งแต่แรกนางหมายใจว่าจะซื้อบ้านที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยพร้อมหน้าพร้อมตา แต่เมื่อดูอยู่หลายแห่งก็ยังไม่ถูกใจ บ้างก็แคบเกินไป บ้างก็ทรุดโทรมเสียจนต้องซ่อมใหม่หมดสิ้น ใช้เงินมากกว่าที่นางตั้งใจไว้เสียอีกพอฮูหยินผู้เฒ่าเซียวรู้จึงได้บอกให้นางมาดูจวนที่อยู่ติดกัน จวนนี้มีการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน จวนประเภทนี้สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ โดยมีรูปแบบจตุรนิเวศ ซึ่งเป็นการสร้างอาคารสี่หลังล้อมรอบลานกว้างไว้ตรงกลาง จวนประเภทนี้เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน เนื่องจากที่นี่เป็นเมืองรอง ไม่ใช่เมืองหลวง ราคาจึงอยู่ที่ 2000 ตำลึง เท่าที่หลี่เหมยหาข้อมูลมา ทว่าจวนหลังนี้นางกลับซื้อได้เพียง 1000 ตำลึงเท่านั้น ช่างโชคดียิ่งนักแต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือเซียวติ้งเซิงคือผู้อยู่เบื้องหลัง หลายเดือนมานี้เขาไม่ยอมไปทำการค้าต่างแคว้นนาน ๆ เหมือนเคย ไปก็เพียงใกล้ ๆ 1 สัปดาห์ก็รีบกลับมา แถมยังชอบหาของฝากมาให้ลูกหลานของนางอยู่ตลอดบ
ณ ตรอกเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเต้าหู้สกุลหลี่ บรรยากาศอับชื้นและเย็นยะเยือก หวังเฟยฮวา สตรีผู้ซึ่งมีใบหน้าเต็มไปด้วยความริษยา พูดคุยอย่างออกรสกับญาติผู้น้อง ที่นางจ้างมาเพื่อแสดงละคร "พวกเจ้าสองคนต้องแสดงให้แนบเนียน อย่าให้พวกมันจับพิรุธได้รู้หรือไม่""ข้ารู้แล้วน่าพี่หญิง ว่าแต่ถ้าข้าทำสำเร็จ เมื่อได้เงินมาแล้ว 100 ตำลึงต้องเป็นของข้าตามที่ตกลงกันไว้นะ" เจิ้งฉือญาติห่าง ๆ ของนางกล่าวย้ำชัดถึงข้อตกลงอีกครั้ง"ข้ารู้แล้ว หากทำสำเร็จ เงินก็อยู่ในมือพวกเจ้ามิใช่หรือ พวกเจ้าก็หักไว้เลย 100 ตำลึง ส่วนที่เหลือค่อยเอามาให้ข้า ขอเพียงได้มาจ่ายหนี้พนันให้อาจงก็พอ เรื่องอื่น ๆ ค่อยว่ากันอีกทีหลังจากนี้"หวังเฟยฮวาตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ พูดจบสองสามีภรรยา เจิ้งฉือและเจิ้งหว่านหรู ก็เริ่มการแสดงที่ซักซ้อมกันมาอย่างดี เจิ้งฉือล้มตัวลงนอนในเปลหาม ส่วนเจิ้งหว่านหรูก็รีบเอาผ้าคลุมสีขาวปิดหน้าสามีเอาไว้ แล้วสั่งให้ลูกชายทั้งสองของพวกเขาหามผู้เป็นพ่อเดินตรงไปที่หน้าร้านเต้าหู้สกุลหลี่"ช่วยด้วย...ช่วยด้วยเจ้าค่ะ" เจิ้งหว่านหรูร้องห่มร้องไห้ "...""มาดูความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเ