เมื่อแสงตะวันลาลับขอบฟ้าไป ความเงียบสงัดก็เริ่มเข้ามาแทนที่ หลี่เหมยมองดูทุกคนในบ้านที่นอนหลับกันไปแล้วอย่างเงียบๆ นัยน์ตาของนางสะท้อนแสงจากตะเกียงน้ำมันที่ให้แสงสว่างเพียงน้อยนิด นางรู้สึกถึงความแตกต่างของยุคสมัยนี้กับยุคที่นางจากมาได้อย่างชัดเจน
ในยุคที่นางจากมานั้น ทุกค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงไฟนีออน เสียงเครื่องยนต์ และความวุ่นวายที่ไม่เคยจางหาย แต่ในยุคนี้ ค่ำคืนกลับเงียบสงัด มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ร้องขับกล่อม และแสงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
หลี่เหมยมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงดาวในยุคนี้ดูชัดเจนและงดงามกว่าในยุคที่นางจากมาหลายเท่านัก ยามค่ำคืนอากาศก็บริสุทธิ์และเย็นสบายจนน่าแปลกใจ
เมื่อเห็นว่าทุกคนหลับสนิทกันแล้ว หลี่เหมยก็ตัดสินใจที่จะทดลองสิ่งที่ค้างคาใจอยู่นาน นางอยากเข้าไปดูในห้างค้าส่งของนางที่อยู่ในมิติ และอยากทดลองน้ำพุวิเศษที่เสียงลึกลับนั้นเคยบอกไว้
"พาฉันเข้ามิติ"
หลี่เหมยเพียงแค่พูดเบา ๆ ในใจ พริบตาเดียวร่างกายของนางก็พลันหายไปจากบ้านดินหลังเล็ก ๆ แล้วปรากฏขึ้นอีกครั้งในห้างค้าส่งขนาดใหญ่ที่คุ้นเคย
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมทุกประการ สินค้ามากมายวางเรียงรายอยู่บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือลานกลางห้างที่เคยเป็นพื้นที่โล่ง ๆ ตอนนี้กลับมีบ่อน้ำพุผุดขึ้นมา
น้ำในบ่อน้ำพุเป็นสีใสสะอาด หลี่เหมยเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกาย
นางก้มลงส่องดูเงาของตัวเองในบ่อน้ำ ก็เห็นใบหน้าของร่างนี้ที่เหมือนนางในยุค 2025 ไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ผิวพรรณดูคล้ำและหยาบกร้านกว่าเท่านั้น เมื่อเห็นรอยแผลที่หน้าผากที่เกิดจากการล้มลงไปกระแทกกับกำแพง นางจึงใช้มือโกยน้ำพุวิเศษขึ้นมาดื่ม
"อ๊า...สดชื่นสุด ๆ" หลี่เหมยอุทานออกมาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสดชื่น
เมื่อนางมองดูเงาตัวเองในบ่อน้ำอีกครั้งก็ต้องตกตะลึง รอยแผลที่หน้าผากค่อย ๆ หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ผิวหน้าของนางจากที่เคยคล้ำและหยาบกร้านก็ขาวกระจ่างใสขึ้นในทันที ความเหนื่อยล้าที่เคยมีก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กำลังวังชากลับคืนมาอย่างเต็มเปี่ยม
"ไม่จริง! นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า" หลี่เหมยพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ
นางรีบเดินไปที่ห้องน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อส่องกระจกดูให้เต็มตา เมื่อเห็นใบหน้าของตัวเองในกระจกแล้ว นางก็ต้องตกตะลึงจนพูดไม่ออก ใบหน้าของนางดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด
ผิวพรรณที่เคยคล้ำและหยาบกร้าน ตอนนี้กลับขาวเนียนละเอียดราวกับผิวของเด็กสาววัยสิบแปดปี ร่องรอยความเหนื่อยล้าและริ้วรอยต่าง ๆ หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงใบหน้าที่อ่อนเยาว์และสดใส
เมื่อได้พิสูจน์สิ่งที่ค้างคาในใจแล้ว หลี่เหมยก็รีบออกจากมิติแล้วเอนตัวลงนอนบนที่นอนที่ทำจากฟางข้าวอย่างไม่คุ้นชิน ไม่นานนางก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
อรุณเบิกฟ้า แสงเงินยวงค่อย ๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็กของบ้านดินหลังน้อย หลี่เหมยตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายปี ร่างกายของนางดูอ่อนเยาว์และมีพลังงานเต็มเปี่ยมราวกับได้เกิดใหม่จริง ๆ นางลุกขึ้นจากที่นอนแล้วจัดแจงตัวเองอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินออกมาจากห้องก็เห็นทุกคนในบ้านกำลังง่วนอยู่กับการทำงานของตัวเองอย่างขะมักเขม้น หลี่ซานหาบน้ำจากบ่อน้ำกลางหมู่บ้านมาเติมในโอ่ง หลี่หลงกับหลี่ซุนช่วยกันขนฟืนที่เก็บมาจากบนเขาเมื่อวานนี้มากองไว้ข้างบ้าน
ทางด้านหลี่หลินก็รีบเข้าครัวไปต้มน้ำใส่กาเตรียมไว้ให้ทุกคนดื่ม ส่วนเสี่ยวม่ายก็เดินปัดกวาดลานบ้านช่วยแบ่งเบางานทุกคนอีกแรงหนึ่ง โดยมีซางจื้อและซางหยวนลูกน้อยทั้งสองของนางคอยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง
หลี่เหมยเดินออกจากบ้านมาพร้อมกับข้าวสารสีขาวและไข่ไก่สิบฟอง นางไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้ลูก ๆ กินในมื้อเช้านี้ นางยังไม่มีข้ออ้างในการนำเนื้อสัตว์ออกมาจากมิติ นางจึงทำได้เพียงแค่ใช้สิ่งของที่มีอยู่ในตอนนี้เท่านั้น
"อาหลิน เอาข้าวไปหุงนะ ส่วนไข่นี้ตุ๋นให้หมดเลย" หลี่เหมยสั่งการลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
"แต่ท่านแม่เจ้าคะ นี่มันไข่ไก่สิบฟองเลยนะเจ้าคะ หรือเราจะแบ่งไว้ครึ่งหนึ่งดีหรือไม่เจ้าคะ" หลี่หลินเอ่ยถามด้วยความเสียดาย
"ไม่ต้องหรอก" หลี่เหมยตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
"...."
"ไข่นี้แม่เก็บไว้นานแล้ว ถ้ายังเก็บไว้ต่อไป มันคงจะเน่าก่อนที่เราจะได้กิน"
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หลี่หลินก็รีบพยักหน้ารับ แต่ก็ยังคงจ้องมองหน้ามารดาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าทักท้วงอะไร
"อาจื้อ อาหยวน มากินเกาลัดกับย่าเร็วเข้า เดี๋ยวย่าจะปอกให้เจ้ากิน" หลี่เหมยเรียกหลานชายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
"ขอรับท่ายย่า/ขอรับ"
ซางจื้อและซางหยวนรับคำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งเข้ามานั่งล้อมวงกับท่านย่าของพวกเขา
"เสี่ยวม่าย หยุดทำงานแล้วมานั่งพักได้แล้ว ท้องโตใกล้คลอดไม่ต้องทำอะไรมาก"
"กวาดลานบ้านอีกไม่เยอะก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกทำได้เจ้าค่ะ"
เสี่ยวม่ายตอบกลับไปอย่างอ่อนน้อม นางยังคงรู้สึกงง ๆ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของแม่สามี นางยังคงคิดว่าที่แม่สามีดีกับนางเป็นเพราะหวังว่าในท้องของนางจะเป็นลูกชาย หากเป็นลูกสาวเล่า ไม่รู้ท่านแม่จะว่าอย่างไรบ้าง
ระหว่างนั้นหลี่ซุนกับหลี่หลงก็เก็บฟืนกลับมาพอดี หลี่เหมยจึงบอกให้ลูกชายทั้งสองเอาหน่อไม้ออกมาตากที่ลานหน้าเรือน แล้วให้ยกกระสอบงูขึ้นรถเข็น กินข้าวเสร็จจะออกเดินทางเข้าเมืองทันที
ทุกคนต่างก็รีบรับคำและทำตามคำสั่งของมารดาอย่างว่าง่าย กระทั่งข้าวสุก ไข่ตุ๋นเสร็จ ทุกคนจึงล้อมวงกินข้าว หลี่หลินยังได้ผัดหน่อไม้ตามที่มารดาสอนเมื่อวานขึ้นมาอีกหนึ่งถ้วยใหญ่
หลี่ซานชิมผัดหน่อไม้ของน้องสาวแล้วก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
"อาหลินเจ้าทำอาหารเก่งขึ้นมากแล้วนะ ถึงจะไม่สู้ฝีมือของท่านแม่ที่ทำเมื่อวาน แต่ก็อร่อยไม่น้อยเลย"
หลี่เหมยได้ยินดังนั้นจึงได้แต่คิดในใจว่า หากหลี่หลินใส่เครื่องปรุงที่นางเตรียมไว้ เยอะหน่อย ผัดหน่อไม้ของเด็กสาวก็จะอร่อยไม่แพ้ที่นางทำเลย แต่เด็กสาวก็ยังคงเสียดายเครื่องปรุงเหล่านั้นจึงไม่กล้าใส่ให้มากนัก
ส่วนเด็ก ๆ พอได้กินไข่ติดกันสองวันก็พูดออกมาอย่างตื่นเต้น
"ท่านพ่อ นี่ข้าได้ขึ้นสวรรค์แล้วใช่หรือไม่ ข้าได้กินไข่กับข้าวขาวติดกันสองวัน ช่างดีอะไรปานนี้" ซางจื้อพูดไปยิ้มไป
พอทุกคนได้ยินคำพูดของซางจื้อก็หัวเราะร่วน หลี่เหมยจึงถือโอกาสนี้พูดออกมาช้า ๆ
"ตอนที่ย่าหมดสติไป ท่านปู่ของเจ้าบอกว่า หากครอบครัวของเรารักใคร่กลมเกลียวกัน ต่อไปพวกเราก็จะมีกินมีใช้ไม่อดอยาก ท่านปู่ของเจ้าจะช่วยพวกเรา ทำให้ครอบครัวเราโชคดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เจ้าว่าดีหรือไม่อาจื้อ"
"ดีที่สุดขอรับท่านย่า อาจื้อรักท่านปู่ท่านย่าที่สุด" ซางจื้อตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่สดใส
คำพูดของหลี่เหมยไม่ได้ทำให้เด็ก ๆ สงสัยเลยแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนจำได้ดีว่าท่านพ่อของพวกเขารักท่านแม่มากแค่ไหน ตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่มักจะเอาใจท่านแม่ของพวกเขาตลอด หากดวงวิญญาณของท่านพ่อจะมาหาท่านแม่จริง ๆ พวกเขาก็เชื่อโดยไม่มีข้อกังขา
หลี่เหมยลอบยิ้มในใจ นางรู้สึกสบายใจที่ทุกคนในครอบครัวเชื่อในสิ่งที่นางพูดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
เมื่อความมืดมิดจางหายไป ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้น ทำให้เด็ก ๆ มองเห็นใบหน้าของมารดาได้ชัดเจนขึ้น พวกเขาต่างก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
ผิวพรรณที่เคยคล้ำและหยาบกร้านของมารดา ตอนนี้กลับดูขาวผ่องและเนียนนุ่มราวกับผิวของเด็กสาววัยแรกรุ่น ใบหน้าที่เคยดูแก่กว่าวัยก็ดูอ่อนเยาว์ลงอย่างน่าประหลาดใจ
หลี่หลงสะกิดพี่ชายของเขาเบา ๆ แล้วกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย
"พี่ใหญ่ ท่านเห็นเหมือนข้าหรือไม่ เหตุใดท่านแม่ถึงได้ดูอ่อนเยาว์ลงเช่นนี้"
หลี่ซานพยักหน้าอย่างช้า ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามมารดาตรง ๆ
หลี่เหมยเห็นท่าทางที่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของลูก ๆ ก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
"มีอะไรก็ว่ามา"
หลี่ซานรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก
"เอ่อ...ลูกว่าวันนี้ท่านแม่ดูเหมือนจะอ่อนเยาว์ลงนะขอรับ"
หลี่เหมยหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
"หึ! พวกเจ้าคงตาฝาดไปแล้ว กินข้าวเถอะ เรายังต้องรีบเดินทางเข้าเมืองต่อ"
คำพูดของมารดาไม่ได้ทำให้ทุกคนเชื่ออย่างสนิทใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะซักถามอะไรอีกนอกจากพยักหน้ารับคำ
"ขอรับ"
ทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวเช้ากันเงียบ ๆ แต่ในใจของพวกเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยในตัวของมารดา ผู้ซึ่งเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว หลี่หลินก็รีบไปจัดการล้างชาม ส่วนหลี่หลง และหลี่ซุนก็รีบช่วยกันยกกระสอบงูขึ้นรถเข็นที่หลี่ซานได้ซ่อมแซมเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน หลี่เหมยเดินตามหลังไปพร้อมกับเกาลัดที่คั่วแล้วในถุงผ้า
"เอาละ! เราไปกันเลย!"
เมื่อรถเข็นเริ่มเคลื่อนตัวออกจากบ้าน เสียงของเสี่ยวม่ายก็ดังขึ้นมา
"ท่านแม่! ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ!"
หลี่เหมยหันไปมองเสี่ยวม่ายแล้วพยักหน้าให้
"ไม่ต้องห่วง พวกเจ้าอยู่ทางนี้ก็ปิดประตูบ้านให้ดี"
นางเดินนำหน้าลูกชายทั้งสองคนไปตามทางเดินที่คดเคี้ยวของหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เห็นหลี่เหมยเดินไปพร้อมกับรถเข็นที่บรรทุกสิ่งของก็มองมาด้วยสายตาที่สงสัยระคนประหลาดใจ
"นั่นอาหลงกับอาซุนไปไหนกันน่ะ" เสียงซุบซิบดังขึ้น
"แล้วนั่นหลี่เหมยเอาอะไรไปขายในเมืองหรือ นางคงหาเงินให้บ้านเดิมอีกแล้วสินะ"
หลี่เหมยไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทาเหล่านั้น นางเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง นางรู้ดีว่าหลังจากวันนี้ไป ชีวิตของนางและลูก ๆ จะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
การสูญเสียที่ไม่อาจยอมรับได้ทำให้หลี่เหมยเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลงด้วยอาการตรอมใจ แต่ในห้วงเวลาสุดท้ายของการจากไป จิตใจของเธอกลับสงบและเต็มไปด้วยความรักที่บริสุทธิ์ การยอมสละทุกสิ่งในชีวิตเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า ทำให้เธอได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ที่ได้กลายเป็นสะพานเชื่อมให้เธอกลับไปสู่จุดจุดเดิมที่ห้วงคะนึงโหยหาอีกครั้งประตูสู่โลกใบเก่าในห้วงเวลาที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะสิ้นสุดลง วิญญาณของหลี่เหมยพลันหลุดลอยออกมาจากร่างที่ผ่ายผอม เธอพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสถานที่อันว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวเย็นยะเยือก รอบกายไม่มีสิ่งใด นอกจากความเงียบงันและอุณหภูมิที่หนาวเหน็บ ทันใดนั้นเอง เสียงลึกลับที่เคยพาเธอมายังโลกแห่งนิยายในครั้งแรก ก็ดังขึ้นอีกครั้ง"หลี่เหมย... เจ้าได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการสละทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าได้นับร้อยชีวิต ความดีงามของเจ้าได้กลายเป็นแสงสว่างนำทางให้แก่ดวงวิญญาณของเจ้า และด้วยความรักที่บริสุทธิ์ที่เจ้ามีต่อครอบครัว บุญกุศลนี้จึงได้ตอบแทนเจ้า"หลี่เหมยเงียบฟังอย่างตั้งใจ หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความหวังที่ริบหรี่"เราจะให้โอกาสเจ้าอี
เสียงเครื่องวัดชีพจรในห้องคนป่วยดัง "ติ๊ด…ติ๊ด…ติ๊ด…" เนิ่นนานกว่าหนึ่งปีเต็ม ที่ร่างของหลี่เหมยนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแห่งนี้ สีหน้าของเธอนั้นสงบราวกับคนที่หลับใหลไปในห้วงนิทราอันยาวนานข้างกายของหลี่เหมย มีเพียงป้าหลัว หญิงวัยกลางคนที่จงรักภักดี คอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดไม่เคยห่างกาย ถึงจะมีพยาบาลพิเศษคอยดูแลเรื่องต่าง ๆ แต่ป้าหลัวก็จะคอยพูดคุยกับร่างที่ไร้การตอบสนองนั้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง ราวกับเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเจ้านายของตนจะกลับมากระทั่งเช้าวันหนึ่ง แสงตะวันสีทองอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้อง ดวงตาที่ปิดสนิทของหลี่เหมยค่อย ๆ กะพริบขึ้นอย่างเชื่องช้า นิ้วมือเรียวเล็กขยับสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังไขว่คว้าจับต้องบางสิ่ง ป้าหลัวที่นั่งหลับอยู่ข้างเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความยินดี ก่อนจะรีบคว้ามือของเจ้านายเอาไว้แน่น"คุณหลี่! คุณหลี่ฟื้นแล้วหรือคะ!" เสียงของป้าหลัวสั่นเครือด้วยความตื้นตันใจและดีใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทันทีที่ได้รับแจ้งผ่านสัญญาณ พยาบาลและแพทย์ก็รีบเข้ามาตรวจ
เสียงสะอื้นแผ่วเบาของเด็ก ๆ ทั้งสามดังลอดออกมาจากเรือนนอนที่เงียบสงัด ราวกับสายลมเศร้าที่กำลังร่ำร้องปลุกปลอบวิญญาณของผู้เป็นย่าให้ตื่นขึ้นมา ทว่า...ความเงียบวังเวงกลับเป็นสิ่งเดียวที่โอบล้อมอยู่เซียวติ้งเซิงก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง ใจที่เคยแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผากำลังแหลกสลายอย่างไม่อาจต้าน ดวงตาคมของเขาเบิกกว้าง ก่อนจะพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าหลี่เหมยนอนนิ่งบนเตียง ผิวซีดขาวเย็นชืดประหนึ่งหยกที่ไร้ชีวิตชีวา มีร่างเล็กจ้อยของซางหนิงอิงซบอยู่กลางอก มือเล็ก ๆ ตบเบา ๆ ราวกับจะปลุกให้ท่านย่าลืมตา ซางจื้อคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กอบกุมมือที่เย็นเฉียบไว้แน่น ดวงตาบวมช้ำด้วยน้ำตา ซางหยวนนอนข้างน้องสาวสะอื้นจนตัวสั่นไม่ยอมห่างไปไหน"ท่านย่า...ตื่นเถอะขอรับ...อาจื้ออยู่ตรงนี้แล้ว...ได้โปรดอย่าทิ้งพวกเราไป...""ต้านย่า...ต้านย่ากลับมาก่อน...ฮึก...อย่าไปนะ..."หัวใจของเซียวติ้งเซิงแทบแตกสลาย เขาก้าวเข้าไปอย่างโซซัดโซเซ ก่อนทรุดนั่งลงข้างเตียง มือใหญ่สั่นเทาขณะประคองร่างบอบบางของหลี่เหมยขึ้นมากอดแนบอก ความเย็นชืดนั้นแทงทะลุเข้าถึงกระดูก"อาเหมย...เหตุใดเจ้าจึงจากไปเช่นนี้ ข้าตั้งใ
ยามเย็นของวันนั้น แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ลาลับทิวเขา สาดทาบเป็นสีทองเรื่อไปทั่วทุ่งนา เสียงจิ้งหรีดเริ่มขับขานทำนองแห่งรัตติกาล กลิ่นหอมจากครัวเล็ก ๆ ของจวนสกุลหลี่ก็ลอยอบอวลไปทั่วทุกห้องบนโต๊ะไม้เรียบง่ายกลางเรือน มีอาหารเรียงรายครบครัน ทั้ง ปลาช่อนทอดสามรส ผัดหน่อไม้ น้ำแกงรากบัวตุ๋นกระดูกหมู กลิ่นหอมอบอวล ชวนให้น้ำลายสอ ทั้งหมดนั้นคืออาหารที่ครั้งหนึ่งหลี่เหมยเคยทำให้ลูก ๆ ลิ้มรส และบัดนี้ถูกถ่ายทอดไปสู่มือหลี่หลินกับเสี่ยวม่าย ที่ตั้งใจปรุงรสราวกับได้รำลึกความหลัง นางทอดสายตามองอาหารตรงหน้าแล้วหัวใจสั่นสะท้าน เหมือนทุกอย่างย้อนคืนกลับสู่วันเก่า ช่วงเวลาแรกที่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้"โอ้โห กับข้าวพวกนี้ทำให้ลูกคิดถึงบ้านหลังเก่าของเรานะขอรับท่านแม่ ลูกยังจำวันที่เราไปสับหน่อไผ่แล้วก็จับงูมาขายได้ขึ้นใจเลย" หลี่ซุนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า"จริงด้วย วันที่พวกเราขึ้นเขาไปเก็บรากบัว ไปจับปลาช่อนตัวใหญ่ ก็เหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน แม้กระทั่งวันที่พวกเราวิ่งหนีเสือครั้งนั้นลูกก็ยังจำได้ขึ้นใจ" หลี่ซานเอ่ยขึ้นบ้างเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ"แม่ก็คิดถึง ช่วงเวลานั้นแม่มีความสุขมากเลยนะ"ห
หลายเดือนต่อมา หลังจากที่หลี่เหมยและครอบครัวได้ตั้งรกรากในเมืองเทียนฉางอย่างมั่นคง นางก็เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังตั้งแต่แรกนางหมายใจว่าจะซื้อบ้านที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยพร้อมหน้าพร้อมตา แต่เมื่อดูอยู่หลายแห่งก็ยังไม่ถูกใจ บ้างก็แคบเกินไป บ้างก็ทรุดโทรมเสียจนต้องซ่อมใหม่หมดสิ้น ใช้เงินมากกว่าที่นางตั้งใจไว้เสียอีกพอฮูหยินผู้เฒ่าเซียวรู้จึงได้บอกให้นางมาดูจวนที่อยู่ติดกัน จวนนี้มีการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน จวนประเภทนี้สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ โดยมีรูปแบบจตุรนิเวศ ซึ่งเป็นการสร้างอาคารสี่หลังล้อมรอบลานกว้างไว้ตรงกลาง จวนประเภทนี้เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน เนื่องจากที่นี่เป็นเมืองรอง ไม่ใช่เมืองหลวง ราคาจึงอยู่ที่ 2000 ตำลึง เท่าที่หลี่เหมยหาข้อมูลมา ทว่าจวนหลังนี้นางกลับซื้อได้เพียง 1000 ตำลึงเท่านั้น ช่างโชคดียิ่งนักแต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือเซียวติ้งเซิงคือผู้อยู่เบื้องหลัง หลายเดือนมานี้เขาไม่ยอมไปทำการค้าต่างแคว้นนาน ๆ เหมือนเคย ไปก็เพียงใกล้ ๆ 1 สัปดาห์ก็รีบกลับมา แถมยังชอบหาของฝากมาให้ลูกหลานของนางอยู่ตลอดบ
ณ ตรอกเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเต้าหู้สกุลหลี่ บรรยากาศอับชื้นและเย็นยะเยือก หวังเฟยฮวา สตรีผู้ซึ่งมีใบหน้าเต็มไปด้วยความริษยา พูดคุยอย่างออกรสกับญาติผู้น้อง ที่นางจ้างมาเพื่อแสดงละคร "พวกเจ้าสองคนต้องแสดงให้แนบเนียน อย่าให้พวกมันจับพิรุธได้รู้หรือไม่""ข้ารู้แล้วน่าพี่หญิง ว่าแต่ถ้าข้าทำสำเร็จ เมื่อได้เงินมาแล้ว 100 ตำลึงต้องเป็นของข้าตามที่ตกลงกันไว้นะ" เจิ้งฉือญาติห่าง ๆ ของนางกล่าวย้ำชัดถึงข้อตกลงอีกครั้ง"ข้ารู้แล้ว หากทำสำเร็จ เงินก็อยู่ในมือพวกเจ้ามิใช่หรือ พวกเจ้าก็หักไว้เลย 100 ตำลึง ส่วนที่เหลือค่อยเอามาให้ข้า ขอเพียงได้มาจ่ายหนี้พนันให้อาจงก็พอ เรื่องอื่น ๆ ค่อยว่ากันอีกทีหลังจากนี้"หวังเฟยฮวาตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ พูดจบสองสามีภรรยา เจิ้งฉือและเจิ้งหว่านหรู ก็เริ่มการแสดงที่ซักซ้อมกันมาอย่างดี เจิ้งฉือล้มตัวลงนอนในเปลหาม ส่วนเจิ้งหว่านหรูก็รีบเอาผ้าคลุมสีขาวปิดหน้าสามีเอาไว้ แล้วสั่งให้ลูกชายทั้งสองของพวกเขาหามผู้เป็นพ่อเดินตรงไปที่หน้าร้านเต้าหู้สกุลหลี่"ช่วยด้วย...ช่วยด้วยเจ้าค่ะ" เจิ้งหว่านหรูร้องห่มร้องไห้ "...""มาดูความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเ