Share

08 การเจรจาครั้งแรก

last update Last Updated: 2025-08-09 22:23:53

ชายวัยกลางคนในชุดผ้าเนื้อดีที่หลินเสวี่ยหรงหมายตาไว้กำลังเดินวนไปวนมาด้วยท่าทีหงุดหงิด เขาพึมพำกับตนเองเบา ๆ

“น้ำตาลกรวดคุณภาพดีแค่นี้ก็ยังหาไม่ได้! กลับไปคงโดนคุณนายตำหนิอีกแน่”

หลินเสวี่ยหรงเห็นโอกาสมาถึงแล้ว เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงเริ่มแผนการของตน

เธอยกตะกร้าขึ้นสะพายหลังอีกครั้ง แล้วแสร้งทำเป็นเดินโซเซผ่านหน้าชายผู้นั้นไปอย่างคนหมดแรง ในจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะ เธอก็สะดุดเข้ากับก้อนหินอย่างจัง!

“ว้าย!”

เธอร้องออกมาเบา ๆ ขณะที่ร่างเซถลาไปข้างหน้า ผักป่าสองสามกำที่อยู่บนสุดของตะกร้าหล่นกระจายลงบนพื้น และที่สำคัญห่อผ้าใบเล็ก ๆ ห่อหนึ่งก็พลัดตกลงมาด้วย ปากห่อที่ผูกไว้อย่างหลวม ๆ บังเอิญคลายออก เผยให้เห็นผลึกน้ำตาลทรายสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่ภายใน มันขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะแรกในฤดูหนาว แตกต่างจากน้ำตาลกรวดสีเหลืองขุ่นที่เห็นได้ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

“ขอโทษด้วยค่ะคุณลุง ฉันซุ่มซ่ามไปหน่อย” หลินเสวี่ยหรงรีบก้มลงเก็บของด้วยท่าทีตื่นตระหนก พยายามจะซ่อนห่อน้ำตาลนั้นอย่างรวดเร็ว

ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว สายตาของชายผู้นั้นจับจ้องไปยังผลึกสีขาวนั้นไม่วางตา ราวกับถูกมนตร์สะกด เขาตรงเข้ามาหยุดเธอไว้

“แม่หนู เดี๋ยวก่อน นั่น! นั่นคือน้ำตาลเหรอ?!” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อปสมปนเปไปกับความหวัง

หลินเสวี่ยหรงเงยหน้าขึ้น สบตาเขาด้วยแววตาที่ซื่อตรงแต่ก็แฝงไว้ด้วยความระแวดระวัง

“ใช่ค่ะ เป็นน้ำตาลที่บ้านทำกันเอง พอดีฉันนำติดตัวมานิดหน่อย” เธอตอบด้วยท่าทีของสาวชาวบ้านผู้ไร้เดียงสา

“ฉันขอดูหน่อยได้หรือเปล่า?”

เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมเปิดห่อผ้าให้เขาดูอย่างไม่เต็มใจนัก ชายผู้นั้นใช้นิ้วชี้แตะผลึกน้ำตาลขึ้นมาเล็กน้อยแล้วนำเข้าปาก

ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกตะลึง รสหวานบริสุทธิ์ที่ไร้ซึ่งรสฝาดเจือปนนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนในชีวิต นี่มันของล้ำค่าชัด ๆ!

“ฉันให้เธอหนึ่งหยวนต่อครึ่ง¹ชั่ง! ขายให้ฉันทั้งหมด!” เขาเสนอราคาทันทีด้วยความรีบร้อน ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงมากสำหรับชาวบ้านทั่วไป

ทว่าหลินเสวี่ยหรงกลับส่ายศีรษะช้า ๆ

“คุณลุง ของสิ่งนี้คุณก็รู้ว่ามันหาได้ยากขนาดไหน” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความมั่นคงที่ทำให้คนฟังไม่อาจมองข้าม “สามหยวนต่อครึ่งชั่งค่ะ และฉันมีเพียงครึ่งชั่งนี้เท่านั้น”

“สามหยวน! เธอคิดว่านี่เป็นทองคำหรือยังไง?!” ชายผู้นั้นร้องเสียงหลง พยายามจะใช้สถานะของตนข่มขู่เด็กสาวตรงหน้า

แต่หลินเสวี่ยหรงกลับไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย เธอยิ้มบาง ๆ

“คุณลุง หากคุณได้ของดีแบบนี้กลับไป คุณนายของคุณย่อมต้องพอใจ บางทีคุณอาจจะได้รับรางวัลเพิ่มเสียอีก แต่หากคุณไม่ได้อะไรกลับไปเลย ผลจะเป็นยังไงคุณลุงย่อมรู้ดีกว่าฉัน”

ชายผู้นั้นจ้องมองใบหน้าที่งดงามแต่แฝงไว้ด้วยความฉลาดเฉียบแหลมของเธอแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขารู้ดีว่าตนเจอเข้ากับตอไม้เสียแล้ว เด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่หมูในอวยที่จะยอมให้เชือดได้ง่าย ๆ

“สองหยวนครึ่ง! นี่คือราคาสุดท้ายแล้ว!” เขายื่นคำขาด

หลินเสวี่ยหรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า “ตกลงค่ะ”

การซื้อขายสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว หลินเสวี่ยหรงรับถุงเงินที่หนักอึ้งมาเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างมิดชิด ส่วนชายผู้นั้นก็รีบเก็บห่อน้ำตาลราวกับกลัวใครจะมาแย่งแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

หัวใจของหลินเสวี่ยหรงเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นและยินดี นี่คือเงินก้อนแรกที่เธอหามาได้ด้วยตนเองในโลกใบนี้!

ทว่า

ยังไม่ทันที่หลินเสวี่ยหรงจะได้ก้าวเท้าออกจากตรอกมืดนั้น ร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากเงาเบื้องหน้า ดักทางของเธอเอาไว้ เขาสวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายเนื้อดีสีเข้ม แม้จะดูไม่หรูหราแต่ก็สะอาดสะอ้าน ใบหน้าของเขาธรรมดาสามัญ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววหลักแหลมและเจนจัดราวกับสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับร้อยสนามรบ

เขาไม่ได้มีท่าทีคุกคาม แต่กลับส่งยิ้มที่อ่านความหมายออกมาไม่ได้

“แม่หนู ผักป่าของเธอดูสดใหม่ดีนี่ ฉันขอซื้อทั้งหมดเลยได้หรือเปล่า? ให้ราคาสูงกว่าตลาดทั่วไปหนึ่งส่วน”

หลินเสวี่ยหรงหัวใจกระตุกวูบหนึ่ง แต่เธอก็ยังคงควบคุมสีหน้าให้เรียบเฉยได้อย่างรวดเร็ว เธอรู้ดีว่าบุรุษผู้นี้ไม่ได้สนใจผักเหี่ยว ๆ ในตะกร้าของเธอแม้แต่น้อย

“คุณลุงล้อฉันเล่นแล้ว ของเล็กน้อยแค่นี้จะคู่ควรให้คุณลุงชายตาได้ยังไง” เธอตอบกลับอย่างสุภาพ เป็นการปฏิเสธที่ไม่ได้สร้างศัตรู

ชายผู้นั้นหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่า ๆๆ แม่หนู เธอช่างน่าสนใจจริง ๆ” รอยยิ้มของเขาดูจริงใจขึ้นกว่าเดิม “ฉันแซ่จ้าว เป็นพ่อค้าเล็ก ๆ คนหนึ่ง ฉันเห็นการเจรจาของเธอเมื่อครู่นี้ น้ำตาลนั่นเป็นของดี”

เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่แววตาจะฉายประกายคมกริบ

“ฉันเดาว่าในห่อผ้าอีกห่อที่อยู่ก้นตะกร้าของเธอ คงจะเป็นของที่ดียิ่งกว่านั้นใช่หรือเปล่า?”

คำพูดนั้นทำให้หลินเสวี่ยหรงเย็นวาบไปทั้งสันหลัง ชายผู้นี้สายตาแหลมคมเกินไปแล้ว!

เธอไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ ทำเพียงจ้องมองเขาด้วยแววตาที่นิ่งสงบแต่แฝงไว้ด้วยความระแวดระวัง การนิ่งเงียบในสถานการณ์แบบนี้คือคำตอบที่ดีที่สุด

พ่อค้าจ้าวเห็นท่าทีของเธอก็ยิ่งทวีความชื่นชมขึ้นไปอีก

“แม่หนู ไม่ต้องตกใจไป ฉันไม่มีเจตนาไม่ดี” เขารีบโบกมือ “ฉันทำธุรกิจ ฉันย่อมมองหาของดี และคนค้าขายที่ฉลาด”

เขาเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา “ฉันไม่รู้ว่าเธอได้ของพวกนั้นมาจากที่ไหน และฉันก็ไม่สนใจจะถาม แต่หากในอนาคตเธอมีของดี ๆ แบบนี้อีก ก็ไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงอันตรายในตรอกมืด ๆ แห่งนี้”

ข้อเสนอของเขานั้นช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก มันคือสิ่งที่หลินเสวี่ยหรงกำลังต้องการอยู่พอดี

“ทุกวันที่ 15 ของเดือน ฉันจะรอเธออยู่ที่โรงน้ำชาผิงอัน ที่อยู่ตรงข้ามหอสุราจิ่วกุ่ยจวีที่ถนนสายหลัก” พ่อค้าจ้าวกล่าวต่อ “นำของมาให้ฉัน ฉันรับซื้อไม่อั้น และจะให้ราคาที่ยุติธรรมที่สุดแก่เธอเสมอ”

นี่คือโอกาสทองที่สวรรค์ประทานมาให้!

การมีพ่อค้าคนกลางที่น่าเชื่อถือ จะช่วยลดความเสี่ยงให้เธอได้มหาศาล

ทว่าหลินเสวี่ยหรงผู้สุขุมรอบคอบก็ยังไม่ตอบตกลงในทันที เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพ่อค้าจ้าวเพื่อประเมินความจริงใจของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ

“เอาไว้ฉันจะลองพิจารณาดูค่ะ”

คำตอบที่ไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ยอมรับในทันทีนี้ ทำให้เธอยังคงเป็นฝ่ายที่กุมอำนาจในการตัดสินใจเอาไว้

เธอพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยเป็นเชิงลา ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว กลมกลืนหายไปกับฝูงชนในตลาดใหญ่ ทิ้งให้พ่อค้าจ้าวมองตามแผ่นหลังของเธอไปด้วยรอยยิ้มที่คาดเดาได้ยาก

หลังจากที่หลินเสวี่ยหรงเดินออกมาจากตรอกตลาดมืดแล้ว เธอก็ไม่ได้รีบร้อนเดินทางกลับในทันที เธอสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อระงับความตื่นเต้นในใจ ถุงเงินที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อนั้นหนักอึ้ง และเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จก้าวแรกของเธอ

สิ่งแรกที่เธอทำคือการเดินไปยังแผงขายของชำเล็ก ๆ เพื่อรักษาร่องรอยตามคำที่ได้อ้างไว้

“คุณป้า ฉันขอซื้อด้ายสีดำกับสีขาวอย่างละหลอดค่ะ” เธอเอ่ยกับหญิงชราเจ้าของร้านด้วยรอยยิ้ม การซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เป็นฉากหน้าที่สมบูรณ์แบบที่สุด

เมื่อได้ของตามที่อ้างไว้แล้ว การจับจ่ายของจริงก็ได้เริ่มต้นขึ้น!

เป้าหมายแรกของเธอคือแผงขายเนื้อที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาแต่ไกล การได้กินเนื้อคือความปรารถนาสูงสุดของทุกคนในยุคนี้ เธอเดินตรงเข้าไป ชี้ไปยังหมูสามชั้นชิ้นงามที่มีชั้นไขมันและเนื้อสลับกันอย่างสวยงาม

“พี่ชาย ฉันขอหมูสามชั้นตรงนั้นครึ่งชั่ง”

พ่อค้าเนื้อเหลือบมองเด็กสาวที่แต่งกายธรรมดาแต่กลับกล้าซื้อของฟุ่มเฟือยแบบนี้ด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นว่าเธอจ่ายเงินอย่างไม่ลังเล เขาก็สับเนื้อชิ้นนั้นส่งให้เธออย่างรวดเร็ว

เป้าหมายที่สองคือร้านขายธัญพืช เธอไม่ได้ซื้อข้าวฟ่างหรือข้าวโพดป่นที่คนในหมู่บ้านกินกันเป็นประจำ แต่กลับเลือกซื้อแป้งสาลีขาวละเอียดมาหนึ่งถุงใหญ่ แม้จะกินพื้นที่ในตะกร้าไปพอสมควร แต่เธอก็รู้ดีว่าความสุขจากการได้กินหมั่นโถวขาวนุ่มนั้นล้ำค่าขนาดไหน

จากนั้นเธอก็มุ่งหน้าไปยังแผงขายผ้า เพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในใจกับน้องสาวสามี

“ป้าคะ ฉันต้องการผ้าฝ้ายเนื้อหนาสีน้ำเงินเข้มสำหรับทำรองเท้าค่ะ” เธอเลือกผ้าที่ทนทานและใช้งานได้จริง ไม่ได้สวยงามแต่บอบบาง เป็นการเลือกที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียด

สถานที่สุดท้ายที่เธอไปเยือนคือร้านขายยาเล็ก ๆ ท้ายตลาด เธอนึกถึงภาพแม่สามีที่มักจะบ่นปวดเมื่อยตามข้อในวันที่อากาศเปลี่ยนแปลง

“แม่สามีฉันมักจะปวดเมื่อยตามข้อในวันที่อากาศชื้น คุณพอจะมียาดี ๆ แนะนำหรือเปล่าคะ?” เธออธิบายอาการให้หมอชราฟังอย่างละเอียด

หมอชราพยักหน้าแล้วจัดยาให้เป็นชุด ทั้งยาแผ่นสำหรับปิดบรรเทาปวดและยาห่อสำหรับนำไปต้มดื่มบำรุงจากภายใน

เมื่อทุกอย่างครบถ้วน ตะกร้าบนหลังของหลินเสวี่ยหรงก็หนักอึ้งขึ้นกว่าขามาหลายเท่าตัวนัก แต่ความหนักหน่วงในครานี้กลับไม่ได้ทำให้เหนื่อยกาย แต่กลับทำให้หัวใจพองฟูไปด้วยความหวังและความสุข

การเดินทางขากลับนั้นแม้จะยังคงยาวนานและเหนื่อยล้า แต่จิตใจของเธอกลับเบิกบานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในโลกใบนี้ที่เธอรู้สึกว่าตนเองสามารถควบคุมชะตาชีวิตของตนเอง และคนรอบข้างได้

‘นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น’ เธอคิดในใจ แววตาเปล่งประกายมุ่งมั่น

เมื่ออาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงจนเหลือเพียงแสงสีทองสุดท้ายของวันจับขอบฟ้า หมู่บ้านต้าซานที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในสายตา ควันสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากปล่องไฟของแต่ละครัวเรือนเป็นสัญญาณของการใช้ชีวิตกับครอบครัวที่อบอุ่น

หลินเสวี่ยหรงเร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้น ในใจจินตนาการไปถึงใบหน้าของแม่สามี และน้องสาวสามีเมื่อได้เห็นของติดไม้ติดมือที่เธอนำกลับมาฝากในวันนี้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   32 ภาพครอบครัวที่สมบูรณ์

    วิสัยทัศน์ของเธอทำให้ทุกคนที่ได้ฟังต้องนิ่งอึ้งไปด้วยความทึ่ง พวกเขาคิดถึงแค่เพียงปากท้องในวันนี้ แต่เธอกลับมองการณ์ไกลไปถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไปแน่นอนว่าข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่นานนัก โรงเรียนหลังเก่าที่ทรุดโทรมก็ได้ถูกแทนที่ด้วยอาคารเรียนอิฐแดงสองชั้นที่แข็งแรงและสว่างไสว เด็ก ๆ ทุกคนมีโต๊ะเรียนและหนังสือเล่มใหม่ เสียงอ่านหนังสือที่ดังกังวานของพวกเขาในทุก ๆ เช้า นับเป็นเสียงอนาคตที่สดใสของหมู่บ้านต้าซานแต่การลงทุนที่สำคัญที่สุดของหลินเสวี่ยหรงนั้น คือน้องสาวสามีของเธอเอง“หลานเอ๋อร์” วันหนึ่งเธอเอ่ยขึ้นกับเว่ยเหอหลานที่บัดนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามและเฉลียวฉลาด “เธอเป็นเด็กที่ขยันหมั่นเพียร ตอนนี้ทางการได้เปิดการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งแล้ว เธออยากจะลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงดูหรือเปล่า?”แววตาของเว่ยเหอหลานเป็นประกายขึ้นมาด้วยความหวัง แต่ก็เจือปนไปด้วยความไม่มั่นใจ“ฉัน.. ฉันจะทำได้หรือคะพี่สะใภ้? การสอบแข่งขันนั้นยากมากนะ”“ทำไมจะไม่ได้?” หลินเสวี่ยหรงกล่าวให้กำลังใจอย่างหนักแน่น “ขอแค่เธอตั้งใจจริง เรื่องตำราเรียนและค

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   31 กำเนิดทายาท

    ความโกลาหลที่ถูกเตรียมการมาอย่างดีก็ได้เริ่มต้นขึ้น!เว่ยหลงผู้เคยตื่นตูม บัดนี้กลับมีสติและทำตามขั้นตอนที่หลี่ซินอี๋เคยซักซ้อมไว้เป็นอย่างดี เขารีบประคองภรรยาไปยังห้องนอนที่ถูกเตรียมไว้เป็นห้องคลอดโดยเฉพาะ ส่วนชุนฮวาก็รีบไปต้มน้ำและเตรียมผ้าสะอาด ในขณะที่เว่ยเหอหลานก็วิ่งหน้าตาตื่นไปตามหมอตำแยในหมู่บ้านมาเป็นผู้ช่วยเว่ยหลงถูกกันให้ออกมารออยู่หน้าห้องด้วยใจที่ร้อนรนราวกับไฟเผา เขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูราวกับหนูติดจั่น ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของภรรยาดังเล็ดลอดออกมา หัวใจของเขาก็ราวกับถูกมีดกรีด เขารู้สึกไร้กำลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตภายในห้องคลอด สถานการณ์ก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน การคลอดติดขัดเล็กน้อยทำให้หมอตำแยเริ่มหน้าซีด“แย่แล้ว! เด็กไม่ยอมกลับหัว!”“ทุกคนอยู่ในความสงบ!” เสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยอำนาจของหลี่ซินอี๋ดังขึ้นมา “พี่สะใภ้ฟังฉันนะ หายใจเข้าลึก ๆ ทำตามที่ฉันบอก”แพทย์สาวผู้มีความรู้ที่ทันสมัยกว่า ใช้เทคนิคการนวดและการจัดท่าทางช่วยให้หลินเสวี่ยหรงผ่อนคลายและทำให้ทารกกลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องได้ในที่สุด“เบ่งอีกครั้งค่ะพี่สะใภ้! ฉันเห็นหั

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   30 ว่าที่คุณพ่อมือใหม่

    ในการพบปะกันครั้งล่าสุดที่โรงน้ำชาผิงอัน บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองจึงได้เปลี่ยนไป มันไม่ใช่การเจรจาซื้อขายระหว่างผู้ผลิตและผู้รับซื้อ แต่เป็นการประชุมทางธุรกิจที่จริงจัง“คุณลุงคะ ขอบคุณคุณลุงเสมอมาที่คอยช่วยเหลือและให้การสนับสนุนกิจการของหมู่บ้านของฉัน” หลินเสวี่ยหรงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ “วันนี้ฉันมีข้อเสนอทางธุรกิจที่ใหญ่กว่าเดิมมานำเสนอ”เธอได้อธิบายถึงโครงการโรงงานแปรรูปอาหาร วิสัยทัศน์ และศักยภาพในการเติบโตของตลาดให้เขาฟังอย่างละเอียด ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นสำคัญ“แต่โครงการนี้ใหญ่เกินกว่าที่หมู่บ้านของเราจะทำได้เพียงลำพัง ฉันจึงอยากจะเรียนเชิญคุณลุงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเราอย่างเป็นทางการค่ะ”พ่อค้าจ้าวผู้มีสายตาแหลมคมดุจสุนัขจิ้งจอก เมื่อได้ฟังข้อเสนอของเธอก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เขารอคอยประโยคนี้จากเธอมานานแล้ว“แม่หนู ในที่สุดเธอก็เอ่ยปากเสียที” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี “ว่ามาสิ เธอต้องการจะแบ่งหุ้นส่วนกันยังไง?”นี่คือช่วงเวลาที่หลินเสวี่ยหรงจะได้แสดงทักษะการเจรจาธุรกิจจากศตวรรษที่ยี่สิบห้า ของเธอออกมาอย่างเต็มที่“ทางสหกรณ์หมู่บ้านต้าซานจะรับผิดชอบในส่วนของก

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   29 งานมงคลสมรส

    เธอเรียกประชุมทีมงานหลักอีกครั้งที่บ้านของตนเอง ในครั้งนี้มีพ่อค้าจ้าวเข้าร่วมด้วยในฐานะที่ปรึกษาด้านการตลาด“สหายทุกคนตอนนี้เรามีสินค้าที่ดีที่สุด แต่เราจะทำยังไงให้คนอื่นรู้ว่าสินค้าของเราแตกต่างและดีกว่าของคนอื่นอย่างไร?” เธอเริ่มต้นด้วยคำถามที่กระตุ้นความคิดทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ของดีก็คือของดี จะต้องทำอะไรอีกเล่า?“เราต้องสร้างตราสินค้า หรือที่คนในเมืองใหญ่เรียกว่าแบรนด์ขึ้นมา” เธออธิบายแนวคิดที่ล้ำยุคนี้ “มันเป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้ทุกคนจดจำได้ว่าเห็ดที่ดีที่สุด มาจากที่ไหน”เธอเสนอแนวคิดเรื่องการออกแบบโลโก้ และบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและถูกสุขลักษณะ“โลโก้ของเราจะเป็นรูปภูเขาต้าซานที่มียอดเป็นรูปเห็ดที่กำลังงอกงาม” เธอร่างภาพคร่าว ๆ ให้ทุกคนดู “ส่วนเห็ดตากแห้งของเรา แทนที่จะขายแบบกองรวมกัน เราจะนำมันมาบรรจุในถุงกระดาษที่สะอาดและปิดผนึกอย่างดี บนถุงจะมีตราสินค้าของเราพิมพ์อยู่”พ่อค้าจ้าวผู้คร่ำหวอดในวงการค้าขายมาทั้งชีวิต เมื่อได้ฟังความคิดของเธอก็ถึงกับตาโตเป็นประกาย“แม่หนู! เธอช่างเป็นอัจฉริยะ! ฉันค้าขายมาทั้งชีวิต ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!” เขากล่าวด้วยความต

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   28 การเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย

    ‘บ้านหลังนี้เคยเป็นทั้งกรงทองและขุมนรกของฉัน’ เธอคิดในใจ ‘แต่วันนี้ มันจะเป็นเพียงเวทีสำหรับละครฉากสุดท้ายเท่านั้น’เว่ยหลงเป็นผู้ที่เคาะประตูเมื่อประตูเปิดออก หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมองหลินเสวี่ยหรงด้วยความตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปรายงานนายหญิงของตนไม่นานนัก ร่างของแม่เลี้ยงก็รีบวิ่งออกมาด้วยท่าทีที่เสแสร้ง “ใครมา อ๊ะ! หรงเอ๋อร์!” เธอทำท่าจะโผเข้ามาสวมกอดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจอมปลอม “เธอกลับมาแล้ว! ในที่สุดเธอก็กลับมาช่วยแม่กับน้อง!”แต่เธอก็ต้องชะงักงัน เมื่อได้เห็นหลินเสวี่ยหรงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวที่เคยผอมแห้งและมีแววตาหวาดกลัวอยู่เสมอ บัดนี้กลับกลายเป็นสตรีที่สง่างามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้เธอจะสวมเพียงเสื้อผ้าผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ แต่มันกลับดูดีและสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณของเธอเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และที่สำคัญที่สุดคือดวงตาของเธอ มันไม่ได้มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเย็นชาและเฉยเมยที่มองมายังเธอราวกับเป็นเพียงคนแปลกหน้าและที่ข้างกายของเธอยังมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารยืนค้ำตระหง่านอยู่ แววตาของเขาคมกริบและเย็นชา

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   27 จดหมายจากเมืองใหญ่

    “มันหนีไปแล้ว! รีบจับมันไว้!”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับที่ชาวบ้านกรูกันไล่ตามไปทันที การวิ่งหนีของเขานั้นคือคำสารภาพที่ชัดเจนที่สุดทว่าคนขี้ขลาดที่ตื่นตระหนกจนเสียสติจะไปสู้แรงของเหล่าเกษตรกรที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต และทหารผู้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีได้ยังไง?เพียงไม่นาน เว่ยหลงก็วิ่งตามไปทันและใช้เท้าเตะเข้าที่ข้อพับของหลี่กังจนเขาล้มหน้าคะมำลงไปกองกับพื้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ รีบกรูกันเข้าไปจับตัวเขาไว้แล้วใช้เชือกมัดอย่างแน่นหนา“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!” เขาดิ้นรนอย่างน่าสมเพชชาวบ้านลากตัวหลี่กังกลับมาที่ลานหมู่บ้าน ท่ามกลางสายตาที่เคียดแค้นของทุกคนที่เขาพยายามจะทำร้าย“สารภาพมา! ทำไมนายถึงได้กล้าทำเรื่องเลวทรามแบบนี้?!” ผู้ใหญ่บ้านสือตวาดถามเมื่อจนมุมอย่างสิ้นเชิงแล้ว ความกล้าทั้งหมดของหลี่กังก็มลายหายไป เหลือไว้เพียงความหวาดกลัว“ฉะ ฉันผิดไปแล้ว! ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย!” เขาร้องไห้ฟูมฟายน้ำมูกน้ำตาไหล “ฉันแค่อิจฉา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร ฉันแค่.. ฉันแค่อยากจะสั่งสอนนังหลินเสวี่ยหรงเท่านั้น!”แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังคงพยายามจะป้ายความผิดให้ผู้อื่นขณะนั้นเอง หลินเสวี่ยหรงก็ได้เดิ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status