เมื่อหลินเสวี่ยหรงก้าวเข้ามาในบริเวณลานหน้าบ้าน ชุนฮวาและเว่ยเหอหลานที่กำลังเก็บกวาดเครื่องมือทำไร่อยู่ก็หันมามองเป็นตาเดียวกัน
“แม่ หลานเอ๋อร์ ฉันกลับมาแล้ว” หลินเสวี่ยหรงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แต่ดวงตาของเธอกลับเป็นประกายสดใส
เธอวางตะกร้าที่หนักอึ้งลงบนโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ตัวหนึ่ง ก่อนจะเริ่มหยิบของที่ซื้อหามาได้ออกมาวางทีละชิ้น
ชิ้นแรกคือด้ายและเข็มที่เธอใช้อ้างเป็นเหตุผลในการเข้าเมือง ชิ้นที่สองคือถุงแป้งสาลีขาวละเอียดที่หนักอึ้ง ชุนฮวาเริ่มเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ชิ้นที่สามคือผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้มเนื้อดี เว่ยเหอหลานถึงกับสูดปากอย่างตื่นเต้น ชิ้นที่สี่คือห่อยาสำหรับบำรุงร่างกาย และยาหม่องสำหรับทาแก้ปวดเมื่อย
และชิ้นสุดท้าย เธอก็ค่อย ๆ คลี่ใบตองที่ห่อไว้ออก เผยให้เห็นเนื้อหมูสามชั้นชิ้นใหญ่มันแทรกสวยงามที่ส่งกลิ่นสดใหม่
ทันทีที่เห็นเนื้อหมูชิ้นนั้น ทั้งลานบ้านก็ตกอยู่ในความเงียบงันราวกับถูกหยุดเวลา
สำหรับครอบครัวที่นับเมล็ดข้าวสารประทังชีวิตในแต่ละวันแล้ว การปรากฏตัวของเนื้อหมูชิ้นใหญ่นี้ไม่ต่างอะไรกับภาพฝันที่ไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการถึง ชุนฮวายืนนิ่งตัวแข็งทื่อ มือที่หยาบกร้านสั่นเทาเล็กน้อยขณะที่เอื้อมไปแตะชิ้นเนื้อนั้นเบา ๆ ราวกับกลัวว่ามันจะสลายไปในอากาศ
“พี่สะใภ้! เนื้อ! เป็นเนื้อจริง ๆ ด้วย!” เว่ยเหอหลานคือคนแรกที่หาเสียงของตนเองเจอ เธอร้องออกมาด้วยความดีใจจนสุดเสียง ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ
“หรงเอ๋อร์” น้ำเสียงของชุนฮวาสั่นเครือ “นี่.. นี่เธอไปเอาของพวกนี้มาจากที่ไหนมา? มันต้องใช้เงินไม่น้อยเลยนะ!”
หลินเสวี่ยหรงคลี่ยิ้มอย่างใจเย็น เธอเตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้แล้ว
“แม่ ฉันโชคดีค่ะ” เธอเริ่มด้วยคำอธิบายที่ทุกคนคุ้นเคย “ตอนที่อยู่ในป่า ฉันเคยเจอสมุนไพรหายากบางอย่างเลยเก็บไว้ วันนี้เข้าเมืองไปเลยลองนำไปถามที่ร้านขายยาดู ไม่คิดว่าพ่อค้าจะยอมรับซื้อ แถมยังให้ราคาดีมากอีกด้วย”
จากนั้นเธอก็ยื่นห่อยาให้แม่สามี “ส่วนนี่ ฉันซื้อยามาให้แม่ไว้ทาแก้ปวดเมื่อย” แล้วจึงหันไปยื่นผ้าผืนงามให้เว่ยเหอหลาน “ผืนนี้สำหรับหลานเอ๋อร์ เอาไว้ทำรองเท้าคู่ใหม่นะ”
คำอธิบายของเธอสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับโชคลาภที่เธอเคยได้รับมาก่อนหน้านี้ ทำให้ชุนฮวาปักใจเชื่อในทันที หญิงชรามองสะใภ้คนนี้ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งขอบคุณ ตื้นตัน และภาคภูมิใจจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
ค่ำคืนนั้น ครัวเล็ก ๆ ของบ้านตระกูลเว่ยก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายปี เสียงฉ่าของมันหมูที่ถูกเจียวในกระทะ เสียงนวดแป้งสาลีเพื่อทำหมั่นโถวขาวนุ่ม ทุกอย่างคือเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข
เมื่อเว่ยหลงกลับมาถึงบ้าน เขาก็ต้องตะลึงกับภาพตรงหน้า
บนโต๊ะอาหารมีหมูสามชั้นผัดผักดองเค็มที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย มีหมั่นโถวลูกขาวอวบอ้วนวางเรียงรายอยู่เต็มจาน มารดา และน้องสาวของเขามีใบหน้าที่เปี่ยมสุขอย่างที่เขาไม่ได้เห็นมานานแสนนาน
เขามองไปยังภรรยาในนามของตน ผู้ที่กำลังตักอาหารให้ทุกคนด้วยรอยยิ้ม แล้วหัวใจของทหารหนุ่มผู้แข็งแกร่งก็พลันรู้สึกอ่อนโยนลงอย่างประหลาด
มื้ออาหารในค่ำคืนนั้นเป็นมื้อที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม ทุกคนกินจนอิ่มหนำสำราญเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แสงตะเกียงในบ้านดูเหมือนจะสว่างไสวกว่าทุกคืน ความทุกข์ยากที่ผ่านมาดูเหมือนจะจางหายไปในไออุ่นของมื้ออาหารที่แสนวิเศษนี้
หลังจากที่ทุกคนในบ้านตระกูลเว่ยหลับใหลไปพร้อมกับรอยยิ้ม และความอิ่มหนำสำราญแล้ว บรรยากาศภายในบ้านก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง แต่เป็นความเงียบที่อบอวลไปด้วยความสุข ไม่ใช่ความเงียบเหงาที่เย็นเยียบเหมือนเช่นเคย
ในห้องนอนเล็ก ๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา หลินเสวี่ยหรงกำลังนั่งอยู่บนขอบเตียง เธอค่อย ๆ นวดคลึงข้อเท้าของตนเองที่ยังคงมีอาการปวดเมื่อยหลงเหลืออยู่จากการเดินทางไกลในวันนี้ แม้จิตใจจะเข้มแข็งขนาดไหน แต่ความอ่อนแอของร่างกายนี้ก็ยังคงเป็นโซ่ตรวนที่คอยฉุดรั้งเธออยู่เสมอ
ขณะนั้นเอง ประตูก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแผ่วเบา ร่างสูงใหญ่ของเว่ยหลงเดินเข้ามาในห้อง หลังจากที่เขาไปตรวจดูความเรียบร้อยของประตูหน้าต่างรอบบ้านเสร็จแล้ว
สายตาของเขาจับจ้องไปยังข้อเท้าของเธอที่กำลังถูกนวดคลึงอยู่นั้น ในใจของทหารหนุ่มพลันรู้สึกอ่อนโยนลงอย่างประหลาด ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาพยายามรักษาระยะห่าง นอนบนพื้นแข็ง ๆ ไม่เคยล่วงเกินเธอแม้แต่น้อย
แต่ในค่ำคืนนี้ ดูเหมือนว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป
เขาไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา แต่กลับเดินตรงไปยังหีบไม้ของตนแล้วหยิบขวดกระเบื้องสีเข้มใบเล็กออกมาขวดหนึ่ง มันคือ¹เตี๋ยต๋าจิ่ว หรือสุรายาสำหรับทาแก้ฟกช้ำเคล็ดขัดยอกที่ทหารในกองทัพมักจะได้รับแจก กลิ่นสมุนไพรที่เข้มข้นและฉุนแรงลอยออกมาทันทีที่เขาเปิดจุกขวด
เว่ยหลงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลินเสวี่ยหรง ก่อนจะค่อย ๆ คุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าเธอ
“ยังเจ็บอยู่เหรอ?” เขาถามเสียงทุ้มต่ำ
หลินเสวี่ยหรงชะงักไปเล็กน้อยกับการกระทำที่ไม่คาดคิดของเขา เธอยังไม่ทันจะได้ตอบ เขาก็เทสุรายาสีเข้มลงบนฝ่ามือของตนเล็กน้อย ถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันเพื่อวอร์มให้ยาอุ่นขึ้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ.. ราวกับจะขออนุญาต
หัวใจของหลินเสวี่ยหรงเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ ก่อนที่จะพยักหน้าให้เขาเบา ๆ เป็นการอนุญาต
ฝ่ามือที่ใหญ่ และหยาบกร้านของเขาสัมผัสลงบนข้อเท้าของเธออย่างแผ่วเบาแต่ก็มั่นคง ความร้อนจากฝ่ามือและฤทธิ์ของยาสมุนไพรค่อย ๆ แทรกซึมผ่านผิวหนังเข้าไปบรรเทาความเจ็บปวดได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทักษะการนวดของเขานั้นช่างชำนาญนัก คงเป็นความรู้ที่ได้มาจากการเป็นทหารอย่างไม่ต้องสงสัย
ท่ามกลางความเงียบในห้องที่อาบไล้ด้วยแสงจันทร์ ความใกล้ชิดสนิทสนมนี้ได้ทลายกำแพงในใจของคนทั้งสองลงอย่างสิ้นเชิง
“วันนี้.. ขอบใจเธอมาก” เว่ยหลงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เสียงของเขาราบเรียบแต่กลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง “ฉันไม่ได้เห็นแม่ยิ้มแบบนั้นมานานมากแล้ว”
“ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย พวกคุณก็เป็นครอบครัวของฉันเหมือนกันนะคะ” เธอตอบกลับไปเสียงเบา เป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากใจจริงโดยที่เธอเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
เว่ยหลงนวดให้เธอต่ออีกครู่หนึ่งจนยาซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังหมดแล้วจึงค่อย ๆ พันข้อเท้าของเธอด้วยผ้าสะอาดอีกชั้น เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเธออีกครั้ง ระยะห่างระหว่างใบหน้าของพวกเขานั้นใกล้กันเสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
บรรยากาศพลันอบอวลไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ข้อตกลงสมรสแต่ในนามที่เคยตั้งไว้ดูเหมือนจะเลือนลางหายไปในค่ำคืนนี้
เว่ยหลงค่อย ๆ เอื้อมมือขึ้นไปปัดปอยผมที่หล่นลงมาปรกใบหน้าของเธอออกอย่างแผ่วเบา ซึ่งเขาก็ยังคงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเธอ ดวงตาคมปลาบที่เคยสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอ บัดนี้กลับทอประกายด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน และร้อนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“หรงเอ๋อร์..” เขาเอ่ยเรียกชื่อเธออีกครั้ง น้ำเสียงแหบพร่าและสั่นเทาราวกับเสียงกระซิบ “เธอ ไม่ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้.. ต่อหน้าฉัน”
ประโยคนั้นเป็นประโยคธรรมดา ๆ ประโยคเดียว กำแพงที่หลินเสวี่ยหรงสร้างขึ้นรอบตัวเองมาตลอดพังครืนลงมาอย่างไม่เป็นท่า
ความอดทน ความหวาดระแวง ความเดียวดายที่เธอแบกรับไว้ในโลกที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ทั้งหมดได้พรั่งพรูออกมาเป็นหยาดน้ำตาใส ๆ ที่ไหลอาบแก้มนวลเป็นครั้งแรก
เว่ยหลงเห็นน้ำตาของเธอแล้วหัวใจก็พลันเจ็บปวดราวกับถูกบีบขยี้ เขาค่อย ๆ ยกมือที่หยาบกร้านขึ้น ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเช็ดหยาดน้ำตาให้ภรรยาอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความทนุถนอมอย่างที่สุด
เขาโน้มใบหน้าลงช้า ๆ ให้เวลาเธอได้ปฏิเสธ ให้โอกาสเธอได้ผลักไส
ทว่าหลินเสวี่ยหรงกลับไม่ทำแบบนั้น เธอค่อย ๆ หลับตาลง เสมือนเป็นการยอมรับ
ริมฝีปากของคนทั้งสองสัมผัสกันเป็นครั้งแรก มันไม่ใช่จุมพิตที่เร่าร้อนดูดดื่ม แต่กลับอ่อนโยน และนุ่มนวลราวกับผีเสื้อสองตัวที่แตะปีกกันอย่างแผ่วเบา
จุมพิตที่เริ่มต้นอย่างอ่อนหวานค่อย ๆ ลึกซึ้ง และหนักหน่วงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่ถูกกักเก็บมานาน ความปรารถนาที่เคยถูกซ่อนเร้นไว้ภายใต้หน้ากากของความเฉยชา บัดนี้ได้เผยตัวออกมาอย่างไม่มีการปิดบังอีกต่อไป
เว่ยหลงช้อนร่างของเธอขึ้นจากขอบเตียงอย่างง่ายดาย วางเธอลงบนเตียงดินที่เคยเป็นเพียงที่นอนของคนแปลกหน้าอย่างนุ่มนวลที่สุด
“ให้ฉันได้เป็นสามีของเธอ ที่ไม่ใช่เพียงแค่สามีในนามได้หรือเปล่า?” เขาถามเสียงพร่า เป็นคำถามที่ให้เกียรติเธอจนถึงที่สุด
หลินเสวี่ยหรงไม่ตอบเป็นคำพูด แต่กลับยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอของเขา แล้วรั้งใบหน้าคมคายนั้นลงมา
เป็นการตอบรับที่ชัดเจนยิ่งกว่าวาจานับล้านคำ
แสงจันทร์สาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้อง อาบไล้ร่างของคนทั้งสองที่กำลังจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
***
แสงอรุณแรกของวันลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ปลุกให้หลินเสวี่ยหรงตื่นขึ้นจากนิทราที่แสนยาวนาน และอบอุ่นที่สุดนับตั้งแต่ทะลุมิติมา เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของแขนข้างหนึ่งที่พาดอยู่บนเอวของเธอ เมื่อหันไปมองก็พบกับใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายของเว่ยหลงที่กำลังหลับสนิทอยู่ข้าง ๆ กัน
ที่นอนฟางบนพื้นตรงมุมห้องนั้นว่างเปล่า
ความทรงจำจากค่ำคืนที่ผ่านมาหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองราวกับสายน้ำอุ่น ทำให้ใบหน้างามของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอลอบมองใบหน้ายามหลับของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ปราศจากหน้ากากที่เย็นชาและเถรตรงแล้ว เขาดูอ่อนโยนและดูเป็นหนุ่มน้อยกว่าที่เธอคิดไว้มาก
ขณะที่กำลังลอบมองอยู่นั้นเอง ดวงตาคมกริบคู่นั้นก็พลันลืมขึ้นสบตากับเธอพอดี
บรรยากาศพลันเต็มไปด้วยความเขินอายที่น่ารักน่าเอ็นดู ทั้งสองต่างรีบเบือนหน้าหนีไปคนละทิศคนละทางราวกับเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าทำความผิด แต่ทว่า แขนที่โอบกอดเธออยู่นั้นกลับไม่ได้คลายออกแม้แต่น้อย
“อรุณสวัสดิ์” เขาเอ่ยขึ้นก่อน เสียงนั้นทุ้มต่ำและแหบพร่ากว่าปกติเล็กน้อย
“อืม อรุณสวัสดิ์” เธอตอบเสียงเบาหวิว
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดใจเหมือนเช่นเคย หากแต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
วิสัยทัศน์ของเธอทำให้ทุกคนที่ได้ฟังต้องนิ่งอึ้งไปด้วยความทึ่ง พวกเขาคิดถึงแค่เพียงปากท้องในวันนี้ แต่เธอกลับมองการณ์ไกลไปถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไปแน่นอนว่าข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่นานนัก โรงเรียนหลังเก่าที่ทรุดโทรมก็ได้ถูกแทนที่ด้วยอาคารเรียนอิฐแดงสองชั้นที่แข็งแรงและสว่างไสว เด็ก ๆ ทุกคนมีโต๊ะเรียนและหนังสือเล่มใหม่ เสียงอ่านหนังสือที่ดังกังวานของพวกเขาในทุก ๆ เช้า นับเป็นเสียงอนาคตที่สดใสของหมู่บ้านต้าซานแต่การลงทุนที่สำคัญที่สุดของหลินเสวี่ยหรงนั้น คือน้องสาวสามีของเธอเอง“หลานเอ๋อร์” วันหนึ่งเธอเอ่ยขึ้นกับเว่ยเหอหลานที่บัดนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามและเฉลียวฉลาด “เธอเป็นเด็กที่ขยันหมั่นเพียร ตอนนี้ทางการได้เปิดการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งแล้ว เธออยากจะลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงดูหรือเปล่า?”แววตาของเว่ยเหอหลานเป็นประกายขึ้นมาด้วยความหวัง แต่ก็เจือปนไปด้วยความไม่มั่นใจ“ฉัน.. ฉันจะทำได้หรือคะพี่สะใภ้? การสอบแข่งขันนั้นยากมากนะ”“ทำไมจะไม่ได้?” หลินเสวี่ยหรงกล่าวให้กำลังใจอย่างหนักแน่น “ขอแค่เธอตั้งใจจริง เรื่องตำราเรียนและค
ความโกลาหลที่ถูกเตรียมการมาอย่างดีก็ได้เริ่มต้นขึ้น!เว่ยหลงผู้เคยตื่นตูม บัดนี้กลับมีสติและทำตามขั้นตอนที่หลี่ซินอี๋เคยซักซ้อมไว้เป็นอย่างดี เขารีบประคองภรรยาไปยังห้องนอนที่ถูกเตรียมไว้เป็นห้องคลอดโดยเฉพาะ ส่วนชุนฮวาก็รีบไปต้มน้ำและเตรียมผ้าสะอาด ในขณะที่เว่ยเหอหลานก็วิ่งหน้าตาตื่นไปตามหมอตำแยในหมู่บ้านมาเป็นผู้ช่วยเว่ยหลงถูกกันให้ออกมารออยู่หน้าห้องด้วยใจที่ร้อนรนราวกับไฟเผา เขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูราวกับหนูติดจั่น ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของภรรยาดังเล็ดลอดออกมา หัวใจของเขาก็ราวกับถูกมีดกรีด เขารู้สึกไร้กำลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตภายในห้องคลอด สถานการณ์ก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน การคลอดติดขัดเล็กน้อยทำให้หมอตำแยเริ่มหน้าซีด“แย่แล้ว! เด็กไม่ยอมกลับหัว!”“ทุกคนอยู่ในความสงบ!” เสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยอำนาจของหลี่ซินอี๋ดังขึ้นมา “พี่สะใภ้ฟังฉันนะ หายใจเข้าลึก ๆ ทำตามที่ฉันบอก”แพทย์สาวผู้มีความรู้ที่ทันสมัยกว่า ใช้เทคนิคการนวดและการจัดท่าทางช่วยให้หลินเสวี่ยหรงผ่อนคลายและทำให้ทารกกลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องได้ในที่สุด“เบ่งอีกครั้งค่ะพี่สะใภ้! ฉันเห็นหั
ในการพบปะกันครั้งล่าสุดที่โรงน้ำชาผิงอัน บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองจึงได้เปลี่ยนไป มันไม่ใช่การเจรจาซื้อขายระหว่างผู้ผลิตและผู้รับซื้อ แต่เป็นการประชุมทางธุรกิจที่จริงจัง“คุณลุงคะ ขอบคุณคุณลุงเสมอมาที่คอยช่วยเหลือและให้การสนับสนุนกิจการของหมู่บ้านของฉัน” หลินเสวี่ยหรงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ “วันนี้ฉันมีข้อเสนอทางธุรกิจที่ใหญ่กว่าเดิมมานำเสนอ”เธอได้อธิบายถึงโครงการโรงงานแปรรูปอาหาร วิสัยทัศน์ และศักยภาพในการเติบโตของตลาดให้เขาฟังอย่างละเอียด ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นสำคัญ“แต่โครงการนี้ใหญ่เกินกว่าที่หมู่บ้านของเราจะทำได้เพียงลำพัง ฉันจึงอยากจะเรียนเชิญคุณลุงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเราอย่างเป็นทางการค่ะ”พ่อค้าจ้าวผู้มีสายตาแหลมคมดุจสุนัขจิ้งจอก เมื่อได้ฟังข้อเสนอของเธอก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เขารอคอยประโยคนี้จากเธอมานานแล้ว“แม่หนู ในที่สุดเธอก็เอ่ยปากเสียที” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี “ว่ามาสิ เธอต้องการจะแบ่งหุ้นส่วนกันยังไง?”นี่คือช่วงเวลาที่หลินเสวี่ยหรงจะได้แสดงทักษะการเจรจาธุรกิจจากศตวรรษที่ยี่สิบห้า ของเธอออกมาอย่างเต็มที่“ทางสหกรณ์หมู่บ้านต้าซานจะรับผิดชอบในส่วนของก
เธอเรียกประชุมทีมงานหลักอีกครั้งที่บ้านของตนเอง ในครั้งนี้มีพ่อค้าจ้าวเข้าร่วมด้วยในฐานะที่ปรึกษาด้านการตลาด“สหายทุกคนตอนนี้เรามีสินค้าที่ดีที่สุด แต่เราจะทำยังไงให้คนอื่นรู้ว่าสินค้าของเราแตกต่างและดีกว่าของคนอื่นอย่างไร?” เธอเริ่มต้นด้วยคำถามที่กระตุ้นความคิดทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ของดีก็คือของดี จะต้องทำอะไรอีกเล่า?“เราต้องสร้างตราสินค้า หรือที่คนในเมืองใหญ่เรียกว่าแบรนด์ขึ้นมา” เธออธิบายแนวคิดที่ล้ำยุคนี้ “มันเป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้ทุกคนจดจำได้ว่าเห็ดที่ดีที่สุด มาจากที่ไหน”เธอเสนอแนวคิดเรื่องการออกแบบโลโก้ และบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและถูกสุขลักษณะ“โลโก้ของเราจะเป็นรูปภูเขาต้าซานที่มียอดเป็นรูปเห็ดที่กำลังงอกงาม” เธอร่างภาพคร่าว ๆ ให้ทุกคนดู “ส่วนเห็ดตากแห้งของเรา แทนที่จะขายแบบกองรวมกัน เราจะนำมันมาบรรจุในถุงกระดาษที่สะอาดและปิดผนึกอย่างดี บนถุงจะมีตราสินค้าของเราพิมพ์อยู่”พ่อค้าจ้าวผู้คร่ำหวอดในวงการค้าขายมาทั้งชีวิต เมื่อได้ฟังความคิดของเธอก็ถึงกับตาโตเป็นประกาย“แม่หนู! เธอช่างเป็นอัจฉริยะ! ฉันค้าขายมาทั้งชีวิต ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!” เขากล่าวด้วยความต
‘บ้านหลังนี้เคยเป็นทั้งกรงทองและขุมนรกของฉัน’ เธอคิดในใจ ‘แต่วันนี้ มันจะเป็นเพียงเวทีสำหรับละครฉากสุดท้ายเท่านั้น’เว่ยหลงเป็นผู้ที่เคาะประตูเมื่อประตูเปิดออก หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมองหลินเสวี่ยหรงด้วยความตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปรายงานนายหญิงของตนไม่นานนัก ร่างของแม่เลี้ยงก็รีบวิ่งออกมาด้วยท่าทีที่เสแสร้ง “ใครมา อ๊ะ! หรงเอ๋อร์!” เธอทำท่าจะโผเข้ามาสวมกอดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจอมปลอม “เธอกลับมาแล้ว! ในที่สุดเธอก็กลับมาช่วยแม่กับน้อง!”แต่เธอก็ต้องชะงักงัน เมื่อได้เห็นหลินเสวี่ยหรงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวที่เคยผอมแห้งและมีแววตาหวาดกลัวอยู่เสมอ บัดนี้กลับกลายเป็นสตรีที่สง่างามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้เธอจะสวมเพียงเสื้อผ้าผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ แต่มันกลับดูดีและสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณของเธอเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และที่สำคัญที่สุดคือดวงตาของเธอ มันไม่ได้มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเย็นชาและเฉยเมยที่มองมายังเธอราวกับเป็นเพียงคนแปลกหน้าและที่ข้างกายของเธอยังมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารยืนค้ำตระหง่านอยู่ แววตาของเขาคมกริบและเย็นชา
“มันหนีไปแล้ว! รีบจับมันไว้!”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับที่ชาวบ้านกรูกันไล่ตามไปทันที การวิ่งหนีของเขานั้นคือคำสารภาพที่ชัดเจนที่สุดทว่าคนขี้ขลาดที่ตื่นตระหนกจนเสียสติจะไปสู้แรงของเหล่าเกษตรกรที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต และทหารผู้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีได้ยังไง?เพียงไม่นาน เว่ยหลงก็วิ่งตามไปทันและใช้เท้าเตะเข้าที่ข้อพับของหลี่กังจนเขาล้มหน้าคะมำลงไปกองกับพื้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ รีบกรูกันเข้าไปจับตัวเขาไว้แล้วใช้เชือกมัดอย่างแน่นหนา“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!” เขาดิ้นรนอย่างน่าสมเพชชาวบ้านลากตัวหลี่กังกลับมาที่ลานหมู่บ้าน ท่ามกลางสายตาที่เคียดแค้นของทุกคนที่เขาพยายามจะทำร้าย“สารภาพมา! ทำไมนายถึงได้กล้าทำเรื่องเลวทรามแบบนี้?!” ผู้ใหญ่บ้านสือตวาดถามเมื่อจนมุมอย่างสิ้นเชิงแล้ว ความกล้าทั้งหมดของหลี่กังก็มลายหายไป เหลือไว้เพียงความหวาดกลัว“ฉะ ฉันผิดไปแล้ว! ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย!” เขาร้องไห้ฟูมฟายน้ำมูกน้ำตาไหล “ฉันแค่อิจฉา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร ฉันแค่.. ฉันแค่อยากจะสั่งสอนนังหลินเสวี่ยหรงเท่านั้น!”แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังคงพยายามจะป้ายความผิดให้ผู้อื่นขณะนั้นเอง หลินเสวี่ยหรงก็ได้เดิ