“พวกนางทั้งสองคนก็ไปแล้ว ถึงข้าจะคิดว่าเรื่องนี้มันจะไม่จบง่าย ๆ ข้าก็ขอบคุณพวกท่านมากที่มาช่วยปกป้องข้า ตั้งแต่ที่ข้าได้รับอุบัติเหตุ ข้าก็ตั้งใจจะกลับตัว กลับใจเป็นคนที่ดีขึ้น ข้าเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง…” หยางฉิงอธิบายถึงเหตุผลที่นางเปลี่ยนไปให้ชาวบ้านได้ฟัง ‘นางได้เรื่องอ้างถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปอยู่พอดี’
ชาวบ้านที่ยังมุงดูอยู่หน้าบ้านหยางฉิง พวกเขาต่างได้ฟังที่นางพูดก็มีส่วนที่ถูกอยู่บ้าง เมื่อคนเราผ่านความเป็น ความตายมา ก็อาจจะรู้ถึงคุณค่าในการใช้ชีวิตมากขึ้น “พวกเราดีใจที่เจ้ากลับตัวกลับใจเป็นคนที่ดีได้ หลี่เซิงสามีของเจ้าเมื่อก่อนเขาก็ลำบากเพื่อเจ้ามามากมายนัก ต่อไปนี้เจ้าก็ต้องตั้งใจดูแลหลี่เซิงให้ดี ถึงสามีของเจ้าจะกลับมาเดินอีกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าได้รู้จักหาเงินเจ้าก็อยู่ได้สบาย เจ้าดูที่ดินผื่นนี้สิ ที่หลี่เซิงพยายามแย่งมันมาให้เจ้า เอาละพวกข้าเข้าใจแล้ว พวกข้าจะเดินไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้เจ้า เจ้าก็เข้าไปทำแผลที่ปากของเจ้าเถอะ และก็ระวังแม่สามีของเจ้าเอาไว้ นางไม่ยอมจบแค่นี้แน่” หลี่จือพูดเตือนหยางฉิงด้วยความเป็นห่วง ที่จริงนางสงสารหยางฉิงมากกว่าเสียอีกที่ต้องแยกบ้านออกมาดูแลสามีที่พิการเช่นนี้ “ใช่! ๆ พวกข้าก็จะเป็นพยานให้เจ้าอีกแรง” ชาวบ้านช่วยกันพูด “ถ้าอย่างนั้นพวกข้าไปก่อนละ มีเรื่องอะไรก็ร้องดัง ๆ พวกข้าจะมาช่วยก็แล้วกัน” เป็นเสียงของชาวบ้านชายคนหนึ่ง “ข้าขอบคุณที่พวกท่านทุกคนไม่ถือสา หญิงสาวเช่นข้า ที่เมื่อก่อนข้าอาจจะทำตัวไม่ดีออกไปบ้าง” นางหันไปขอบคุณชาวบ้านที่ยังอยู่หน้าบ้าน หยางฉิงยืนมองชาวบ้านต่างแยกย้ายเดินกันออกไป หลังเรื่องราวที่น่าตกใจจบลง เรื่องราวของพวกนางก็คงถูกพูดถึงไปอีกนาน…. หยางฉิงเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยความปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย วันนี้นางใช้แรงมากเกินไป ร่างกายนี้คงไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนัก ถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ เห็นทีต้องเริ่มออกกำลังกายบ้างแล้ว โชคดีที่ช่วงเช้าที่หมู่บ้านแห่งนี้มีอากาศดีนัก นางจะหาอากาศบริสุทธิ์เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกเล่า? เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน นางหันไปมองประตูห้องนอนของหลี่เซิง ‘ข้ายังไม่ได้เข้าไปเก็บของที่เขากินทิ้งไว้เลย’ หยางฉิงเคาะประตูสองครั้งก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าเข้าไปได้หรือไม่?” หลี่เซิงที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงของนาง เขาเองก็มีเรื่องที่อยากถามอยู่พอดี เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินเสียงดังมาจากหน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ “เข้ามาได้ ข้าไม่ได้ทำอะไรอยู่” สิ้นเสียงตอบรับ หยางฉิงเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง หลี่เซิงมองสำรวจใบหน้าของนาง ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับรอยมือแดงห้านิ้วบนแก้มซ้าย และคราบเลือดจาง ๆ บนริมฝีปากของนาง ‘นางถูกทำร้ายมาหรือ?’ “หน้าเจ้าเป็นอะไร? ใครทำร้ายเจ้า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้เขาจะไม่ได้ชอบนางนัก แต่เขาไม่เคยคิดจะทำร้ายนางแม้แต่ครั้งเดียว และก็ไม่ยินดีให้ใครมาทำร้ายคนของเขาเช่นกัน หยางฉิงได้ยินน้ำเสียงห่วงใยของเขา นางจึงตอบเสียงเรียบ “ข้ามีเรื่องนิดหน่อย ท่านไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้” นางไม่อยากให้เขาต้องมาห่วงใยเรื่องของนาง แค่ปัญหาของเขาเองก็คงหนักหนาพออยู่แล้ว หลี่เซิงขมวดคิ้วแน่น ถ้าเขาคิดไม่ผิด คนที่กล้าทำร้ายนางคงมีเพียงพี่สาวของเขาเท่านั้น “พี่สาวของข้าเป็นคนทำร้ายเจ้าหรือ?” เขาถามเสียงเรียบนิ่ง หยางฉิงพยักหน้า “ใช่แล้ว นางมาที่บ้าน และมีเรื่องกับข้านิดหน่อยเท่านั้น” นางตอบเสียงเบา พลางสังเกตสีหน้าของเขา “นางมากับพี่หลี่หยินหรือไม่? แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้า?” น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้นกว่าเดิม เท่ากับว่าหยางฉิงถูกทั้งสองคนรุมรังแก ตัวนางเล็กกว่าทั้งสองคนมาก หากเป็นตอนที่เขายังเดินได้ เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นแน่ หยางฉิงฟังเขาบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ นางอดไม่ได้ที่จะถามกลับไป “ท่านเป็นห่วงข้าหรือ?” นางมองหน้าหลี่เซิงเพื่อรอคำตอบ หลี่เซิงนิ่งไปเล็กน้อยกับคำถามนั้น ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “ถึงข้าจะไม่ได้ชอบเจ้ามากนัก แต่ข้าก็ไม่ชอบที่จะเห็นเจ้าถูกผู้อื่นทำร้าย ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าตอนนี้ข้าไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้ เจ้าก็ควรหาเรื่องให้น้อยลงหน่อย” แม้คำพูดจะดูดุดัน ทว่าน้ำเสียงที่ลอดออกมากลับแฝงไว้ด้วยความห่วงใยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทันรู้ตัว... หยางฉิงถูกสายตาคมดุมองกลับมา นางรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง ขนาดเขาเดินไม่ได้ยังดุถึงเพียงนี้ หากเขาเดินได้เล่า? เกรงว่าคงจับนางไปแขวนไว้บนต้นไม้แล้วเอาไม้ตีแน่! “นางมาหาเรื่องข้าก่อน พวกนางเป็นฝ่ายเริ่มทุกอย่าง ข้าเพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้นเอง” ‘ข้าไม่ได้เริ่มก่อนเสียหน่อย! ก็ใครใช้ให้พวกนางมาว่าข้ากันเล่า?’ หลี่เซิงฟังคำอธิบายของหยางฉิงแล้วก็พอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ไม่นานนักท่านแม่ก็คงมาที่บ้าน หรืออาจจะไม่มาเลยก็ได้ เพราะท่านพ่อของเขาเป็นคนหน้าบาง หากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็คงห้ามพี่สาวกับหลี่หยินไว้ “เจ้าไปทำแผลเถอะ หากครั้งหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าก็มาบอกข้าได้ ถึงข้าจะยังเดินไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้เสียเมื่อไหร่” เขาบาดเจ็บที่ขาก็จริง แต่สองมือของเขายังมีแรง! หลี่เซิงก้มมองขาตัวเองก่อนถอนหายใจ ท่านหมอบอกว่าเขาอาจจะเดินไม่ได้อีก เพราะคมมีดที่ฟันลงมาโดนเส้นเอ็นโดยตรง แต่เขายังมีความหวังว่าสักวันจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง หยางฉิงได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา นางเห็นประกายในแววตาของเขาดูว่างเปล่าไปชั่วขณะ คงเป็นเพราะเรื่องที่เขาอาจเดินไม่ได้อีก หรือหากเดินได้ก็อาจจะกลายเป็นคนพิการ ถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยาม… ‘ข้าจะช่วยเขาให้เต็มที่ก็แล้วกัน!’ “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอเอาถ้วยจานพวกนี้ไปล้างก่อน” หยางฉิงกล่าวจบก็เดินออกจากห้อง ตรงเข้าไปในครัวเพื่อล้างจานจนเสร็จ เมื่อเสร็จธุระ นางก็หายตัวกลับไปยังคอนโดส่วนตัว เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลและทายาลงบนบาดแผลที่มุมปาก “โอ๊ย…เจ็บเหมือนกันนะนี่! พี่สาวของหลี่เซิงคนนั้น คงตั้งใจตีข้าเต็มแรงเลยสินะ?” นางบ่นพึมพำขณะทำแผล เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว นางก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ากล่องผ่าตัดยังไม่ได้ล้างทำความสะอาด จึงเดินไปดูตรงที่วางไว้ ทว่าทันทีที่สายตาสบเข้ากับกล่องตรงหน้า คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากัน “เอ๊ะ…ทำไมกล่องผ่าตัดถึงกลับมาอยู่ในสภาพเดิม?” หยางฉิงรีบเดินเข้าไปจับกล่องแล้วเปิดออกดู สิ่งของทุกชิ้นภายในยังดูเหมือนใหม่ ไม่ต่างจากตอนที่นางเพิ่งได้รับมันมา “เหมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนเลย…” นางวางกล่องผ่าตัดลงที่เดิม ก่อนเดินเข้าไปดูวัตถุดิบในครัวที่เคยหยิบออกมาใช้ แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้นางประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อพูดจบ นางก็เหลือบมองสีหน้าของทั้งสองคนอ๋องสามที่รู้ว่ายาร้าน เทียนเจินถัง เป็นของดีจริง ๆ เคยกลับไปเพื่อซื้อยาเพิ่ม แต่กลับได้รับข่าวว่ายาทั้งหมดถูกขายหมดไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าอาจารย์ของนางจะส่งยาชนิดใหม่มา เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน“ถ้าอาจารย์ของเจ้านำยาเข้ามาขายอีก เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าได้หรือไม่?” เขาถามเสียงเรียบหวังจวิ้นเจี้ยงที่ถูกท่านอ๋องตัดบทไปก็รีบพูดขึ้นทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าด้วย ข้าเองก็อยากรู้ว่ายาตัวใหม่ของอาจารย์เจ้าจะเป็นยาแบบใดกันแน่”หยางฉิงเห็นความวุ่นวายตรงหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ท่านทั้งสองวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเข้าไปแจ้งทั้งสองท่านอย่างแน่นอน”เมื่อพูดจบ นางก็แย้มยิ้มออกมา อาจารย์ที่ว่านั้นก็คือตัวนางเอง หากมีเวลาว่างเมื่อใด นางก็จะคิดค้นและปรุงยาขึ้นในเวลานั้น ร้านของนางไม่ได้เป็นร้านขายยาโดยตรง เพียงแต่นำยามาขายเสริม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ร้านของนางเป็นที่อิจฉาของร้านยาดัง ๆ หลายแห่งแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังโชคดีที่มีคนคอยคุ้มกันอย่างดี พวกนั้นจึงไม่กล้าก่อเรื่องกับครอบครัวของนางโดยตรงเมื่อทั้งสองได้รับคำมั
หลี่เซิงมองนาง แววตาของนางส่องประกายยามพูดถึงเรื่องนี้ เขาจดจำความต้องการของนางไว้ในใจ “เอาไว้เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราไปเที่ยวกันดีหรือไม่? เจ้าชอบทะเลหรือ? ข้าเองก็ไม่เคยไปเช่นกัน เอาไว้ข้าจะหาข้อมูล แล้วพาเจ้าไปในอนาคตแน่นอน “เขาพูดเสียงอ่อนโยนหยางฉิงดันตัวออกจากอ้อมกอด มองหน้าเขาด้วยความตื่นเต้น “ท่านพูดจริงหรือ? ท่านต้องสัญญากับข้านะ ว่าท่านจะพาข้าไปเที่ยวทะเลสักครั้ง” นางพูดพร้อมชูนิ้วก้อยขึ้นมาหลี่เซิงมองนิ้วก้อยของนางด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าชูนิ้วขึ้นมาทำไม?”“ก็สัญญาไง! ในโลกเดิมของข้า ถ้าจะสัญญาต้องเกี่ยวก้อยกัน” นางพูดก่อนจะจับมือหนาขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของตนหลี่เซิงมองการกระทำของนางด้วยสายตาเอ็นดู เขาขยับนิ้วก้อยเบา ๆ “ข้าสัญญา ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยว” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำสัญญานั้น หยางฉิงก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ความรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่ก่อนหน้าค่อย ๆ จางหายไป อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนัก จึงทำให้นางคิดมากอยู่บ้าง...หนึ่งเดือนต่อมา หยางฉิงได้ยินข่าวว่าพรานหย่งชุนแต่งงานกับหลี่หยิน ด้วยค่าสินสอดหนึ่งตำลึงทอง ถือว่าเขาใจป้ำไม่น้อยถึงขนาดให้สินสอดขนาดนี้ เมื่อ
หยางฉิงสังเกตสายตาของพรานหย่งชุน นางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน“ท่านคงรู้แล้วว่าข้าให้ท่านมาพบเรื่องใด ตอนนี้ท่านคงได้คำตอบอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?” นางถามเสียงเรียบ“เจ้าช่างฉลาดนัก...” หย่งชุนหัวเราะเบา ๆ “ใช่ ข้ารับข้อเสนอของเจ้า ไหน ๆ ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงานอยู่แล้ว”แต่แล้วเขากลับมองหยางฉิงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนกล่าวต่อ “แต่ข้าคงไม่มีเงินมากพอที่จะขอหญิงสาวสักคนได้หรอก...”เมื่อเห็นสายตาของพรานหย่งชุน หยางฉิงจึงยิ้มบางเบา “แน่นอน ในเมื่อข้าเสนอจะช่วยท่านแล้ว ข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถือว่าเป็นของขวัญจากข้าก็แล้วกัน แต่…เรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างเรา ข้าจะช่วยให้ท่านสมหวัง แต่เมื่อท่านแต่งงานไปแล้ว ให้ถือว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”นางพูดเสียงเรียบพลางวางถุงเงินลงตรงหน้าเขา “ข้าช่วยท่านแล้ว ท่านก็ต้องทำหน้าที่ของท่านให้สำเร็จลุล่วง”พรานหย่งชุนรีบคว้าถุงเงินขึ้นมานับ เมื่อเห็นตำลึงทองห้าตำลึง เขาก็ตาโตด้วยความยินดี“ข้าจะทำงานนี้ให้สำเร็จ!” เขากล่าวอย่างตื่นเต้น“เงินที่ข้าให้ ท่านจงนำไปสร้างบ้านหลังใหม่ และเตรียมของแต่งงานให้พร้อม ท่านก็น่าจะรู้ว่ามารดาของหลี่หยินชอบคนมีเ
หลี่ชวนฟังคำพูดของหลี่เซิงแล้วยิ่งไม่เข้าใจ ‘กาดำตัวไหนอยากเปลี่ยนเป็นหงส์กัน? นั่นมันฝันไกลเกินไปหรือไม่…’ คิดไปก็ปวดหัว หลี่ชวนจึงเลิกใส่ใจ ก่อนเดินตามหลี่เซิงเข้าไปเพื่อทำหน้าที่ของตน...ขณะเดียวกัน เหตุการณ์หน้าประตูโรงทำน้ำพริก ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของอู๋เจิง นางกำลังถืออาหารมาให้สามีเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางจึงแอบหยุดฟังอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เซิง อู๋เจิงถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ’ หยางฉิงช่างมองคนได้เฉียบแหลมจริง ๆ’ นางคิดในใจดีที่วันนี้แม่สามีไม่ได้มาที่นี่ ไม่เช่นนั้น เรื่องคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่...หลังจากรอจนหลี่หยินเดินลับสายตาไป อู๋เจิงจึงออกมาจากที่ซ่อน และนำอาหารไปให้สามีเช่นทุกวันระหว่างรับประทานอาหาร หลี่ชวนเล่าเรื่องของหลี่เซิงให้นางฟังอู๋เจิงยิ้มออกมา บางทีเรื่องนี้นางควรบอกให้หยางฉิงรู้ แต่ที่แน่ ๆ นางชอบคำพูดของหลี่เซิงเสียจริง‘กาดำอยากเป็นหงส์’ไม่มีทางที่กาดำจะกลายเป็นหงส์ได้ ยิ่งหากกาดำตนนั้นมีจิตใจที่ดำมืดอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่มีวัน...หลี่ชวนมองรอยยิ้มของภรรยา แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกบางอย่างขึ้นมา ตั้งแต่นางไปทำงานกับหยางฉิงบ่อยครั้ง เขารู
“ข้าขอบคุณท่านมากที่นำเรื่องนี้มาบอกกับข้า แต่ข้ามั่นใจว่าหลี่เซิงไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีกับข้าแน่นอน ท่านสบายใจได้” นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเมื่ออู๋เจิงได้ฟังเช่นนั้น นางก็พิจารณาใบหน้าของหยางฉิง ถึงแม้นางจะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใด ๆ บนใบหน้า แต่ก็ยังดูงดงามสะกดตา ยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับหลี่หยินแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลจริง ๆ“เจ้าพูดถูก” อู๋เจิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวกลับบ้านก่อน จะได้ไม่รบกวนเจ้า”นางกล่าวลาหยางฉิงก่อนเดินกลับบ้านไปด้วยความสบายใจอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่หญิงสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกันด้วยความกังวล หลี่เซิงกลับไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เพราะตอนนี้เขากำลังยุ่งกับการดูแลเด็กน้อยทั้งสอง จนแทบไม่ได้หลับได้นอนเขาให้แม่นมคอยสอนวิธีเลี้ยงเด็กเล็ก แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากและเหนื่อยมากกว่าที่คิด การมีลูกไม่ใช่เรื่องสบายเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เรียนรู้มันไปด้วยความเต็มใจโดยเฉพาะเมื่อเด็กน้อยทั้งสองแย้มยิ้มให้เขา ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันก็เหมือนจะมลายหายไปในพริบตา...หลี่เซิงอุ้มลูกน้อยเข
หลี่เซิงรับของจากผู้ใหญ่บ้านด้วยความเกรงใจ “ท่านมาเยี่ยมข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากนำของพวกนี้มาเลย”หลี่จงยิ้มพลางตอบกลับ “ข้ามาเยี่ยมหลานทั้งที จะให้มามือเปล่าได้อย่างไร”หลี่อี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นจึงพูดแทรกขึ้นมา “ของข้าก็มีเหมือนกัน”หลี่เซิงหันไปมองหลี่อี้ ชายหนุ่มที่บัดนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รับสินค้าจากบ้านหลี่เซิงไปขายตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่นกันหลี่เซิงรับของมาจากหลี่อี้ก่อนเอ่ยล้อเลียน “ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้เจ้ามีลูกเมื่อไหร่ ข้าจะไปแสดงความยินดีแน่”หลี่อี้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะเขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน “ได้ข่าวว่าร้านของเจ้าจำหน่ายยาช่วยให้มีบุตร เอาไว้ถ้าปีนี้ข้ายังไม่มีลูก ข้าคงต้องไปซื้อยาให้ภรรยาเสียแล้ว” เขาพูดพลางเหลือบมองสีหน้ามารดาตัวเอง ซึ่งดูจะไม่พอใจที่ภรรยาของเขายังไม่มีลูกหลี่เซิงมองสีหน้าของหลี่อี้อย่างเห็นใจ ก่อนเอ่ยอย่างใจกว้าง “หากไม่มีจริง ๆ ข้าจะมอบยาให้เจ้าโดยไม่คิดเงิน ดีหรือไม่?” เขาพูดพลางยักคิ้วให้หลี่อี้หานหยุนที่นั่งฟังอยู่ สีหน้าดูดีขึ้นมาทันที ใคร ๆ ก็รู้ว่ายาของร้าน เทียนเจินถัง มีชื่อเสียงโด