“พวกนางทั้งสองคนก็ไปแล้ว ถึงข้าจะคิดว่าเรื่องนี้มันจะไม่จบง่าย ๆ ข้าก็ขอบคุณพวกท่านมากที่มาช่วยปกป้องข้า ตั้งแต่ที่ข้าได้รับอุบัติเหตุ ข้าก็ตั้งใจจะกลับตัว กลับใจเป็นคนที่ดีขึ้น ข้าเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง…” หยางฉิงอธิบายถึงเหตุผลที่นางเปลี่ยนไปให้ชาวบ้านได้ฟัง ‘นางได้เรื่องอ้างถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปอยู่พอดี’
ชาวบ้านที่ยังมุงดูอยู่หน้าบ้านหยางฉิง พวกเขาต่างได้ฟังที่นางพูดก็มีส่วนที่ถูกอยู่บ้าง เมื่อคนเราผ่านความเป็น ความตายมา ก็อาจจะรู้ถึงคุณค่าในการใช้ชีวิตมากขึ้น “พวกเราดีใจที่เจ้ากลับตัวกลับใจเป็นคนที่ดีได้ หลี่เซิงสามีของเจ้าเมื่อก่อนเขาก็ลำบากเพื่อเจ้ามามากมายนัก ต่อไปนี้เจ้าก็ต้องตั้งใจดูแลหลี่เซิงให้ดี ถึงสามีของเจ้าจะกลับมาเดินอีกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าได้รู้จักหาเงินเจ้าก็อยู่ได้สบาย เจ้าดูที่ดินผื่นนี้สิ ที่หลี่เซิงพยายามแย่งมันมาให้เจ้า เอาละพวกข้าเข้าใจแล้ว พวกข้าจะเดินไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้เจ้า เจ้าก็เข้าไปทำแผลที่ปากของเจ้าเถอะ และก็ระวังแม่สามีของเจ้าเอาไว้ นางไม่ยอมจบแค่นี้แน่” หลี่จือพูดเตือนหยางฉิงด้วยความเป็นห่วง ที่จริงนางสงสารหยางฉิงมากกว่าเสียอีกที่ต้องแยกบ้านออกมาดูแลสามีที่พิการเช่นนี้ “ใช่! ๆ พวกข้าก็จะเป็นพยานให้เจ้าอีกแรง” ชาวบ้านช่วยกันพูด “ถ้าอย่างนั้นพวกข้าไปก่อนละ มีเรื่องอะไรก็ร้องดัง ๆ พวกข้าจะมาช่วยก็แล้วกัน” เป็นเสียงของชาวบ้านชายคนหนึ่ง “ข้าขอบคุณที่พวกท่านทุกคนไม่ถือสา หญิงสาวเช่นข้า ที่เมื่อก่อนข้าอาจจะทำตัวไม่ดีออกไปบ้าง” นางหันไปขอบคุณชาวบ้านที่ยังอยู่หน้าบ้าน หยางฉิงยืนมองชาวบ้านต่างแยกย้ายเดินกันออกไป หลังเรื่องราวที่น่าตกใจจบลง เรื่องราวของพวกนางก็คงถูกพูดถึงไปอีกนาน…. หยางฉิงเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยความปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย วันนี้นางใช้แรงมากเกินไป ร่างกายนี้คงไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนัก ถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ เห็นทีต้องเริ่มออกกำลังกายบ้างแล้ว โชคดีที่ช่วงเช้าที่หมู่บ้านแห่งนี้มีอากาศดีนัก นางจะหาอากาศบริสุทธิ์เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกเล่า? เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน นางหันไปมองประตูห้องนอนของหลี่เซิง ‘ข้ายังไม่ได้เข้าไปเก็บของที่เขากินทิ้งไว้เลย’ หยางฉิงเคาะประตูสองครั้งก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าเข้าไปได้หรือไม่?” หลี่เซิงที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงของนาง เขาเองก็มีเรื่องที่อยากถามอยู่พอดี เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินเสียงดังมาจากหน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ “เข้ามาได้ ข้าไม่ได้ทำอะไรอยู่” สิ้นเสียงตอบรับ หยางฉิงเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง หลี่เซิงมองสำรวจใบหน้าของนาง ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับรอยมือแดงห้านิ้วบนแก้มซ้าย และคราบเลือดจาง ๆ บนริมฝีปากของนาง ‘นางถูกทำร้ายมาหรือ?’ “หน้าเจ้าเป็นอะไร? ใครทำร้ายเจ้า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้เขาจะไม่ได้ชอบนางนัก แต่เขาไม่เคยคิดจะทำร้ายนางแม้แต่ครั้งเดียว และก็ไม่ยินดีให้ใครมาทำร้ายคนของเขาเช่นกัน หยางฉิงได้ยินน้ำเสียงห่วงใยของเขา นางจึงตอบเสียงเรียบ “ข้ามีเรื่องนิดหน่อย ท่านไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้” นางไม่อยากให้เขาต้องมาห่วงใยเรื่องของนาง แค่ปัญหาของเขาเองก็คงหนักหนาพออยู่แล้ว หลี่เซิงขมวดคิ้วแน่น ถ้าเขาคิดไม่ผิด คนที่กล้าทำร้ายนางคงมีเพียงพี่สาวของเขาเท่านั้น “พี่สาวของข้าเป็นคนทำร้ายเจ้าหรือ?” เขาถามเสียงเรียบนิ่ง หยางฉิงพยักหน้า “ใช่แล้ว นางมาที่บ้าน และมีเรื่องกับข้านิดหน่อยเท่านั้น” นางตอบเสียงเบา พลางสังเกตสีหน้าของเขา “นางมากับพี่หลี่หยินหรือไม่? แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้า?” น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้นกว่าเดิม เท่ากับว่าหยางฉิงถูกทั้งสองคนรุมรังแก ตัวนางเล็กกว่าทั้งสองคนมาก หากเป็นตอนที่เขายังเดินได้ เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นแน่ หยางฉิงฟังเขาบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ นางอดไม่ได้ที่จะถามกลับไป “ท่านเป็นห่วงข้าหรือ?” นางมองหน้าหลี่เซิงเพื่อรอคำตอบ หลี่เซิงนิ่งไปเล็กน้อยกับคำถามนั้น ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “ถึงข้าจะไม่ได้ชอบเจ้ามากนัก แต่ข้าก็ไม่ชอบที่จะเห็นเจ้าถูกผู้อื่นทำร้าย ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าตอนนี้ข้าไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้ เจ้าก็ควรหาเรื่องให้น้อยลงหน่อย” แม้คำพูดจะดูดุดัน ทว่าน้ำเสียงที่ลอดออกมากลับแฝงไว้ด้วยความห่วงใยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทันรู้ตัว... หยางฉิงถูกสายตาคมดุมองกลับมา นางรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง ขนาดเขาเดินไม่ได้ยังดุถึงเพียงนี้ หากเขาเดินได้เล่า? เกรงว่าคงจับนางไปแขวนไว้บนต้นไม้แล้วเอาไม้ตีแน่! “นางมาหาเรื่องข้าก่อน พวกนางเป็นฝ่ายเริ่มทุกอย่าง ข้าเพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้นเอง” ‘ข้าไม่ได้เริ่มก่อนเสียหน่อย! ก็ใครใช้ให้พวกนางมาว่าข้ากันเล่า?’ หลี่เซิงฟังคำอธิบายของหยางฉิงแล้วก็พอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ไม่นานนักท่านแม่ก็คงมาที่บ้าน หรืออาจจะไม่มาเลยก็ได้ เพราะท่านพ่อของเขาเป็นคนหน้าบาง หากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็คงห้ามพี่สาวกับหลี่หยินไว้ “เจ้าไปทำแผลเถอะ หากครั้งหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าก็มาบอกข้าได้ ถึงข้าจะยังเดินไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้เสียเมื่อไหร่” เขาบาดเจ็บที่ขาก็จริง แต่สองมือของเขายังมีแรง! หลี่เซิงก้มมองขาตัวเองก่อนถอนหายใจ ท่านหมอบอกว่าเขาอาจจะเดินไม่ได้อีก เพราะคมมีดที่ฟันลงมาโดนเส้นเอ็นโดยตรง แต่เขายังมีความหวังว่าสักวันจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง หยางฉิงได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา นางเห็นประกายในแววตาของเขาดูว่างเปล่าไปชั่วขณะ คงเป็นเพราะเรื่องที่เขาอาจเดินไม่ได้อีก หรือหากเดินได้ก็อาจจะกลายเป็นคนพิการ ถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยาม… ‘ข้าจะช่วยเขาให้เต็มที่ก็แล้วกัน!’ “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอเอาถ้วยจานพวกนี้ไปล้างก่อน” หยางฉิงกล่าวจบก็เดินออกจากห้อง ตรงเข้าไปในครัวเพื่อล้างจานจนเสร็จ เมื่อเสร็จธุระ นางก็หายตัวกลับไปยังคอนโดส่วนตัว เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลและทายาลงบนบาดแผลที่มุมปาก “โอ๊ย…เจ็บเหมือนกันนะนี่! พี่สาวของหลี่เซิงคนนั้น คงตั้งใจตีข้าเต็มแรงเลยสินะ?” นางบ่นพึมพำขณะทำแผล เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว นางก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ากล่องผ่าตัดยังไม่ได้ล้างทำความสะอาด จึงเดินไปดูตรงที่วางไว้ ทว่าทันทีที่สายตาสบเข้ากับกล่องตรงหน้า คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากัน “เอ๊ะ…ทำไมกล่องผ่าตัดถึงกลับมาอยู่ในสภาพเดิม?” หยางฉิงรีบเดินเข้าไปจับกล่องแล้วเปิดออกดู สิ่งของทุกชิ้นภายในยังดูเหมือนใหม่ ไม่ต่างจากตอนที่นางเพิ่งได้รับมันมา “เหมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนเลย…” นางวางกล่องผ่าตัดลงที่เดิม ก่อนเดินเข้าไปดูวัตถุดิบในครัวที่เคยหยิบออกมาใช้ แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้นางประหลาดใจยิ่งขึ้นแม่ทัพหันกลับไป ก่อนจะใช้มีดสั้นขว้างไปยังพุ่มไม้ที่คาดว่ามีมือสังหารซุ่มอยู่หลังจากที่เขาปราบชายชุดดำจนสิ้นชีพ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น นางรีบปีนลงจากต้นไม้แล้ววิ่งตรงไปยังจุดที่หลี่เซิงตกลงไป แม่ทัพมองดูนางที่กำลังร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ พลางรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยชายหนุ่มเอาไว้ได้เขาเดินไปตรวจดูศพของชายชุดดำที่สังหารเมื่อครู่ เห็นรอยเลือดและร่างไร้วิญญาณที่นอนแน่นิ่ง ‘คนผู้นี้คงเป็นคนของฉินอ๋อง’ แม่ทัพกัดฟันแน่น เป็นความผิดของเขาเอง ที่ต้องให้คนอื่นมาปกป้องตน“หลี่เซิง! ท่านอย่าเป็นอะไรนะ ฮือ!” หยางฉิงคุกเข่าร้องไห้อยู่ริมหน้าผา น้ำตาของนางไหลไม่ขาดสาย‘ถ้าไม่มีเขา ข้าก็อยู่บนโลกนี้ไม่ได้…’ ในใจของนางเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด คำว่า ‘จากลา’ ผุดขึ้นมาในหัว นางอยากกระโจนตามเขาลงไปเสียด้วยซ้ำ…แม่ทัพเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวที่ปกปิดใบหน้าไว้ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงรู้สึกผิด“ข้าขอโทษ ที่เป็นต้นเหตุให้คนรักของเจ้าต้องตาย”คำพูดของเขาทำให้หยางฉิงตัวสั่นด้วยความโกรธ นางเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาแดงก่ำ “ท่านอย่ามาพูดเช่นนั้น!” นางกัดฟันกรอด ไม่อาจทนฟังได้ “สามีของข้ายังไม่ตาย
ทั้งสองฟาดฟันกันอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพราะหลี่เซิงได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว แรงที่ลงไปในดาบจึงไม่มั่นคง ทำให้การโจมตีพลาดเป้าไปหลายครั้ง พวกเขาผลัดกันรุกผลัดกันรับ สู้กันอย่างไม่มีใครยอมใครกระทั่งหลี่เซิงเห็นจังหวะเหมาะ เขาจึงฟันดาบไปที่ขาของนักฆ่าทันที!นักฆ่าหลบดาบไม่ทัน จึงถูกฟันเข้าจนเกิดบาดแผล แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือความแสบร้อนบริเวณที่ถูกดาบฟัน ราวกับถูกกัดกร่อนจากบางสิ่ง“เจ้า…ทำอะไรกับข้า!?” เขาก้มลงมองบาดแผลตรงขา ก่อนจะเห็นผงสีแดงติดอยู่หลี่เซิงมองแผลของนักฆ่าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ พลางยิ้มมุมปาก “ไม่รู้สิ…” เขาตอบยั่วอีกฝ่ายอย่างจงใจ‘ต้องถ่วงเวลาอีกสักหน่อย…’นักฆ่าเห็นว่าหลี่เซิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดา เขาจึงเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ก่อนจะใช้มืออีกข้างหยิบมีดเล็กที่พกติดตัวมา แล้วเหวี่ยงไปทางชายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว!หลี่เซิงที่กำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ ไม่ทันสังเกตว่ามีดเล็กพุ่งเข้ามา จึงหลบไม่ทันฉึก!มีดเล่มนั้นปักเข้าที่ขาของเขาทันที!‘มีดนี้มีพิษ!’หลี่เซิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขาข้างที่ถูกมีดปักเริ่มชาและไร้ความรู้สึก เขาจึงจำเป็นต้องใช้ขาอีกข้างพยุงตัวเองเอาไว้นักฆ่าห
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง พระจันทร์ก็เคลื่อนเลยปล่องไปกว่าครึ่งแล้ว‘ข้าต้องรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!’หลังจากเก็บของสำคัญไว้กับตัวเรียบร้อยแล้ว หลี่เซิงก็แอบย่องออกจากห้อง เขาเห็นว่าบริเวณหน้าปากถ้ำ ทหารของฝ่ายตนเริ่มเข้าปะทะกับศัตรูด้านในแล้ว เขาใช้จังหวะที่ผู้คนกำลังสับสน หลบซ่อนตัวออกมาระหว่างทาง แม้เขาจะต้องปะทะกับทหารศัตรูอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือสังหารพวกเขา เพียงแค่จัดการให้ไม่สามารถสู้ต่อได้ ในที่สุด หลี่เซิงก็หลบออกมานอกถ้ำได้อย่างปลอดภัยแต่ทันทีที่เขาก้าวออกมา เขากลับสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังตามเขามา…“นายท่านขอรับ! มีผู้บุกรุกเข้าไปในถ้ำของเราแล้ว ไม่รู้ว่ามันเอาสิ่งใดออกไปบ้าง ทหารที่เฝ้าประตูถูกฆ่าตายทั้งหมด และตอนนี้คนของท่านแม่ทัพกำลังตรวจค้นและยึดสิ่งของที่เราซ่อนไว้”ชายผู้นั้นรายงานสิ่งที่พบเห็นให้ฉินอ๋องได้รับทราบฉินอ๋องยืนฟังรายงานจากนักฆ่าฝีมือดี พลางจ้องมองไปยังค่ายของตนด้วยสายตาดุดัน เขาสังเกตเห็นเงาคนผู้หนึ่งวิ่งหนีออกมาจากค่าย ดูแตกต่างจากคนอื่น ๆ เขาพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา“เจ้าตามไปจัดการคนผู้นั้น! มันต้องมีของของข้าแน่ ถ้าหาไม่พบ… ก็ฆ่ามันทิ้ง
ทางด้านหลี่เซิง เขาหาจุดหลบซ่อนและนำของบางส่วนที่พกมาเก็บไว้อย่างมิดชิด โดยเหลือไว้เพียงสร้อยคอที่สวมติดตัว กับยาที่หยางฉิงให้มา หลังจากนั้นเขาออกค้นหาถ้ำที่ถูกระบุไว้ในจดหมาย จนกระทั่งพบว่า ปากถ้ำมีทหารยามหลายสิบคนเฝ้าอยู่ เป็นเรื่องยากที่เขาจะบุกเข้าไปเพียงลำพัง จึงตัดสินใจรอจังหวะให้คนของท่านแม่ทัพเข้าปะทะกับพวกมันก่อน จากนั้นจึงใช้โอกาสนั้นแทรกตัวเข้าไป ไม่นานนัก เสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา เสียงดาบกระทบกันดังไปทั่วค่าย“มีคนบุกรุก!”เสียงตะโกนแจ้งเตือนดังขึ้นในค่าย ทำให้พวกมันรีบจุดไฟส่องสว่างและกรูกันออกไปเผชิญหน้ากับศัตรู“พวกเจ้าคอยเฝ้าปากถ้ำ ข้าจะไปช่วยพวกที่อยู่ด้านนอก!”ชายที่ดูเหมือนหัวหน้าสั่งการเสร็จ ก็พาคนออกไปครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยต่อสู้ด้านนอกหลี่เซิงเห็นโอกาสดี สายตาเขาเจือความเหี้ยมโหด เขาประทับธนู แล้วยิงลูกศรพุ่งตรงไปยังหน้าอกด้านซ้ายของยามเฝ้าปากถ้ำ สังหารไปสองคนในพริบตาเมื่อพวกยามเห็นพวกพ้องล้มลง หนึ่งในนั้นกำลังจะส่งเสียงเตือน หลี่เซิงไม่รอช้า เขาพุ่งตัวเข้าหาพวกมันอย่างรวดเร็ว ชักมีดออกมาแล้วกรีดผ่านลำคอของทั้งสามคนอย่างแม่นยำ ก่อนที่พวกมันจะได้ทัน
“ข้าเตรียมอาหารและเงินเล็กน้อยไว้ให้ท่านใช้ในยามจำเป็น นอกจากนี้ อย่าลืมพกยาที่ข้าให้ไปด้วย หากท่านรู้สึกเหนื่อย น้ำในกระบอกนี้เพียงจิบเล็กน้อยก็สามารถช่วยฟื้นฟูกำลังของท่านได้ และนี่คือสร้อยนำโชคที่ข้าทำขึ้นเพื่อท่าน อย่าลืมใส่ติดตัวตลอดเวลา อย่าปล่อยให้ตนเองต้องเผชิญอันตรายลำพัง ท่านอย่าลืมว่าข้ายังรอท่านอยู่ที่บ้าน” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่แฝงด้วยความเป็นห่วงหลี่เซิงรับสร้อยคอจากนาง มันมีลักษณะแปลกตา เป็นลูกกลม ๆ สีแดงที่ด้านในหมุนไปมาอย่างลึกลับ เขานำมันสวมไว้ที่คอ ก่อนพยักหน้ารับคำ “ข้ารู้แล้ว ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย”กล่าวอำลาหยางฉิงเสร็จแล้ว หลี่เซิงจึงก้าวออกจากบ้านไป...ขณะมองตามแผ่นหลังของหลี่เซิงที่ค่อย ๆ ไกลออกไป หยางฉิงก็ปิดบ้านให้เรียบร้อย นางเตรียมตัวเดินทางเช่นกัน ภายในมิติของนางมีสิ่งของจำเป็นพร้อมสรรพ นางแต่งกายด้วยชุดสีดำ ข้างในเป็นกางเกง ส่วนด้านนอกเป็นกระโปรงที่ช่วยให้เคลื่อนไหวสะดวก เสื้อแขนยาวสีดำเชื่อมต่อกับกระโปรง ทำให้นางคล่องตัวขณะเดินป่า และที่คอของนาง... มีเข็มทิศติดตามอยู่หนึ่งอัน...หยางฉิงรอจนกระทั่งหลี่เซิงเดินลับสายตา ก่อนค่อย ๆ ก้าวตามไปอย่างร
หยางฉิงสังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เซิง จึงเอ่ยถามขึ้น “ท่านเป็นอะไรหรือไม่ เหตุใดจึงดูเศร้าเช่นนี้” นางจ้องเขาด้วยความไม่เข้าใจ“เอาไว้กินข้าวเสร็จก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า” เขาพูดพลางกินข้าวต่อจนหมด วันนี้เขากินน้อยกว่าทุกวันเมื่อได้ฟังคำพูดของหลี่เซิง หยางฉิงก็รู้สึกใจคอไม่ดี นางกินข้าวไปพลางคิดไปว่าหลี่เซิงต้องการจะบอกอะไรกับนางกันแน่หลังจากนางกินเสร็จ หลี่เซิงจึงเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้เราไม่ได้เข้าเมืองไปขายของใช่หรือไม่”“ใช่แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเรา” นางตอบพร้อมจิบน้ำ “ท่านมีเรื่องอะไรจะบอกข้าหรือไม่” นางถามสิ่งที่ติดค้างในใจ“ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกเจ้า พรุ่งนี้ข้าอาจต้องออกไปทำเรื่องบางอย่าง เจ้าอยู่คนเดียวต้องปิดบ้านให้ดี หากข้าไม่ได้กลับมาหลายวัน เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าอาจต้องใช้เวลานานเสียหน่อย” เขาตัดสินใจบอกนางถึงเรื่องที่ต้องขึ้นเขาหยางฉิงที่ได้ฟังทำหน้าตกใจ “ท่านไปทำสิ่งใด บอกข้าได้หรือไม่ แล้วมันอันตรายหรือเปล่า” นางรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลยหลี่เซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะมองหน้านางด้วยสายตาลึกซึ้ง ราวกับต้องการจดจำภาพของนางให้ได้นานที่สุด “ทั้งอันตรายและไม่อันตราย ถ