LOGINชายชุดดำที่หายจากอาการตกตะลึง รีบออกคำสั่งให้พวกของตนรีบตามคนทั้งสองไป ลู่หยวนซีออกวิ่งเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นสี่คนที่ใช้วิชาตัวเบาทะยานตามมาได้ กระบี่สีขาววาววับที่สะท้อนแสงแดดส่องกระทบดวงตาของนาง ร่างบางที่แบกกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ด้านหลังหลับตาลงคิดว่าตนเองคงจะหลบการแทงนี้ไม่พ้นแล้ว
แต่เสียงเคร้ง!!ก็ดังขึ้นข้างหูของนาง อาวุธลับสีนิลลอยกระเด็นไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ลู่หยวนซีที่เตรียมใจตายเอาไว้แล้วหรี่ตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พบว่าชายชุดดำทั้งสี่ถูกปลิดชีพลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของใครบางคน และเมื่อลู่หยวนซีได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “เป็นท่านเองหรือ” กู้จิ่งเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาจับจ้องไปยังชายร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีนิลพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหก พลางคิดในใจว่านางไปรู้จักกับคนน่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างไร “แม่นางข้าให้คนตามหาเจ้าตั้งหลายวัน หากไม่ได้ยินเสียงร้องของมือสังหารเหล่านั้นคงตามมาที่นี่ไม่ทันการณ์เป็นแน่” ลู่หยวนซียิ้มรับคำพูดของเขาอย่างยินดี นางไม่คิดว่าที่ระบบสั่งให้นางช่วยชีวิตเขา จะทำให้นางได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเหลือเช่นนี้ รู้อย่างนี้ก่อนหน้านี้นางน่าจะทำความรู้จักเขาเอาไว้สักหน่อย “พวกเจ้าเป็นใคร รู้จักกับสาวใช้ของข้าได้อย่างไร” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นทางด้านหลังของลู่หยวนซี นางมัวแต่ดีใจที่ตนเองรอดตายจนลืมไปเลยว่ายังมีอีกคนที่นางแบกเอาไว้อยู่ ลู่หยวนซีทำท่าจะว่างเขาลง แต่เฮ่อเหวินเจ๋อก็พยักหน้าให้คนของตนเข้าไปช่วยนาง “อย่าได้มาแตะต้องตัวข้า” เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นทันควัน ทำเอาคนทั้งหมดต่างชะงักไปตามๆ กัน ลู่หยวนซีเห็นว่าหลายวันมานี้เขาค่อนข้างว่าง่ายทำให้ลืมไปเลยว่าคุณชายผู้นี้เป็นคนอย่างไร “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้าดูแลคุณชายของข้าเอง ขอบคุณพวกท่านที่ช่วยชีวิตเราสองคน เอาไว้มีโอกาสข้าจะตอบแทนพวกท่านแน่นอน” ลู่หยวนซีก้มหัวให้เฮ่อเหวินเจ๋อเล็กน้อย จากนั้นจึงออกก้าวเดินจากที่นั่นไป แต่เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้นางจำต้องหันกลับไปมอง “แม่นาง เจ้ากลับไปที่นั่นไม่ได้แล้วล่ะ เรือนของเจ้าถูกมือสังหารพวกนั้นเผาไปจนหมดแล้ว ครั้งนี้นักฆ่าเหล่านี้ทำงานพลาด อีกไม่นานพวกมันจะต้องส่งคนมาที่นี่อีกเป็นแน่ ข้าว่าเจ้าตามพวกเราไปไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยข้าก็สามารถคุ้มครองให้ความปลอดภัยแก่เจ้าได้” ลู่หยวนซีไม่รู้ว่าตนเองควรจะตกใจกับเรื่องไหนก่อนดี เรื่องที่นางไม่มีบ้านให้กลับไปหรือเรื่องที่จะมีมือสังหารมาตามฆ่าพวกเขาสองคนอีก ร่างบางถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ เรื่องนี้นางสามารถตัดสินใจได้ที่ไหน คนข้างหลังต่างหากคือคนที่กุมชะตาชีวิตของนาง “คุณชายเจ้าคะ ท่านคิดว่าเราควรทำตามที่คุณชายผู้นั้นบอกดีหรือไม่” ความจริงกู้จิ่งเหยียนไม่ต้องการที่จะตามคนน่าสงสัยเหล่านี้ไป อีกอย่างเขาก็ไม่ชอบสายตาที่บุรุษผู้นั้นใช้มองหญิงสาว เพราะสิ่งนั้นมันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและร้อนใจ แต่ความปลอดภัยของนางย่อมต้องมาก่อน เขาเห็นด้วยตาตนเองแล้วว่าหญิงสาวนั้นพร้อมจะเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อเขาได้ทุกเมื่อ แต่เขาจะไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ “อืม เจ้าตามพวกเขาไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” ลู่หยวนซีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ไม่ไร้เหตุผลและเอาแต่ใจตนเองจนเกินไป เห็นความปลอดภัยของคนทั้งสองมาเป็นอันดับแรก ถึงแม้เขาจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ค่อยชอบคนเหล่านี้เท่าใดนัก ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามคนทั้งแปดก็เดินทะลุออกมาตรงเส้นทางที่ลู่หยวนซีคุ้นเคย มันเป็นเส้นทางที่นางใช้เดินเข้าไปยังอำเภอถงอันและที่ตรงนั้นเป็นที่ที่นางเคยตีเถียนอวี้ซวน ไม่รู้ว่าสวรรค์เล่นตลกอะไรกับนางกันแน่ หลังจากที่กลุ่มของนางเดินออกมาได้สักพัก รถม้าที่วิ่งสวนมาก็มาหยุดลงตรงหน้านาง ร่างผอมที่อยู่ในชุดของบัณฑิตสีขาวก้าวลงมาจากรถม้าช้าๆ มองมายังลู่หยวนซีด้วยท่าทางดีใจ “หนิงเอ๋อ เจ้ากำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ วันนี้ข้าซื้อของมาฝากเจ้ามากมาย ดูสิ มีแต่เครื่องประดับราคาแพงที่เจ้าชอบทั้งนั้น” เจ้าบัณฑิตหน้าขาวมิได้สังเกตเลยว่า รอบกายของนางมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำทมิฬถึงหกคนที่กำลังแผ่รัศมีการฆ่าฟันออกมา ลู่หยวนซีอยากจะกระโดดถีบเจ้าคนที่มาไม่รู้จักเวล่ำเวลาคนนี้เสียจริง “ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วว่าให้เลิกมายุ่งวุ่นวายกับข้า เจ้าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร” ลู่หยวนซีพ่นลมหายใจออกมาอย่างรำคาญ ก่อนทำท่าจะเดินจากไป แต่มีหรือนักตื๊ออย่างเถียนอวี้ซวนจะยอมรามือ ในเมื่อเขายังไม่เคยได้นางเลยสักครั้งทั้งที่เสียเงินเสียทองไปกับนางตั้งมากมาย “เดี๋ยวก่อนหนิงเอ๋อ ข้ารู้ว่าเจ้ายังโกรธข้าอยู่ แต่ข้าจริงใจกับเจ้าจริงๆนะ เจ้ายังไม่ยอมให้อภัยข้าอีกอย่างนั้นหรือ” “ไสหัวไปซะ!! อย่าได้เข้าใกล้สาวใช้ของข้าอีก” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทางด้านหลังของนาง ทำให้เถียนอวี้ซวนชะงักเล็กน้อย ก่อนละความสนใจจากลู่หยวนซีหันไปมอง “เจ้าเป็นใคร ถึงได้กล้ามาขัดขวางความรักระหว่างข้าและหนิงเอ๋อ” ท่าทางของเถียนอวี้ซวนยังไม่รู้ว่าตนเองวันนี้กำลังจะมีเคราะห์ ถ้าหากว่าทำให้คุณชายผู้เอาแต่ใจโมโห ลู่หยวนซีกว่าจะทำให้เขาอารมณ์เย็นลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เจ้าบัณฑิตโง่นี่กลับกล้ามาแหย่รังแตน เถียนอวี้ซวนจ้องใบหน้าอันหล่อเหลาของกู้จิ่งเหยียน จากนั้นจึงพิจารณาท่าทางของเขาที่ถูกแบกเอาไว้บนหลังของหญิงสาว พลันเขาก็เข้าใจได้ทันที “อ้อ เจ้าคงจะเป็นคุณชายง่อยที่หนิงเอ๋อดูแลอยู่สินะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเจ้าหนิงเอ๋อของข้าต้องลำบากมากมายเพียงใด เหตุใดเจ้าถึงไม่ตายๆ ไปซะเพื่อให้นางได้เป็นอิสระ ก่อนหน้านี้นางมาระบายกับข้าเรื่องของเจ้าอยู่บ่อยๆ วันนี้ได้มาเห็นกับตาตนเอง เจ้าทำให้นางลำบากจริงๆ” ลู่หยวนซีไม่คิดว่าเจ้าบ้านี่จะปากรั่วพูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ต่อหน้ากู้จิ่งเหยียนได้ บุรุษผู้นี้เป็นคนขี้ใจน้อยต่อไปเขาจะต้องปิดกั้นตนเองกับนางเป็นแน่ ไม่ได้นางจะยอมให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ลู่หยวนซียกเท้าขึ้นถีบไปยังยอดอกของเถียนอวี้ซวนจนเขาล้มหงายหลัง ก่อนจะกระทืบลงไปที่ขาทั้งสองข้างของเขาจนเสียงกระดูกแตกดังสนั่นลู่หยวนซีมิได้ตอบคำถามของเขา นางพูดเรื่องอื่นขึ้นเพื่อเบี่ยงประเด็นคำถามของเขาออกไป และกู้จิ่งเหยียนรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นางถนัดนัก เขาที่รู้ทันก็มิได้เปิดโปงหรือเอ่ยเซ้าซี้นางอีก เอาเถอะเอาไว้รอให้นางพร้อมเมื่อใดนางคงจะพูดออกมาเอง“ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ”ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น กู้จิ่งเหยียนเองก็เหมือนจะเปิดใจให้นางมากกว่าเดิม บางครั้งต่อให้นางยังไม่ได้พูดกับเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายที่เริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลู่หยวนซีเบาใจลงไม่น้อยเพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงคุณชายจากจวนขุนนาง หากวันหน้าเขาหายดีนางก็คงจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอยู่กระมัง“ข้าหิวแล้ว เจ้าทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างมาทานด้วยกันดีหรือไม่”กู้จิ่งเหยียนเองก็พยายามเพื่อนางเช่นกัน เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ หาอะไรให้นางทำเผื่อว่านางจะลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปได้บ้าง“ท่านหิวแล้วหรือเจ้าคะ”ลู่หยวนซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบี่ยงไปอีกด้านเล็
สิ่งที่ระบบยังไม่ทันได้บอกลู่หยวนซีก่อนที่เขาจะหายไปคือ การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเป็นตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่งที่กำลังจะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนไปลู่หยวนซีพูดคุยกับเฮ่อเหวินเจ๋ออยู่ภายในศาลาหน้าเรือนอยู่นาน นางพยายามพูดวกไปวนมาเพื่อให้เขาลืมเรื่องการรักษาของนาง และก็เป็นไปตามที่ลู่หยวนซีต้องการ เขาไม่เซ้าซี้ถามนางอีกว่าเหตุใดบาดแผลของเขาถึงได้หายดีในชั่วพริบตาแต่กลับมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเขาสามารถรับรู้ได้ก่อนลู่หยวนซีเสียอีก ฝีเท้าแผ่วเบาที่ก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาในลานเรือน เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธกู้จิ่งเหยียนสามารถจดจำเสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งหกที่เข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาเฉียบคมขึ้นทุกที ตั้งแต่......ตั้งแต่ที่เขาดื่มเลือดของนางเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตาของและเสียงทั้งหมดที่ได้ยินเขาสามารถจดจำและรับรู้ได้ไม่ลืม ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“ข้าสั่งให้พักผ่อนเหตุใดถึงได้ยังนั่งคุยกับผู้อื่นอยู่อีก”กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด สตรีผู้นี้ดูแล้วเห
“คุณชายท่าน...มองเห็นข้าหรือเจ้าคะ”กู้จิ่งเหยียนรีบมองไปด้านหน้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ลู่หยวนซีเห็นสายตาที่เขามองไปด้านหน้า นางก็ยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทดสอบดูว่าเขามองเห็นหรือไม่ แต่ดวงตากู้จิ่งเหยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคงจะคิดมากไปเอง เห็นดวงตาของคุณชายกลับมาเป็นสีปกติ คิดว่าท่านอาจจะกลับมามองเห็นได้แล้วเสียอีก”ท่าทางของนางทำให้กู้จิ่งเหยียนรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ในใจ หรือว่านางเบื่อที่จะดูแลคนพิการอย่างเขาแล้ว ร่างสูงที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจ“เจ้าเหนื่อยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแลข้าแล้ว พาข้ากลับไปที่เตียงแล้วเจ้าก็ไปพักเถอะ”ลู่หยวนซีมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร พอมาตอนนี้กลับพูดเสียยาวเหยียด ทั้งยังแสดงท่าทางห่วงใยกลัวว่านางจะเหนื่อยอีก คนผู้นี้ยังใช่กู้จิ่งเหยียนคนเดิมอยู่หรือไม่ ท่าทางของเขาช่างดูแปลกตานักลู่หยวนซีไม่กล้าขัดใจคุณชายผู้เอาแต่ใจของนาง หลังจากพาร่างสูงไปส่งยังเตียงนอนในห้องใหญ่ นางก็ออกมาข้างนอกเพื่อยกชามโจ๊กท
“โอ้ย!! หนิงเอ๋อเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า”ลู่หยวนซีส่งเสียงหึ!ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนใช้สายตามองต่ำลงไปยังบัณฑิตชุดขาวที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น“กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินคุณชายของข้า ลองเป็นง่อยดูบ้างเป็นอย่างไร บางทีอาจจะทำให้เจ้าเลิกปากเสียแล้วเอาเวลาไปดูแลขาของเจ้าแทน”เอ่ยจบร่างบางที่แบกชายหนุ่มเอาไว้บนหลังก็เดินจากไป ทิ้งให้บุรุษอีกหกคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ตกตะลึงกับการกระทำของนาง สตรีผู้นี้ฝีเท้ารวดเร็วเหลือเกิน ปากไม่พูดแต่กลับตีคนอย่างหน้าตาเฉย ลู่หยวนซีเดินไปได้สักพัก นางก็หันกลับไปมองพรรคพวกอีกหกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม“พวกท่านไม่ไปหรือ”นางตะโกนถามพวกเขาก่อนออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เฮ่อเหวินเจ๋อและคนของเขาได้สติกลับมาหลังจากเสียงเรียกของนางดังขึ้น ทุกคนรีบก้าวยาวๆ ตามไปเพื่อเดินให้ทันนาง“คุณชายท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดที่ออกมาจากปากเน่าๆ ของเจ้าบัณฑิตนั่นเลยนะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าอาจเลอะเลือนและดูแลท่านได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะหาทางรักษาท่านให้หายดี ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ”ลู่หยวนซีเอ่ยเสียงเบากับคนที่นางกำลังแบกเอาไว้บนหลัง ไร้เสียงตอบกลับ
ชายชุดดำที่หายจากอาการตกตะลึง รีบออกคำสั่งให้พวกของตนรีบตามคนทั้งสองไป ลู่หยวนซีออกวิ่งเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นสี่คนที่ใช้วิชาตัวเบาทะยานตามมาได้ กระบี่สีขาววาววับที่สะท้อนแสงแดดส่องกระทบดวงตาของนาง ร่างบางที่แบกกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ด้านหลังหลับตาลงคิดว่าตนเองคงจะหลบการแทงนี้ไม่พ้นแล้วแต่เสียงเคร้ง!!ก็ดังขึ้นข้างหูของนาง อาวุธลับสีนิลลอยกระเด็นไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ลู่หยวนซีที่เตรียมใจตายเอาไว้แล้วหรี่ตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พบว่าชายชุดดำทั้งสี่ถูกปลิดชีพลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของใครบางคน และเมื่อลู่หยวนซีได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“เป็นท่านเองหรือ”กู้จิ่งเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาจับจ้องไปยังชายร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีนิลพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหก พลางคิดในใจว่านางไปรู้จักกับคนน่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างไร“แม่นางข้าให้คนตามหาเจ้าตั้งหลายวัน หากไม่ได้ยินเสียงร้องของมือสังหารเหล่านั้นคงตามมาที่นี่ไม่ทันการณ์เป็นแน่”ลู่หยวนซียิ้มรับคำพูดของเขาอย่างยินดี นางไม่คิดว่าที่ระบบสั่งให้นางช่วยชีวิตเขา จะทำให้นางได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเ
ลู่หยวนซีถามกู่จิ่งเหยียนอย่างหน้าตาเฉย เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นก็แล้วไป แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นเป็นปกติแล้วจะให้นางช่วยเรื่องนั้นได้อย่างไร กู้จิ่งเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธถึงแม้เขาจะเริ่มรู้สึกปวดเบาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะปล่อยต่อหน้านางเป็นแน่ ลู่หยวนซีพยักหน้ารับรู้ก่อนวางกระโถนเอาไว้มุมหนึ่งของถ้ำ จากนั้นจึงหันไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนของตนที่ปูเอาไว้คนละฟากของกองไฟเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่านางนั้นได้หลับไปแล้ว กู้จิ่งเหยียนกำลังจะคลานไปที่กระโถนใบนั้นแต่แล้วลู่หยวนซีก็ลุกขึ้นนั่ง นางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังค้างอยู่ในท่าจับขอบกระโถนเอาไว้ด้วยสายตามึนงง ก่อนจะถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย“คุณชายท่านปวดเบาหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ปลุกข้า ข้าเองก็ลืมว่ายังมิได้เปลี่ยนชุดให้ท่านเลย มาเถอะข้าช่วย”กู้จิ่งเหยียนยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากปฏิเสธ ลู่หยวนซีก็ถึงตัวเขาเสียแล้ว ความอับอายที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้มันถูกอัดแน่นอยู่ภายในอก นางช่วยเขาถ่ายเบาทั้งยังจับเขาเปลื้องผ้าและเช็ดตัวให้ หญิงผู้นี้ไม่รู้จักคำว่าอายหรืออย่างไร นางเป็นสตรีนะหลังเปลี่ยนชุดให







