LOGIN“โอ้ย!! หนิงเอ๋อเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า”
ลู่หยวนซีส่งเสียงหึ!ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนใช้สายตามองต่ำลงไปยังบัณฑิตชุดขาวที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น “กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินคุณชายของข้า ลองเป็นง่อยดูบ้างเป็นอย่างไร บางทีอาจจะทำให้เจ้าเลิกปากเสียแล้วเอาเวลาไปดูแลขาของเจ้าแทน” เอ่ยจบร่างบางที่แบกชายหนุ่มเอาไว้บนหลังก็เดินจากไป ทิ้งให้บุรุษอีกหกคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ตกตะลึงกับการกระทำของนาง สตรีผู้นี้ฝีเท้ารวดเร็วเหลือเกิน ปากไม่พูดแต่กลับตีคนอย่างหน้าตาเฉย ลู่หยวนซีเดินไปได้สักพัก นางก็หันกลับไปมองพรรคพวกอีกหกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “พวกท่านไม่ไปหรือ” นางตะโกนถามพวกเขาก่อนออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เฮ่อเหวินเจ๋อและคนของเขาได้สติกลับมาหลังจากเสียงเรียกของนางดังขึ้น ทุกคนรีบก้าวยาวๆ ตามไปเพื่อเดินให้ทันนาง “คุณชายท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดที่ออกมาจากปากเน่าๆ ของเจ้าบัณฑิตนั่นเลยนะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าอาจเลอะเลือนและดูแลท่านได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะหาทางรักษาท่านให้หายดี ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ” ลู่หยวนซีเอ่ยเสียงเบากับคนที่นางกำลังแบกเอาไว้บนหลัง ไร้เสียงตอบกลับมาของชายหนุ่ม นางคิดว่าเขาคงจะกำลังโกรธนางอยู่เป็นแน่ ช่างเถอะ เอาไว้ถึงที่พักนางค่อยหาทางง้อเขาให้กลับมาคืนดีก็แล้วกัน หลังจากคนทั้งแปดเดินทางมาถึงที่พักที่เฮ่อเหวินเจ๋อ เรือนหลังหนึ่งก็ถูกมอบให้เป็นที่พักชั่วคราวของลู่หยวนซีและกู้จิ่งเหยียน คราแรกเฮ่อเหวินเจ๋อคิดที่จะจ้างสาวใช้มาช่วยนางดูแลกู้จิ่งเหยียนเพื่อให้นางได้มีเวลาพักผ่อน แต่ลู่หยวนซีก็ได้ตอบปฏิเสธไปเพราะนางรู้ดีว่ากู้จิ่งเหยียนไม่มีทางยอมเปิดใจให้ใครง่ายๆ ตัวนางเองยังใช้เวลาตั้งนานกว่าเขาจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามและฟังที่นางพูด “คุณชาย ข้าอาบน้ำสระผมให้ท่านดีหรือไม่ ท่านจะได้นอนหลับสบาย หรือว่าจะทานอาหารก่อนดี ข้าลืมไปเลยว่าท่านยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง” ลู่หยวนซีพยายามพูดเอาใจบุรุษที่นั่งทำหน้าตูมอยู่บนเก้าอี้เอนหลังที่ตั้งอยู่หน้าเรือน ก่อนหน้านี้หลังจากที่คนทั้งสองมาถึงที่นี่ นางก็จัดแจงวางเบาะนุ่มเอาไว้ให้เขาเป็นอย่างดี เผื่อว่าครั้งหน้าจะได้พาเขามานั่งรับแดดที่หน้าเรือนอีกครั้ง ไร้เสียงหรือสัญญาณตอบกลับใดๆ รังสีที่เปล่งออกมารอบกายบ่งบอกว่าเขากำลังโกรธเป็นอย่างมาก มันดูออกได้อย่างง่ายดายถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาก็ตาม ร่างบางถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ นางควรทำอย่างไรดีนะให้เขาลืมเรื่องในวันนี้ไป หรือจะลองทุบหัวเขาดู เผื่อว่าความทรงจำในวันนี้ของเขาจะหายไปแบบในหนัง “อืม” ร่างสูงที่เอนหลังหลับตาอยู่ส่งเสียงออกมาเบาๆ ลู่หยวนซีไม่แน่ใจนักนางจึงขยับเข้าใกล้ชายหนุ่มแล้วเอียงหูเข้าไปใกล้ใบหน้าของเขา กลิ่นหอมที่โชยออกมาจากกายนางทำให้กู้จิ่งเหยียนลืมตาขึ้น และเป็นช่วงเวลาที่ลู่หยวนซีหันมามองเขาเช่นกัน สองสายตาสบประสานกันชั่วอึดใจ ก่อนที่ลู่หยวนซีจะร้องขึ้น “ว้าว!! คุณชาย ท่านรู้หรือไม่ว่าดวงตาของท่านไม่ได้เป็นสีม่วงแล้ว มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใบหน้าของท่านอีกข้าไม่ทันได้สังเกตเลยสักนิด รอยตะขาบไฟพวกนั้นหายไปแล้ว” ลู่หยวนซีจับใบหน้าที่ขาวนวลเนียนของกู้จิ่งเหยียนหมุนไปมาอย่างตื่นเต้น แม้จะใกล้เพียงนี้แต่กลับมองไม่เห็นรูขุมขนของเขาเลยสักนิด ช่างน่าอิจฉาเสียจริง กู้จิ่งเหยียนที่ยังคงตกตะลึงที่ตนเองอยู่ใกล้กับหญิงสาวจนริมฝีปากของทั้งสองเกือบจะแตะกัน จึงไม่ทันได้ขัดขืนการกระทำของนาง “คุณชาย ท่านรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ หรือว่ามองเห็นจุดสีขาวเล็กๆ บ้างไหม บางทีนี่อาจเป็นนิมิตหมายอันดีที่บ่งบอกว่าร่างกายของท่านกำลังจะหายดี” ลู่หยวนซีหัวเราะออกมาเสียงดังราวกับคนเสียสติ นางใกล้จะได้เป็นอิสระกลับไปยังโลกเดิมของตนแล้ว ถ้าหากกู้จิ่งเหยียนหายดีนางก็จะได้โบกมือลาภารกิจห่วยแตกที่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงนี่เสียที “ข้าหายดีทำให้เจ้าดีใจมากเพียงนั้นเชียวหรือ” ลู่หยวนซีพยักหน้าขึ้นลง แต่นางพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเขามองไม่เห็นจึงส่งเสียงอืมอย่างอารมณ์ดี “แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ท่านเองก็จะได้ทำตามความฝันของตนอีกครั้งมิใช่หรือ หน้าที่การงานของท่านและสตรีที่ท่านรัก หลังจากที่คุณชายหายดีก็จะสามารถกลับไปยังจวนตระกูลกู้ได้อย่างสง่าผ่าเผย และตัวข้าก็จะได้เป็นอิสระเสียที” นั่นเป็นเรื่องที่เขาเฝ้าฝันอยู่ทุกเวลา แต่เหตุใดเมื่อคำพูดเหล่านั้นออกจากปากของนาง มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและวูบโหวงอย่างไรบอกไม่ถูก เหมือนกับว่านางกำลังจะทิ้งเขาไปหลังจากที่เขาหายเป็นปกติดี “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าเองยังเป็นสาวใช้ของตระกูลกู้อยู่ หลังจากที่ข้าหายดีตัวเจ้าก็ยังต้องกลับไปพร้อมข้าด้วยเช่นกัน เพราะหนังสือขายตัวของเจ้ายังอยู่ที่ฮูหยินใหญ่กู้” เมื่อกู้จิ่งเหยี่ยนเอ่ยออกมาเช่นนั้น ลู่หยวนซีที่กำลังตื่นเต้นดีใจก็ตระหนักได้ว่าตนเองคงจะคิดน้อยไปหน่อย ที่นี่เป็นยุคโบราณใช่ว่าจะเดินเพ่นพ่านไปที่ใดก็ได้ หากไม่มีหนังสือยืนยันตัวตนมีหรือจะสามารถเข้าเมืองหรือเดินทางไปยังแคว้นอื่นได้ โชคร้ายครั้งที่สองได้มาเยือนนางอีกครั้ง คงไม่ใช่ว่านางต้องมาเป็นสาวใช้ไปตลอดชีวิตหรอกนะ ลู่หยวนซีหันกลับไปมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ก่อนส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างแห้งแล้ง “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ลืม จะลืมได้อย่างไร เอาเถอะเรื่องนี้เราค่อยคุยกันอีกทีหลังจากที่หาทางรักษาท่านจนหายดีแล้ว ข้าว่าตอนนี้ข้าทำอาหารให้ท่านทานดีกว่าเจ้าค่ะ” ใบหน้าที่แสนเศร้าสร้อยของนาง กู้จิ่งเหยียนล้วนเห็นอยู่ในสายตา นางมิใช่สาวใช้ตัวจริงของเขาแน่นอนว่านางย่อมต้องจะไม่ยินดีตามเขากลับไปที่ตระกูลกู้แน่นอน หรือว่าเขาจะขอหนังสือสัญญาขายตัวของนางจากฮูหยินใหญ่กู้มา เพื่อให้นางได้เป็นอิสระดี เมื่อกู้จิ่งเหยียนคิดได้ดังนั้นความคิดสายหนึ่งก็เอ่ยปฏิเสธขึ้นภายในหัว ถ้าเขายอมปล่อยนางไปเขาคงไม่มีวันได้พบกับนางอีก เขาต้องการให้เป็นเช่นนั้นหรือ แน่นอนว่าคำตอบคือ ไม่!! ความคิดเหลวไหลบางอย่างก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าเขาไม่หายดี เช่นนั้นก็หมายความว่านางก็จะต้องอยู่กับเขาตลอดไป ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาเพื่อสลัดความคิดบ้าๆ นั้นทิ้งไป เขาคือกู้จิ่งเหยียนเขามีวิธีอีกมากมายเพื่อให้นางไม่สามารถจากไปได้ เช่นการแต่งงาน แต่เขาไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้เป็นใครมาจากไหนแล้วนางจะยอมแต่งงานกับเขาอย่างนั้นหรือ ดูจากท่าทางของนางแล้วมิใช่ผู้ที่จะยอมทำตามความคิดของผู้อื่นได้ง่ายๆ กู้จิ่งเหยียนที่ยังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน ไม่ทันได้สนใจว่าลู่หยวนซีเดินเข้ามาใกล้ จนกระทั่งนางแตะไปที่ข้อมือของเขาแผ่วเบา ทำให้ร่างสูงหันกลับไปมองนางอย่างไม่รู้ตัว และปฏิกิริยาของเขาทำให้ลู่หยวนซีนึกสงสัยลู่หยวนซีมิได้ตอบคำถามของเขา นางพูดเรื่องอื่นขึ้นเพื่อเบี่ยงประเด็นคำถามของเขาออกไป และกู้จิ่งเหยียนรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นางถนัดนัก เขาที่รู้ทันก็มิได้เปิดโปงหรือเอ่ยเซ้าซี้นางอีก เอาเถอะเอาไว้รอให้นางพร้อมเมื่อใดนางคงจะพูดออกมาเอง“ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ”ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น กู้จิ่งเหยียนเองก็เหมือนจะเปิดใจให้นางมากกว่าเดิม บางครั้งต่อให้นางยังไม่ได้พูดกับเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายที่เริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลู่หยวนซีเบาใจลงไม่น้อยเพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงคุณชายจากจวนขุนนาง หากวันหน้าเขาหายดีนางก็คงจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอยู่กระมัง“ข้าหิวแล้ว เจ้าทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างมาทานด้วยกันดีหรือไม่”กู้จิ่งเหยียนเองก็พยายามเพื่อนางเช่นกัน เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ หาอะไรให้นางทำเผื่อว่านางจะลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปได้บ้าง“ท่านหิวแล้วหรือเจ้าคะ”ลู่หยวนซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบี่ยงไปอีกด้านเล็
สิ่งที่ระบบยังไม่ทันได้บอกลู่หยวนซีก่อนที่เขาจะหายไปคือ การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเป็นตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่งที่กำลังจะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนไปลู่หยวนซีพูดคุยกับเฮ่อเหวินเจ๋ออยู่ภายในศาลาหน้าเรือนอยู่นาน นางพยายามพูดวกไปวนมาเพื่อให้เขาลืมเรื่องการรักษาของนาง และก็เป็นไปตามที่ลู่หยวนซีต้องการ เขาไม่เซ้าซี้ถามนางอีกว่าเหตุใดบาดแผลของเขาถึงได้หายดีในชั่วพริบตาแต่กลับมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเขาสามารถรับรู้ได้ก่อนลู่หยวนซีเสียอีก ฝีเท้าแผ่วเบาที่ก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาในลานเรือน เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธกู้จิ่งเหยียนสามารถจดจำเสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งหกที่เข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาเฉียบคมขึ้นทุกที ตั้งแต่......ตั้งแต่ที่เขาดื่มเลือดของนางเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตาของและเสียงทั้งหมดที่ได้ยินเขาสามารถจดจำและรับรู้ได้ไม่ลืม ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“ข้าสั่งให้พักผ่อนเหตุใดถึงได้ยังนั่งคุยกับผู้อื่นอยู่อีก”กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด สตรีผู้นี้ดูแล้วเห
“คุณชายท่าน...มองเห็นข้าหรือเจ้าคะ”กู้จิ่งเหยียนรีบมองไปด้านหน้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ลู่หยวนซีเห็นสายตาที่เขามองไปด้านหน้า นางก็ยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทดสอบดูว่าเขามองเห็นหรือไม่ แต่ดวงตากู้จิ่งเหยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคงจะคิดมากไปเอง เห็นดวงตาของคุณชายกลับมาเป็นสีปกติ คิดว่าท่านอาจจะกลับมามองเห็นได้แล้วเสียอีก”ท่าทางของนางทำให้กู้จิ่งเหยียนรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ในใจ หรือว่านางเบื่อที่จะดูแลคนพิการอย่างเขาแล้ว ร่างสูงที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจ“เจ้าเหนื่อยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแลข้าแล้ว พาข้ากลับไปที่เตียงแล้วเจ้าก็ไปพักเถอะ”ลู่หยวนซีมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร พอมาตอนนี้กลับพูดเสียยาวเหยียด ทั้งยังแสดงท่าทางห่วงใยกลัวว่านางจะเหนื่อยอีก คนผู้นี้ยังใช่กู้จิ่งเหยียนคนเดิมอยู่หรือไม่ ท่าทางของเขาช่างดูแปลกตานักลู่หยวนซีไม่กล้าขัดใจคุณชายผู้เอาแต่ใจของนาง หลังจากพาร่างสูงไปส่งยังเตียงนอนในห้องใหญ่ นางก็ออกมาข้างนอกเพื่อยกชามโจ๊กท
“โอ้ย!! หนิงเอ๋อเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า”ลู่หยวนซีส่งเสียงหึ!ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนใช้สายตามองต่ำลงไปยังบัณฑิตชุดขาวที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น“กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินคุณชายของข้า ลองเป็นง่อยดูบ้างเป็นอย่างไร บางทีอาจจะทำให้เจ้าเลิกปากเสียแล้วเอาเวลาไปดูแลขาของเจ้าแทน”เอ่ยจบร่างบางที่แบกชายหนุ่มเอาไว้บนหลังก็เดินจากไป ทิ้งให้บุรุษอีกหกคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ตกตะลึงกับการกระทำของนาง สตรีผู้นี้ฝีเท้ารวดเร็วเหลือเกิน ปากไม่พูดแต่กลับตีคนอย่างหน้าตาเฉย ลู่หยวนซีเดินไปได้สักพัก นางก็หันกลับไปมองพรรคพวกอีกหกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม“พวกท่านไม่ไปหรือ”นางตะโกนถามพวกเขาก่อนออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เฮ่อเหวินเจ๋อและคนของเขาได้สติกลับมาหลังจากเสียงเรียกของนางดังขึ้น ทุกคนรีบก้าวยาวๆ ตามไปเพื่อเดินให้ทันนาง“คุณชายท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดที่ออกมาจากปากเน่าๆ ของเจ้าบัณฑิตนั่นเลยนะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าอาจเลอะเลือนและดูแลท่านได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะหาทางรักษาท่านให้หายดี ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ”ลู่หยวนซีเอ่ยเสียงเบากับคนที่นางกำลังแบกเอาไว้บนหลัง ไร้เสียงตอบกลับ
ชายชุดดำที่หายจากอาการตกตะลึง รีบออกคำสั่งให้พวกของตนรีบตามคนทั้งสองไป ลู่หยวนซีออกวิ่งเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นสี่คนที่ใช้วิชาตัวเบาทะยานตามมาได้ กระบี่สีขาววาววับที่สะท้อนแสงแดดส่องกระทบดวงตาของนาง ร่างบางที่แบกกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ด้านหลังหลับตาลงคิดว่าตนเองคงจะหลบการแทงนี้ไม่พ้นแล้วแต่เสียงเคร้ง!!ก็ดังขึ้นข้างหูของนาง อาวุธลับสีนิลลอยกระเด็นไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ลู่หยวนซีที่เตรียมใจตายเอาไว้แล้วหรี่ตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พบว่าชายชุดดำทั้งสี่ถูกปลิดชีพลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของใครบางคน และเมื่อลู่หยวนซีได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“เป็นท่านเองหรือ”กู้จิ่งเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาจับจ้องไปยังชายร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีนิลพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหก พลางคิดในใจว่านางไปรู้จักกับคนน่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างไร“แม่นางข้าให้คนตามหาเจ้าตั้งหลายวัน หากไม่ได้ยินเสียงร้องของมือสังหารเหล่านั้นคงตามมาที่นี่ไม่ทันการณ์เป็นแน่”ลู่หยวนซียิ้มรับคำพูดของเขาอย่างยินดี นางไม่คิดว่าที่ระบบสั่งให้นางช่วยชีวิตเขา จะทำให้นางได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเ
ลู่หยวนซีถามกู่จิ่งเหยียนอย่างหน้าตาเฉย เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นก็แล้วไป แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นเป็นปกติแล้วจะให้นางช่วยเรื่องนั้นได้อย่างไร กู้จิ่งเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธถึงแม้เขาจะเริ่มรู้สึกปวดเบาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะปล่อยต่อหน้านางเป็นแน่ ลู่หยวนซีพยักหน้ารับรู้ก่อนวางกระโถนเอาไว้มุมหนึ่งของถ้ำ จากนั้นจึงหันไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนของตนที่ปูเอาไว้คนละฟากของกองไฟเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่านางนั้นได้หลับไปแล้ว กู้จิ่งเหยียนกำลังจะคลานไปที่กระโถนใบนั้นแต่แล้วลู่หยวนซีก็ลุกขึ้นนั่ง นางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังค้างอยู่ในท่าจับขอบกระโถนเอาไว้ด้วยสายตามึนงง ก่อนจะถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย“คุณชายท่านปวดเบาหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ปลุกข้า ข้าเองก็ลืมว่ายังมิได้เปลี่ยนชุดให้ท่านเลย มาเถอะข้าช่วย”กู้จิ่งเหยียนยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากปฏิเสธ ลู่หยวนซีก็ถึงตัวเขาเสียแล้ว ความอับอายที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้มันถูกอัดแน่นอยู่ภายในอก นางช่วยเขาถ่ายเบาทั้งยังจับเขาเปลื้องผ้าและเช็ดตัวให้ หญิงผู้นี้ไม่รู้จักคำว่าอายหรืออย่างไร นางเป็นสตรีนะหลังเปลี่ยนชุดให







