ในวังหลวงยามนี้ข่าวสองแม่ลูกไป๋ซูเจียวและไป๋ซูหนี่ว์ดังจนเข้าไปถึงในวังหลวง เวลานี้องค์ฮ่องเต้ที่นั่งอ่านฎีกา ละสายพระเนตรมองไปยังหลิวกงกงขันทีคนสนิท ที่ดูเหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ก็ไม่พูดออกมาเสียที จนพระองค์รู้สึกรำคาญจนต้องเอ่ยถามออกไป
“หลิวกงกง ท่านมีอะไรอยากจะพูดกับเราหรือไม่?”
“หามิได้พะยะค่ะ เพียงแต่ว่าช่วงนี้มีข่าวลือกันหนาหูนอกวัง ว่ากันว่าแม่นางสกุลไป๋และบุตรสาว ที่ย้ายมาจากเมืองตงฟางตัดสินใจซื้อจวนอดีตแม่ทัพจ้าว ซึ่งพูดกันปากต่อปากว่า จวนหลังนั้นมีวิญญาณร้ายอาศัยอยู่พะยะค่ะ”
“จวนสกุลจ้าว? มีวิญญาณร้าย? เราก็เคยได้ยินมาอยู่บ้าง แต่ถ้าหากมีจริงสองแม่ลูกเหตุใดถึงไม่กลัว?” องค์ฮ่องเต้เริ่มวิเคราะห์เรื่องราว ข่าวลือนี่น่าสนใจทีเดียว
“ทูลฝ่าบาท เรื่องนี่แปลกมากจริงๆ พะยะค่ะ”
“อาจมีคนสร้างข่าวลือขึ้นมาก็ได้ สตรีสองนางตัดสินใจซื้อจวน ทั้งๆ ที่มีข่าวลือว่ามีวิญญาณร้าย ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
“กระหม่อมก็คิดเช่นเดียวกันกับฝ่าบาท จึงได้ส่งองครักษ์ออกไปสืบหาข่าวแล้วพะยะค่ะ”
“เจ้านี่สมกับเป็นคนสนิทข้างกายเราจริงๆ ฮ่าฮ่า” ฮ่องเต้หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
“ขอบพระทัย ที่ชมพะยะค่ะ” หลิวกงกงยกยิ้มมุมปากด้วยความเขินนิดหน่อย
////////////////////////////
จวนสกุลไป๋
ไป๋เฉินและฮูหยินไป๋ยามนี้ทั้งเป็นห่วงและหวาดวิตกกังวล เมื่อได้รับรู้เรื่องราวจากปากของซูเจียว
“เจ้าทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาพ่อกับแม่ก่อน!!! เจ้าไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับจวนหลังนั้นรึ?” ไป๋เฉิงเอ่ยน้ำเสียงเครียด
“ท่านพ่อข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือ ข้าก็ได้ไปสำรวจดูก็ไม่เห็นมีอะไรนี่เจ้าค่ะ ท่านพ่ออย่ากังวลไปเลย หนี่ว์เอ่อร์เองก็ชอบจวนหลังนั้นมากๆ ด้วย ข้าจึงไม่อยากขัดใจนาง วันนี้นางก็ออกไปจวนหลังนั้น บอกว่าจะเอาอาหารไปเซ่นไหว้เจ้าที่ก่อนที่จะเข้าไปอยู่เจ้าค่ะ” ซูเจียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น
“เจ้าแน่ใจน่ะเจียวเอ่อร์!! แม่ละอดเป็นห่วงเจ้ากับหลานไม่ได้เลยจริงๆ” ฮูหยินไป๋กลัวเหลือเกินว่าบุตรสาวและหลานสาวจะอยู่ไม่ได้ หลายปีมานี้ไม่มีใครคิดจะซื้อจวนสกุลจ้าว เพราะหลายคนที่ลองเข้าไปดูก็เจอดีด้วยกันทั้งนั้น
“ท่านตา ท่านยาย ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” เสียงเจื้อยแจ้วกังวานใสดังมาแต่ไกล ทำเอาซูเจียวส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู นางรู้ว่าซูหนี่ว์ไม่ได้เรียบร้อยดั่งสตรีในห้องหอทั่วไป ตั้งแต่ซูหนี่ว์หายป่วยนางก็มีความคิดที่เปลี่ยนไป นางอยากเห็นบุตรสาวมีความสุขแบบนี้ทุกวัน จึงไม่อยากบังคับอะไรอยากให้อิสระแกนาง ซึ่งครอบครัวสกุลไป๋เองก็เลี้ยงดูซูเจียวมาแบบให้อิสระเช่นเดียวกัน
“หนี่ว์เอ่อรมาหายาย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? จวนหลังนั้น …เจ้าพบเจออะไรบ้างหรือไม่?” ฮูหยินพอได้หยินเสียงหลานสาว ก็รีบกวักมือเรียกให้เข้าไปหาใกล้ๆ แล้วรีบสำรวจดูตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ท่านย่า ข้าคิดว่าคงเป็นเพียงข่าวลือ ท่านตาท่ายยายไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าค่ะ ข้าไม่เห็นจะพบเจอกับอะไรเลย ว่าแต่ท่านตาเจ้าขาข้าอยากได้บ่าวไปทำงานที่จวน” ประโยคหลังซูหนี่ว์หันมาปรึกษาไป๋เฉิงที่นั่งหน้าเครียดอยู่
“อ่อได้สิ เจ้าอยากได้แบบไหนละ มีโรงค้าทาสแบบถูกกฏหมายมีอยู่หลายแห่ง เดี๋ยวตาจะให้คนไปช่วยจัดการให้” ที่เขาเสนอแบบนี้เพราะคิดว่า ถ้าหาบ่าวรับใช้ให้ไปทำงานที่จวนคงไม่มีใครอยากไปเพราะหวาดกลัว คงต้องไปหาซื้อทาสใหม่ถึงจะได้
“คือว่า…ข้าอยากไปดูด้วยตัวเองได้หรือไม่เจ้าค่ะ? ข้าอยากคัดคนไปทำงานที่จวนด้วยตัวเอง”
“......????”
ไป่เฉิงไม่เข้าใจความคิดของหลานสาวคนนี้เลยจริงๆ นางดูมีความมั่นใจและไม่หวาดกลัวภูตผีวิญญาณ แถมยังอยากไปโรงค้าทาสด้วยตัวเอง คุณหนูส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากไปสถานที่แบบนั้น แต่นางเหมือนจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ได้ตาจะให้คนพาเจ้าไป”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านตา ท่านแม่ข้าอยากรบกวน ช่วยสั่งเครื่องครัวเรือน ไปที่จวนหลังใหม่ได้หรือไม่เจ้าค่ะ อีกอย่างข้าอยากได้เสื้อผ้าสำเร็จรูปหลายขนาด เพราะหากข้าซื้อทาสมา พวกเขาจะได้มีใส่”
“ได้หนี่ว์เอ่อร ปล่อยให้เป็นหน้าที่แม่ กิจการของท่านตาก็จำหน่ายแพรพรรณอยู่แล้ว” ซูเจียวรับปากเพราะกิจการของสกุลไป๋มีมากมาย รวมถึงร้านจำหน่ายแพรพรรณร่วมถึงเครื่องในครัวเรือน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ งั้นข้าต้องขอตัวไปทำอาหารก่อนนะเจ้าค่ะ นี่ก็ใกล้อาหารค่ำเต็มที” ถึงแม้จะยุ่งเพียงใดนางก็ยังคงอยากทำอาหารให้ทุกคนได้กินกัน
ซูหนี่ว์ขอตัวมาทำอาหารเพราะต้องเอาไปส่งที่จวนเฉินอ๋องด้วย อีกอย่างนางตั้งใจจะทำอาหารที่แสนอร่อยให้ทุกคนลองชิม ไม่ว่าจะโลกโน้นหรือโลกนี้ สิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปคือความชอบการทำอาหารของนาง
/////////////////////////
จวนเฉินอ๋อง
“ทูลท่านอ๋อง คุณหนูไป๋เอาอาหารมาส่งพะยะค่ะ” องครักษ์ที่เฝ้าประตูรีบเข้ามารายงาน
“ให้นางเข้ามา” นางมาแล้วเฉินตงหยางใจเริ่มเต้นแรงอย่างยากจะควบคุม นางเป็นเพียงดรุณีน้อยเพิ่งผ่านพ้นวัยปักปิ่น เจ้าห้ามคิดอะไรกับนางเด็ดขาด!!
“คารวะท่านอ๋อง” ซูหนี่ว์ย่อกายเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้อิงอิงและซิวอิง ยกอาหารมาวางบนโต๊ะ ที่ถูกจัดเตรียมไว้มุมหนึ่ง
“เจ้ามานี่” เฉินอ๋องเริ่มมองเห็นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนมากนัก จึงเรียกนางให้เข้าไปใกล้ๆ
“เพคะ” ซูหนี่ว์ขยับเข้าไปใกล้เฉินอ๋อง เพราะรู้ดีว่าเป็นเพราะสาเหตุใดจึงไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธ อีกอย่างนางเป็นคนที่มาจากยุคที่ชายหญิงเท่าเทียม ความเขินอายแถมจะไม่มีในตัวนาง
“ใกล้เท่านี้ท่านอ๋องมองเห็นชัดหรือไม่เพคะ” ซูหนี่ว์เอ่ยถามเอียงคออย่างน่ารัก เฉินอ๋องถึงกับเขินใบหูแดงก่ำกับกิริยาท่าทางของนาง ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที
“อืมขอบใจเจ้ามาก วันนี้เจ้าทำสิ่งใดมา?”
“วันนี้หม่อมฉันทำบะหมี่หมูแดง กับเกี๊ยวนำ้มาให้ลองเพคะ” ซูหนี่ว์พอพูดถึงอาหารก็ลืมตัว คว้าแขนเฉินอ๋องให้เดินตามไปนั่งที่โต้ะ ซึ่งเฉินตงหยางเองก็ไม่คิดจะห้ามปรามนางกลับยกยิ้มอย่างพอใจ นางคงลืมไปว่าเขาสามารถมองเห็นได้ดีเวลานางอยู่ใกล้เขา
“.....???” ชุนไห่และชุนเต๋อ ยืนมองด้วยความแปลกใจ ท่านอ๋องยอมให้สตรีแตะเนื้อต้องตัว?
“พี่ชุนไห่ ข้าอยากได้เตาถ่านมาอุ่นนำ้ซุป หากนำ้ซุปไม่ร้อนบะหมี่จะไม่อร่อยเพคะท่านอ๋อง” นางหันไปขอเตากับชุนไห่ก่อนหันกลับมาอธิบายกับเฉินอ๋อง
“เหตุใดเจ้าถึงเรียกชุนไห่ว่าพี่?”
“ก็เขาอายุมากว่าหม่อมฉัน”
“ข้าก็อายุมากกว่าเจ้า…หลายปี”
“แต่มันไม่เหมือนกันนี่เพคะ ท่านนะมียศฐาบรรดาศักดิ์และเป็นถึงราชวงศ์ จะให้เรียกปกติเหมือนคนทั่วไปได้อย่างไร”
“แต่ว่าข้าอยากให้เจ้าเรียก” ซูหนี่ว์แอบงง เขาจะให้เรียกพี่อย่างนั้นรึ แต่นางคิดว่าคงไม่เหมาะหากคนอื่นรู้ จะเป็นการลบหลู่เบื้องสูงหรือไม่?
“ไม่ได้หรอกเพคะหม่อมฉันว่าคงไม่เหมาะ”
“ข้าเข้าใจ แต่ที่นี่ไม่มีใครเจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่เถิด อีกอย่างเวลาเจ้ามาที่นี่ก็ทำตัวตามสบาย” เฉินตงหยางเข้าใจความคิดและความรู้สึกของนางดี แต่ว่านางจะเรียกคนอื่นว่าพี่ แต่เรียกเขาว่าท่านอ๋องอย่างห่างเหิน เขาไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน
“แต่ว่า…เรียกท่านพี่มันฟังดูแปลกๆ นะเพคะ”
“นั่นสิพะยะค่ะ ท่านพี่ต้องเรียกยามที่ท่านกับนางแต่งงานกันแล้ว” ชุนไห่กล่าวเสริมขึ้นมา
“จะเรียกตอนไหนก็เหมือนกัน ในเมื่อข้าอยากให้นางเรียก เจ้ามีปัญหารึชุนไห่? อยากอดอาหารมื้อนี้หรือไม่?”
“ไม่ๆ ไม่กล้ามีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นพะยะค่ะ” เมื่อได้ยินว่าคำว่าอดอาหาร ชุนไห่ก็ต้องรีบหุบปากทันทีทันใด ซูหนี่ว์แอบขำกับท่าท่างของชุนไห่เมื่อพูดถึงอาหาร
“ระหว่างที่รอน้ำซุปเดือด หม่อมฉันจำได้ว่าท่านอ๋องเคยบอกว่าเคยถูกพิษเมื่อตอนอายุ14ปี หม่อมฉันก็เลยอยากลองสิ่งนี้ดู หากไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไรหม่อมฉันเพียงอยากลองดูเพคะ” ซูหนี่ว์นำขวดที่บรรจุน้ำที่นางตักมาจากห้องลับออกมาจากกล่องไม้ แล้วเทลงบนถ้วยชาของเฉินอ๋อง
“ท่านอ๋อง..เอ้ย..ท่านพี่น้ำนี้มีสรรพคุณ เป็นยาบำรุงและสลายพิษ หม่อมฉันคิดว่าหากท่านดื่มทุกวัน อาจช่วยให้ร่างกายของท่านดีขึ้นท่านก็ลองดูเถิดเพคะ”
“ได้” เฉินตงหยางนั่งมองนางพูดคุยอย่างเพลิดเพลิน พลางคิดจินตนาการว่า หากอีกปีสองปีนางเติบโตขึ้น นางจะเป็นสตรีที่งดงามมากเพียงใด เพียงแค่คิดเขาก็รู้สึกรับไม่ได้ หากจะมีใครมานั่งมองความงดงามของนาง เขาไม่อยากคิดเข้าข้างตนเองว่า สวรรค์ส่งนางมาเพื่อเขาคนเดียวเท่านั้น
“พี่ชุนไห่กับพี่ชุนเต๋อก็ลองดื่มดูได้เจ้าค่ะ ข้าเอามาเยอะเลย “ซูหนี่ว์หันไปเทใส่ถ้วยชาอีกสองใบ ซึ่งสององครักษ์ก็ยกไปดื่มอย่างไม่รีรอ
“น้ำนี้มีกลิ่นหอมเหมือนดอกบัวและคล้ายมีพลังบางอย่าง ข้ารู้สึกสดชื่นขึ้นมากจริงๆ ขอบใจเจ้ามาก” เฉินอ๋องยกยิ้มด้วยความพอใจ ใจก็เริ่มอดคิดเข้าข้างตนเองอีกครั้ง สวรรค์คงส่งนางมาให้เขาเป็นแน่
“ข้าก็รู้สึกมีเรี่ยวมีแรง และรู้สึกสดชื่นขึ้นเช่นกันพะยะค่ะท่านอ๋อง นำ้นี้ดีจริงๆ ขอบคุณคุณหนูไป๋” ชุนไห่ผู้ที่ชอบกินและชอบดื่มเอ่ยขึ้นบ้าง
“ท่านพี่หม่อมฉันมีอีกอย่างจะให้ท่าน นี่เป็นถุงหอมแต่ด้านในหม่อมฉันตัดช่อผมของหม่อมฉันใส่ลงไปด้วย ให้ท่านลองพกติดตัว หม่อมฉันไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้ท่านมองเห็นหรือไม่ แต่หม่อมฉันอยากให้ท่านลองดูเพคะ” ซูหนี่ว์หยิบถุงหอมออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้เขา
เฉินอ๋องยามนี้ใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นกระดอนออกมานอกอก นี่นาง!!กล้าเกี้ยวพาเขาตรงๆ แบบนี้เลยหรือ นางช่างเป็นสตรีที่ใจกล้าเสียนี่กระไร แต่เขาก็รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด “ขอบใจ”
“น้ำเดือดแล้ว อิงอิง ชิวอิงยกถ้วยบะหมี่กับถ้วยเกี๊ยวมา แล้วก็เครื่องปรุงด้วย” ซูหนี่ว์หันไปบอกสองบ่าวสาว เมื่อเห็นว่าน้ำเริ่มเดือด
บะหมี่หมูแดงกับเกี๊ยวน้ำถูกราดด้วยนำ้ซุป ที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลส่งกลิ่นไปทั่วห้อง ทำเอาบรรดาบ่าวรับใช้ที่ได้กลิ่น มายืนดอมๆ มองๆ กันหน้าห้องเพราะทนสูดกลิ่นไม่ไหว จวนเฉินอ๋องมีบ่าวรับใช้ไม่มากนัก เพราะตั้งแต่เฉินอ๋องมองไม่เห็น ก็ไม่มีใครให้ความสนใจแม้กระทั่งคนที่คิดปองร้ายเขา เขาจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีบ่าวรับใช้มากมาย บ่าวรับใช้ก็เป็นชายทั้งหมดเพื่อตัดปัญหา สาวรับใช้ปีนเตียงท่านอ๋อง
ซูหนี่ว์ยกบะหมี่หมูแดงกับเกี๊ยวนำ้มาวางตรงหน้าเฉินอ๋อง แล้วเลื่อนเครื่องปรุงมาให้เขา
“นี่เป็นเครื่องปรุงเพคะ หากท่านชอบหวานนิดๆ ก็เติมนำ้ตาล หากชอบเผ็ดก็เติมพริก อันนี้เป็นน้ำส้มถ้าหากว่าท่านชอบเปรี้ยว “เฉินอ๋องมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจและมีความสุขยิ่ง การมองเห็นมันเป็นความรู้สึกดีมากจริงๆ
“ท่านอ๋อง..ท่านพี่เหตุใดท่านถึงยังไม่ลงมือละเพคะ”
“ข้ารู้สึกดีใจที่กลับมองเห็นอีกครั้ง แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ข้าจึงอยากจะเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้นานๆ” ซูหนี่ว์ได้ฟังแล้วก็นึกสงสาร การมองไม่เห็นมาเป็นเวลานาน เขาคงทุกข์ทรมารมากจริงๆ ใครกันนะที่ใจร้ายกล้าลงมือกับเขาเช่นนี้
“พี่ชุนเต๋อ!ท่านอ๋อง! อาหารนี่มันอร่อยเกินไปแล้ว ข้าไม่รอแล้ว” ชุนไห่ร้องออกมาเสียงดัง พร้อมกับลงมือกินบะหมี่อย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนกลัวว่าใครจะมาแย่ง
“เจ้าตัวตะกละ คุณหนูไป๋อย่าได้ถือสา” ชุนเต๋อส่ายหัวรีบออกตัว เพราะเห็นน้องชายตัวดีทำกิริยาที่ไม่เหมาะสม
“ไม่เป็นไรเชิญกินให้อร่อยเจ้าค่ะ วันนี้ข้าทำมาเผื่อบ่าวในจวนด้วย พี่ชุนเต๋อก็แบ่งให้พวกเขาด้วยนะเจ้าค่ะ”
“ได้เดี๋ยวข้าจะจัดการให้พวกเขาเอง”
อาหารมื้อนั้นหมดลงอย่างรวดเร็วและแทบไม่พอ ทุกคนมีความสุขกับการได้กินอาหารอร่อยจนลืมอิ่ม แม้จะเป็นเพียงบะหมี่เกี๊ยวทั่วไปแต่รสชาตินั้นแสนอร่อยหาที่เหมือน ซูหนี่ว์เองก็พลอยมีความสุขไปด้วยที่ทุกคนชอบอาหารฝีมือของนาง