ซูหนี่ว์ตื่นแต่เช้าเช่นทุกวันและได้เข้าไปช่วยทำอาหารเหมือนปกติ แต่วันนี้นางตั้งใจเตรียมอาหาร ผลไม้และน้ำชาที่จะนำไปที่สกุลจ้าวด้วย เพื่อกราบไหว้วิญญาณที่ยังคงอยู่ที่สกุลจ้าวเพราะว่าหากนางจะเข้าไปอยู่ ก็ควรให้ความเคารพกับวิญญาณเหล่านั้นด้วย
รถม้าวิ่งมาหยุดที่หน้าจวนสกุลจ้าว ซูหนี่ว์ก็ก้าวลงมาอย่างมั่นคงพร้อมกับถิงถิงและชิงอี ที่ยามนี้ใบหน้าแสดงอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“คุณหนู” ท่าท่างหน้าซีดตัวสั่น ซูหนี่ว์หันมามองก็เข้าใจได้ในทันที
“พวกเจ้าไม่ต้องเข้าไป รอข้าตรงนี้เดี๋ยวข้าเสร็จธุระ จะรีบออกมา”
“เจ้าค่ะ” ถิงถิงและชิงอีถอนใจอย่างโล่งอก คุณหนูไม่กลัวแต่พวกนางกลัว ขอรออยู่ตรงนี้ดีกว่า
ซูหนี่ว์เปิดประตูเข้าไปก็พบว่า ท่านพ่อ ท่านปู่ ท่านย่า ออกมายืนรอเรียบร้อยแล้ว
“หนี่ว์เอ่อร์เจ้ามาแล้ว” จ้าวซีซวนรีบเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจที่เห็นบุตรสาวกลับมาเยือนอีกครั้ง
“ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าวันนี้ข้าเอาอาหารมาด้วยนะเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าพวกท่านคงไม่ได้กินอะไรมานานมากแล้ว ก็เลยอยากเอามาฝากเจ้าค่ะ”
“เจ้าช่างเป็นเด็กที่กตัญญูเสียจริง” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
‘ท่านย่าไม่ต้องกังวล ต่อไปข้ามาอยู่ที่นี่ จะทำให้พวกท่านกินทุกวันเลย วันนี้ข้ามีข้าวต้ม ผัดผัก ผักดอง หมูหวาน ชาลาเปาไส้ผัก ข้าทำเองเลยนะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะตั้งโต้ะกราบไหว้วิญญาณเสียก่อน” ซูหนี่ว์จัดการตั้งโต๊ะ แล้วนำธูปมาจุด จากนั้นก็นึกถึงท่านพ่อ ท่านปู่ ท่านย่า และเหล่าดวงวิญญาณที่อยู่ในจวนนี้ให้มารับอาหาร
“ท่านพ่อ ท่านปู่ ท่านย่า ลองชิมดูเจ้าค่ะข้าทำเองกับมือเลยนะเจ้าค่ะ”
แม้ซูหนี่ว์จะเตรียมอาหารมาแค่อย่างละถ้วย แต่หลังจากนางจุดธูปเสร็จ อาหารแต่ละอย่างก็ไปปรากฎอยู่ต่อของทุกคน สร้างความประหลาดใจให้กับซูหนี่ว์อีกครั้ง
“รสชาติดี! หลานรักเจ้าทำอาหารพวกนี้เองหมดเลยจริงๆ รึ? ปู่ไม่เคยได้กินอาหารรสชาติดีแบบมาก่อนเลย ไม่อยากเชื่อว่าตายแล้วก็ยังมีวาสนาได้กินอาหารรสชาติดีๆ แบบนี้” จ้าวซีห่าวทราบซึ้งจนน้ำตาซึม
“ท่านพี่” ฮูหยินผู้เฒ่ายกมือขึ้น แล้วตบลงบนหลังมือของจ้าวซีห่าวผู้เป็นสามีเบาๆ อย่างปลอบใจ นางเองก็นำ้ตาซึมเช่นเดียวกัน
“ต่อไปเมื่อข้าย้ายมาอยู่ที่นี่พวกท่านจะได้กิน อาหารที่ข้าทำทุกวัน อีกอย่างข้าให้ท่านแม่ซื้อจวนหลังนี้แล้ว ต่อไปพวกท่านก็อย่าทำให้พวกเขาหวาดกลัวละเจ้าค่ะ”
“หนี่ว์เอ่อร์เจ้าช่างมีนำ้ใจ เป็นเด็กดีและกตัญญู พ่อภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ ขอบใจเจ้ามาก” จ้าวซีซวนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ มองบุตรสาวด้วยสายตาภาคภูมิใจ
“ท่านพ่อ ท่านปู่ ในคำใบ้ปริศนาบอกว่า ให้ใช้ฝ่ามือค้นหาความลับในจวน ไม่ใช่ว่าข้าจะต้องใช้มือสัมผัส ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ที่จวนหลังนี้หรอกนะเจ้าค่ะ จวนหลังนี้ใหญ่โตกว้างขวางขนาดนี้ ข้าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันละ” ซูหนี่ว์เอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจ
“ค่อยๆ หาไปพวกเรารอเจ้ามานานหลายปี หากต้องรออีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร”
“ใช่ๆ เจ้าไม่ต้องรีบ เห็นเจ้ากลับมาเช่นนี้ย่าดีใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว”
หลังจากทุกคนรับอาหารเสร็จ จ้าวซีซวนก็พาบุตรสาวเดินสำรวจรอบๆ จวนอีกครั้ง โดยมีจ้าวซีห่าวผู้เป็นปู่เดินติดตามมาด้วย
ซูหนี่ว์หลังจากเดินสำรวจก็พบว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาความลับเจอ เพราะจวนหลังนี้ใหญ่โตมาก นางใช้มือหยิบจับและสัมผัส สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“ใจเย็นๆ ค่อยๆ หาไป พ่อเองก็ไม่คิดว่าท่านนักพรต จะทิ้งปริศนาเอาไว้ให้เจ้า หากหาไม่พบก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเจ้าก็ได้กลับมาหาพ่อ ได้มาพบท่านปู่ท่านย่า” จ้าวซีซวนเอ่ยขึ้นไม่อยากให้นางกดดันจนเกินไป
“แต่ข้าอยากหาให้พบโดยเร็วเจ้าค่ะ เพราะตั้งแต่ข้าได้สวมกำไลวงนี้และได้มาอยู่ที่นี่ ก็พบเจอแต่เรื่องแปลกประหลาดมากมาย จนข้าสับสนไปหมดแล้ว”
ซูหนี่ว์เดินสำรวจอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่พบเจอสิ่งใด จึงตัดสินใจเดินดูภายในจวนดูบ้าง ทุกห้องดูปกติดี จนมาถึงห้องสุดท้ายคือห้องท่านปู่ท่านย่า ซึ่งก็ดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างจากห้องอื่นๆ นางจึงคิดว่าวันนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อน แต่สายตาก็ไปสะดุดกับกระจกโบราณที่ติดไว้ข้างหัวเตียง
“ท่านปู่ กระจกนี้อยู่มานานเท่าไหร่แล้วเจ้าค่ะ?”
“อืม..เท่าที่ปู่รู้มันอยู่มาหลายร้อยปีแล้วนะ เพราะจวนหลังนี้เป็นมรดกตกทอดกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่ปู่กับพ่อของเจ้าก็เคยจับดู ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดอะไรขึ้น” จ้าวซีห่าวเห็นกระจกอันนี้ตั้งแต่จำความได้
“งั้นเดี๋ยวข้าขอลองดูหน่อย” ในเมื่อข้อความในกระดาษบอกให้ใช้ฝามือค้นหาความลับ นางก็จะสัมผัสให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง หากไม่แล้วคงใช้เวลาอีกนาน
ซูหนี่ว์ค่อยๆ วางมือลงไปบนกระจก แต่เพียงแค่ปลายนิ้วของนางสัมผัส แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมาก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เสียงครืดคราดของฝาผนังในห้องจะดังขึ้น และเริ่มเลื่อนเปิดออก ก่อนจะเห็นห้องลับมีบันไดลงไปยังห้องใต้ดิน ซูหนี่ว์มองหน้าบิดาและท่านปู่ ที่มองด้วยเความตกตะลึง พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จวนหลังนี้จะมีห้องลับใต้ดินซ่อนอยู่
“เราเข้าไปดูกันเถอะเจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์กล่าวเสร็จก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปยังห้องใต้ดินทันที จ้าวซีห่าวและจ้าวซีซวนรีบก้าวเท้าตามเข้าไปเช่นกัน
บันไดที่เดินลงยังห้องใต้ดินค่อนข้างมืด แต่ทันทีที่เท้าของนางก้าวเท้าลงไป ทันใดนั้นเทียนที่ถูกวางไว้ตามจุดต่างๆ ก็สว่างขึ้น ซูหนี่ว์เริ่มรู้สึกหวาดหวั่นและตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ไม่รู้ว่านางจะได้เจอกับอะไร ทางเดินค่อนข้างแคบแต่ไม่เล็กจนเกินไป ทอดยาวเป็นทางตรง จนมาสุดทางก็มีประตูบานใหญ่ปิดอยู่ ด้านหน้ามีกระจกบานใหญ่ติดอยู่ ซูหนี่ว์ยื่นมือไปสัมผัส แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมาเช่นเดิมก่อนจะหายไป ประตูบานนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกมาอย่างช้าๆ ภายในห้องมืดสนิทแต่พอซูหนี่ว์ก้าวขาเข้าไป เทียนมากมายก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ซูหนี่ว์จึงได้มองสำรวจรอบห้องได้อย่างชัดเจน
ห้องนี้ใหญ่โตกว้างขวางมาก รอบๆ ห้องมีโต๊ะเก้าอี้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ และชั้นหนังสือโบราณมากมาย ตรงกลางห้องมีบ่อนำ้ขนาดสี่เหลี่ยม และดอกบัวสีทองขึ้นอยู่ตรงกลาง ไอน้ำระเหยอยู่เหนือนำ้ในบ่อดอกบัว ถัดไปจากบ่อนำ้มีโต๊ะหินสีเขียวมรกต บนโต๊ะหินมีหนังสือโบราณเล่มหนาวางอยู่ ซูหนี่ว์เดินไปเปิดหนังสือดูด้วยความสนใจ แต่ก็ต้องตกใจที่เห็นแสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากหนังสือ ตัวอักษรบนหนังสือก็เริ่มลอยออกมาที่ละตัว ดอกบัวที่อยู่ในบ่อก็เริ่มส่องแสงออกมาเช่นเดียวกับ บัดนี้ภายในห้องสว่างไสวด้วยแสงสีทอง จากนั้นทั้งตัวอักษรและแสงสีทองก็พุ่งเข้าสู่ร่างของซูหนี่ว์แล้วหายไป
ซีห่าวและซีซวนยืนมองภาพนั้น ด้วยสายตาไม่กระพริบ สิ่งที่พวกเขาเห็นในวันนี้ ทำเอาตกตะลึงจนพูดไม่ออก ตั้งแต่เกิดมาจนเสียชีวิตเป็นวิญญาณก็เพิ่งเคยเห็น ก่อนจะได้เห็นร่างของชายชราปรากฏกายขึ้น ผมบนศีรษะและหนวดเคราขาวโพลน ก่อนที่ชายชราจะเดินมาโค้งคำนับให้กับซูหนี่ว์อย่างเคารพนบนอบ
“ยินดีต้อนรับผู้สืบทอด”
“ผู้สืบทอด ข้ารึ?” ซูหนี่ว์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง อย่างไม่แน่ใจ
“ใช่แล้วขอรับ ท่านคือผู้สืบทอดของตระกูลจ้าว ยามที่ตระกูลจ้าวถึงคราวล่มสลาย ต้องพบกับความอัปยศและสูญสิ้น เมื่อนั้นจะมีผู้ที่มีเชื้อสายของตระกูลจ้าว มาทำการสืบทอดให้คงอยู่ต่อไป ยามนี้ในร่างกายของท่านมี พลังปราณวิญญาณไหลเวียนอยู่ และยังมีวิชาแขนงต่างๆ อีกทั้งวรยุทธ แต่ท่านต้องกินยาเพิ่มพลังยุทธเม็ดนี้ และดื่มนำ้ในสระบัว เพื่อปรับสภาพร่างกายของท่านให้คงที่
ชายชรากล่าวจบก็หยิบเม็ดยา ออกมาจากกล่องไม้โบราณส่งให้ ซูหนี่ว์รับมาแล้วหยิบใส่ปากก่อนจะเดินไปใช้มือวักน้ำขึ้นมาดื่มตามลงไป ไม่นานภายในร่างกายของซูหนี่ว์ก็เริ่มรับรู้ถึงระบบการไหลเวียนของพลังที่วิ่งไปมาทั่วร่าง พลังที่เริ่มอัดแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ซูหนี่ว์ก็กระอักเลือดคำโตออกมา ซีห่าวและซีซวนที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้ามาหมายจะประคองร่างที่ดูเหมือนจะทรุดลงกับพื้น
“ไม่ต้องตกใจ!!” ชายชรายกมือห้าม
“ร่างกายของนางเพียงแค่กำลังปรับตัว เดี๋ยวนางก็จะรู้สึกดีขึ้นเอง” ชายชรากล่าวอธิบาย
“คุณหนูไป๋ยามนี้ท่านมีพลังและวรยุทธที่แข็งแกร่งเหนือผู้ใด และท่านยังเป็นสายเลือดสกุลจ้าวคนเดียวที่เหลืออยู่ ข้าผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสประจำตระกูลจ้าว เป็นตัวแทนขอกล่าวอะไรกับคุณหนูสักหน่อย พวกเราขอฝากความหวังไว้กับท่าน ขอให้ช่วยฟื้นฟูสกุลจ้าวให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และช่วยล้างมลทินให้กับสกุลจ้าวด้วยเถิด”
“ข้าจะทำได้หรือ? …เอ่อข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ” ซูหนี่ว์ตอบออกไป แม้ว่าภายในใจจะพูดว่านางจะทำได้จริงๆ หรือ
“ห้องลับนี้จะมีเพียงผู้สืบทอดเท่านั้นที่เปิดเขามาได้ ดอกบัวสีทองมีชื่อว่าดอกบัวเก้าสวรรค์ นำ้ที่อยู่ในบ่อจึงมีความพิเศษ เป็นดังคล้ายยาบำรุงและถอนพิษได้ ทุกอย่างที่อยู่ในห้องนี้ ท่านสามารถนำออกไปใช้ และช่วยเหลือผู้คนได้ หากท่านช่วยเหลือแบ่งปั่นมากขึ้นเท่าใด ผลบุญก็ส่งถึงตัวท่านและวิญญาณของคนสกุลจ้าวด้วยเช่นกัน หากตัวท่านดื่มน้ำในบ่ออยู่เป็นประจำ ร่างกายก็แข็งแกร่งมากขึ้นไป กำไลที่ท่านสวมอยู่เป็นกำไลเชื่อมมิติ ที่ไม่ใช่ใครก็จะสามารถสวมได้ กำไลต้องเป็นฝ่ายเลือกคนที่จะสวมซึ่งคนผู้นั้นก็คือท่าน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต สกุลจ้าวจะยังคงอยู่หรือไม่ก็คงต้องความหวังไว้กับมือท่านแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเจ้าคะ”
“ข้าต้องขอตัวก่อน” จากนั้นร่างของชายชราก็หายไป ซูหนี่ว์ยืนมองภาพเหล่านั้นอย่างเหม่อลอย ทุกคนฝากความหวังไว้กับนางกันหมดรู้สึกกดดันและหนักใจอย่างบอกไม่ถูก นางจะทำได้หรือเปล่านะแต่ในมือมีตัวช่วยขนาดนี้ต้องลองดูกันสักตั้ง