นักศึกษาที่อยู่ในปักกิ่งต่างเลือกกลับบ้านในวันหยุดและจะกลับมาอีกทีคือพรุ่งนี้ตอนเช้า อันที่จริงใครที่จะกลับตั้งแต่เมื่อวานหลังหมดวิชาเรียนแล้วก็ได้ เพียงแต่เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้จะนอนพักข้างนอกเธอเลือกที่จะออกมาตอนเช้าเพื่อไปดูร้านเซี่ยเซี่ยทันที"ชิงชิง!"เฉินเฟิ่นอี้ฉีกยิ้มเมื่อเห็นน้องชายลงจากรถยนต์ก่อนที่เขาจะวิ่งมากอด เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วที่เฉินเฟิ่นอี้เพิ่งได้เจอน้องชายของเธอ ด้วยวันหยุดของพี่ใหญ่เฉิน เฉินชิงชิง และของพวกเฉินเฟิ่นอี้ไม่ตรงกันจึงวุ่นวาย ครั้งนี้พี่ใหญ่เฉินไม่ได้แลกเวรแต่เขาเลือกวันหยุด"พี่สาว"ร่างกายของเฉินชิงชิงไม่ได้ซูบผอมอย่างที่คิด มิหนำซ้ำเขายังมีเนื้อหนังมากกว่าเดิม เฉินเฟิ่นอี้ที่ตรวจดูร่างกายของน้องชายปรายตามองพี่ใหญ่เฉิน เขาคงจะตามใจเฉินชิงชิงมากไม่อย่างนั้นน้องชายของเธอคงงอแงที่ไม่ได้กินฝีมือของพี่สาว"ไม่ได้เจอกันครึ่งเดือนคิดถึงพี่สาวไหม" เฉินเฟิ่นอี้จูงน้องชายไปนั่งม้านั่งระหว่างรอคนอื่นมารวมตัว ไม่มีใครจะออกไปนอนพักข้างนอกพวกเขาจะออกไปซื้อของกินเท่านั้นทำให้ไม่ต้องมีผู้ปกครองลงชื่อ ส่วนเฉินเฟิ่นอี้กับโอวหยางจิงพวกเธอไม่มั่นใจว่าจะกลับทันหรือเปล่าจึง
ร้านอาหารเป็นเป้าหมายที่ีคู่รักทั้งสองเดินเข้าไป พวกเขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าแล้ว เฉินเฟิ่นอี้เลือกที่นั่งห่างจากคนอื่นอยู่ในมุมเงียบ ๆ คนไม่ได้เยอะตัวเลือกในร้านจึงมีมาก ที่สำคัญยังสามารถนั่งแช่ในร้านได้อีกด้วย แต่ถ้าคนเยอะต้องรีบออกเพื่อไม่ให้ร้านต้องเสียลูกค้า"ตอนนี้พนักงานมาถึงแล้วแต่ต้องปรับปรุงโรงงานอีกหลายอย่าง ครบหนึ่งเดือนที่อยู่ข้างในมหาวิทยาลัยคงต้องรีบทำเรื่องขอออกมาอยู่ข้างนอก" โอวหยางจิงบอกคนรักทั้งคู่ไม่ได้ตกลงที่จะคบกัน เป็นคำพูดเพียงแต่ก่อนที่เฉินเฟิ่นอี้จะมาที่นี่ทั้ง เธอและเขาได้สัญญากันเอาไว้ ในเมื่อเฉินเฟิ่นอี้สวมแหวนประจำตระกูลโอวหยางนั่นหมายความว่าเธอตกลงที่จะคบกับโอวหยางจิง ที่ผ่านมาเขาทำตัวดีมาตลอด น้องชายน้องสาวไม่ห้ามเฉินเฟิ่นอี้จึงตกลงคบกับเขา"ถ้ามีเรื่องที่ต้องทำบอกได้นะคะ ถ้าฉันช่วยได้" ไหน ๆ ก็เป็นคนรักกันแล้วไม่ว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไรเฉินเฟิ่นอี้อยากทำตอนนี้ให้ดีที่สุดไม่ง่ายเลยกว่าผ้าถุงของเธอจะได้คุณภาพ เนื้อผ้าตามที่ต้องการก็ใช้เวลามาหลายปี กว่าจะได้ผ้าถุงมาผืนหนึ่งเฉินเฟิ่นอี้ต้องใช้เวลาเป็นปีในการออกแบบ อย่างลายล่าสุดที่วางขายกว่าจะได้
น่าเสียดายที่ยังไม่มีเนื้อผ้าตัวอย่างให้ทางเยี่ยฉิงได้ดู โอวหยางจิงจึงได้แนะนำหลาย ๆ สิ่งที่โรงงานกำลังก่อสร้างให้กับเจ้าตัวได้รู้ ตอนนี้โรงงานที่เขาได้จัดการเช่าเป็นเพียงโกดังเก็บของเก่าทำให้ไม่ต้องซ่อมแซมอะไร มีเพียงทาสีใหม่ซึ่งเขาจัดการเสร็จก่อนที่จะให้พนักงานมาถึงตอนนี้เหลือเพียงรอผ้ากับเครื่องจักรที่สั่งทำมาจากอำเภอมาส่งที่นี่ อันที่จริงถ้าสั่งโรงงานให้ทำให้โอวหยางจิงสามารถสั่งได้ แต่เขาไม่คุ้นชินกับเครื่องจักรมากนัก ราคาขนส่งมาที่นี่ยังถูกกว่าจ้างโรงงาน เขาจึงให้ทางโรงงานตัดเย็บใหญ่ส่งเครื่องจักรมาปักกิ่งส่วนผ้าที่ใช้ตัดเย็บปกติก็สั่งนำเข้าจากที่นั่นที่นี่บ้าง และในปักกิ่งยังมีโรงงานที่โอวหยางจิงเคยสั่งทำมาไว้ใช้ที่โรงงาน ทุกอย่างอาจจะเห็นว่าง่ายแต่ไม่ใช่อย่างที่คิดเลย เขาต้องวิ่งวุ่นหลายวันก่อนมหาวิทยาลัยเปิด ซึ่งทุกอย่างตอนนี้หยุดชะงัก ยังดีที่ตระกูลโอวหยางมีเงินสำหรับลงทุนไว้มาก ถ้าเป็นคนไม่มีต้นทุนไม่มีทางเปิดโรงงานได้แน่"โรงงานตัดเย็บตระกูลโอวหยาง?""ครับ""เอ๋ เหมือนจะเคยได้ยินชื่อโรงงานนี้มาก่อนเลย เอาไว้สิ้นเดือนที่เฉินเหม่ยเย่ต้องมาถ่ายแบบนายค่อยเข้ามาทำสัญญาก็แล้วกั
ไม่ง่ายเลยที่จะเรียนรู้เรื่องในระยะเวลาสั้น ๆ เฉินเฟิ่นอี้จำเป็นต้องหาหนังสือในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมาอ่าน ชั่วโมงการสอนของอาจารย์กับเนื้อหาที่ได้เรียนมันไม่ต่อเนื่องกันจนบางครั้งเฉินเฟิ่นอี้ยังสับสนวันนี้หลังหมดคาบเรียนแล้วเฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ตรงกลับหอเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เธอพาน้องสาวไปหาหนังสืออ่าน อันที่จริงสามารถสอบถามอาจารย์ประจำวิชาได้ แต่เฉินเฟิ่นอี้รู้สึกว่าหากสอบถามกว่าจะได้คำตอบสู้ค้นคว้าเองจะดีกว่า อะไรที่ไม่เข้าใจจริง ๆ ค่อยถาม"เฉินเฟิ่นอี้ค่ะ"ลงชื่อเข้าใช้งานห้องหนังสือประจำมหาวิทยาลัยเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็ให้น้องสาวไปจองโต๊ะเอาไว้ ส่วนตัวเองเดินเข้าไปหยิบหนังสือที่ต้องการจะอ่านก่อน เพราะก่อนที่จะเข้ามาที่นี่เฉินเฟิ่นอี้มีเป้าหมายเล่มที่ต้องการอ่านแล้วค่อยสลับให้น้องสาวไปเลือกห้องหนังสือเป็นห้องใหญ่ นักศึกษาต่างเข้ามาใช้งานได้ตลอดในเวลาที่เปิดทำการ ตอนนี้เป็นช่วงที่หลายคนหมดคาบเรียนจำนวนคนจึงหนาตามาก เฉินเฟิ่นอี้หยิบหนังสือที่ต้องการก่อนเดินกลับโต๊ะ เธอไม่คิดจะหยิบหนังสือเล่มอื่นติดมือกลับไปด้วยถึงแม้ว่าจะมีหนังสือที่เฉินเฟิ่นอี้สนใจ แต่ถ้าเอาไปด้วยก็คงไม่ได้อ่านอยู่ดี
ในที่สุดก็เป็นวันหยุดยาวที่หยุดติดต่อกันนานห้าวัน พวกเฉินเฟิ่นอี้ที่ดำเนินเรื่องแล้วต่างขนของออกจากหอพักเพื่อย้ายออกไปอยู่ข้างนอก อันที่จริงสามารถย้ายได้ตั้งแต่สี่วันก่อนแล้ว แต่เฉินเฟิ่นอี้ตัดสินใจรอวันหยุดเพื่อจะได้เหนื่อยมากนอกจากเป็นวันหยุดยาวของพวกเฉินเฟิ่นอี้แล้ว โรงเรียนของน้องชายคนเล็กของบ้านก็ยังหยุด ปีก่อน ๆ พี่ใหญ่เฉินไม่หยุดและแลกเวรเพื่อเข้าทำงาน แต่ปีนี้เขาหยุดงานเพราะนอกจากเด็กบ้านเฉินจะกลับบ้านแล้ว ผู้ใหญ่บ้านเฉินก็จะมาด้วยเฉินเฟิ่นอี้คาดว่าภายในสองสามวันที่จะมาถึงทุกคนคงจะมาถึงปักกิ่งแต่ก็ไม่แน่ใจวันที่แน่ชัด วันหยุดยาวแบบนี้คนส่วนมากจะกลับบ้านและคนในสถานีรถไฟคงเยอะมาก ยังดีที่มีลุงสามเฉินเฟิ่นอี้ไม่ค่อยห่วงเท่าไร"ครบแล้วค่ะ เอาออกไปได้เลย ฉันตรวจห้องเสร็จก่อน เดี๋ยวตามลงไป" เฉินเฟิ่นอี้บอกพี่ใหญ่เฉินที่ขึ้นมาช่วยขนของวันนี้เป็นวันที่ทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้ผู้ชายเข้ามาในหอพักหญิงเพื่อช่วยขนของสำหรับคนที่จะกลับบ้าน วันหยุดยาวเป็นวันที่โรงอาหารปิดเหมือนกัน ใครที่ไม่ได้กลับบ้านต้องวางแผนให้ดี การเข้าออกมหาวิทยาลัยมีเวลาจำกัดต้องออกกี่โมงและให้กลับเวลาไหนเฉินเฟิ่นอี้
ผู้หญิงทั้งหมดตื่นตั้งแต่เช้า เมื่อเฉินเฟิ่นอี้ได้รับสายโทรเข้ามาจากสมาชิกบ้านเฉินที่คาดว่าใกล้จะมาถึงแล้ว เนื่องจากรถไฟเกิดชำรุดจึงต้องจอดซ่อมและลุงสามสอบถามแล้วว่าคงจะมาถึงสถานีรถไฟอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า เพียงแต่ต้องจัดการซ่อมรถไฟก่อนเฉินเฟิ่นอี้จึงรีบเก็บของเมื่อคืนที่ปล่อยทิ้งไว้ พวกผู้ชายยังไม่มีใครตื่น กว่าจะเก็บเสร็จผู้หญิงคนอื่นก็ตื่นพอดีจึงเข้ามาช่วยกัน พวกเธอต้องทำอาหารเช้าและลงความเห็นว่าไม่ต้องปลุกผู้ชาย รอรับสายจากทางบ้านเฉินหากยังไม่ตื่นค่อยปลุกสิ่งที่ทุกคนทำก่อนเป็นอันดับแรกคือโจ๊กกุ้งสับที่เหลือจากเมื่อคืน ต่อให้รีบทำเผื่อคนที่บ้านมาถึงเฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ลืมว่าเธอต้องทำให้คนที่ดื่มเมื่อคืนด้วย ระหว่างทำอาหารเช้าให้คนเมาผู้หญิงคนอื่นต่างช่วยกันเตรียมวัตถุดิบที่จะใช้ทำอาหาร"ถ้าง่วงก็ไปนอนต่อได้นะ เหลือแค่นี้เอง" เฉินเฟิ่นอี้บอกทุกคนที่นั่งช่วยงานอยู่ปกติเธอเป็นคนที่ตื่นเช้ามาทำอาหารอยู่แล้ว กว่าทุกคนจะมาถึงอาหารคงจะเสร็จก่อน อีกอย่างที่บ้านมาถึงเช้าแบบนี้พี่ใหญ่เฉินหารถไม่ทัน เขาต้องออกไปหารถตั้งแต่เช้า อันที่จริงก็เตรียมคนไว้แล้วเนื่องจากต้องขนผ้าถุง แต่เมื่อเช้าเขาป
นั่งสนทนากันสักพักทุกคนจึงช่วยกันนำของเข้าไปเก็บในบ้าน ผ้าถุงที่นำมาด้วยมีจำนวนหนึ่งพันผืน เฉินเฟิ่นอี้นำไปเก็บไว้ในห้องว่างระหว่างรอย้ายของเข้าไปในร้านที่จะย้ายไปพรุ่งนี้หรือก่อนวันที่ร้านเปิด และอีกสามวันจะเป็นวันเปิดร้าน"ฉันเขียนชื่อทุกคนติดที่ประตูเอาไว้และเตรียมทุกอย่างให้ครบแล้วในห้องค่ะ" เฉินเฟิ่นอี้เอ่ยขึ้นระหว่างที่ทุกคนช่วยกันขนของเข้าห้อง และแน่นอนว่ามีเพียงผู้ชายที่ขน ส่วนผู้หญิงพากันไปยกอาหารออกมาข้างนอก"ที่จริงไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ ย่าอยู่ห้องไหนก็ได้" ย่าเฉินยิ้มให้หลานสาว หลายปีมานี่นางกับสามีต่างลำบากไม่คิดว่าจะมีวันที่ได้กลับเข้ามาปักกิ่งอีกครั้ง"ปู่กับย่านอนห้องตรงกลางค่ะ ฉันคิดว่ามันสะดวกและปลอดภัยมากกว่า"สำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานหนัก อายุช่วงวัยเลขหกอาจไม่แก่มาก แต่ว่าปู่เฉินย่าเฉินทั้งคู่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงลูกชายทั้งสี่คนทำให้ชราลงไปมาก เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ใช้คำว่าอายุเยอะให้พวกท่านคิดมากแต่เพราะมันสะดวกตามที่เธอบอกเนื่องจากทางห้องของเด็กบ้านเฉินล้วนเรียนมหาวิทยาลัย การอ่านหนังสือตอนกลางคืนจึงเป็นเรื่องปกติ และจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อให้มองเห็นตอนกลางคืน หากเปิดไ
เสื้อผ้าที่ใช้ถ่ายแบบวันนี้ล้วนเป็นชุดเก่าทั้งหมด พี่สาวเยี่ยกล่าวว่าชุดล่าสุดกำลังสั่งตัด จำเป็นต้องถ่ายชุดเก่าไปก่อน เฉินเฟิ่นอี้จัดการแต่งหน้า ช่วยน้องสาวแต่งตัวและทำผม ก่อนให้พนักงานของร้านเข้ามาช่วยเหลือเฉินเฟิ่นอี้จัดท่ายืนให้น้องสาวระหว่างที่คนอื่นกำลังเปิดเครื่องก่อนที่จะเดินออก ที่จริงเฉินเฟิ่นอี้ไม่ถนัดเรื่องพวกนี้แต่ว่าคนถ่ายเป็นผู้ชายคงไม่เหมาะหากให้จับตัวน้องสาว เฉินเฟิ่นอี้ยืนฟังสิ่งที่ตากล้องบอกก่อนฝากน้องสาวไว้กับจิงเหอ"พี่สาวจิงคะ ฉันฝากหล่อนหน่อยนะคะ จะออกไปดูคนข้างนอก""ได้จ้ะ"ด้านนอกไม่มีคน เฉินเฟิ่นอี้ิเดินเข้าไปในห้องรับรองที่ทุกคนกำลังลองชุดที่พี่สาวเยี่ยให้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้เดินเข้าไปนั่งบนโซฟามองทุกคนนิ่ง ๆ ไม่เป็นที่แปลกใจของเธอมากนักที่กลุ่มเพื่อนของเธอกำลังเปลี่ยนชุด หลอกล่อง่ายเสียจริง"ฉันออกไปไม่นานพวกเธอก็ถูกพี่สาวเยี่ยหลอกแล้ว""น้องสาวเฉินอย่าพูดแบบนี้สิ ที่ร้านไม่ได้มีนางแบบหลายคน แต่ถ้ามีแค่คนเดียวคงจะไม่ดี" เยี่ยฉิงต้องขอบคุณน้องสาวเฉินทั้งสองที่พาคนมาช่วย ไม่อย่างนั้นร้านเสื้อผ้าของหล่อนคงมีเพียงนางแบบคนเดียว"พี่สาวเยี่ยบอกว่าเธอไม่ยอมถ่ายแบบให
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส
ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของหลายวันมานี้จะเป็นข่าวอะไรไปไม่ได้นอกจากข่าวผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลเฉิน เป็นผู้นำที่หลาย ๆ คนคิดว่าเหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ เฉินจงอี้ หรือปู่เฉินของเด็ก ๆ บ้านเฉิน ที่รับช่วงต่อระหว่างรอลูกชายทั้งสี่เรียนรู้งานเฉินเฟิ่นอี้ให้พี่ใหญ่เฉินส่งคนคอยตามคนตระกูลเฉินไปอย่างลับ ๆ เธอไม่ไว้ใจพวกเขา อย่าลืมว่าเฉินหานกับ เฉินหว่านทั้งสองต่างมีชื่อเสียง เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และปู่รอง ปู่สามของตระกูลจะไม่มีน้ำยาทำอะไรจริง ๆ น่ะหรือ"ปู่คะ ฉันว่าพวกเราอยู่ที่บ้านนี้สักพักก่อนดีกว่าค่ะ ส่วนบ้านหลังนั้นก็ให้คนเข้าไปเก็บกวาดซ่อมแซมใหม่ก่อน" เฉินเฟิ่นอี้เสนอเมื่อปู่เฉินจะพาทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉินบ้านมันเก่ามากแล้วควรทำความสะอาดครั้งใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าข้างในจะมีอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ และเธอสะดวกใจที่จะอยู่บ้านพักหลังนี้มากกว่า แต่ว่าถ้าปู่เฉินต้องการที่จะย้ายไปเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอเพียงให้มั่นใจก่อนว่ามันจะปลอดภัยจริง ๆช่วงนี้เธอไม่สามารถติดต่อกับระบบได้และมันก็หายไปหลายวันแล้ว ทำให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลและคิดว่าควรรอมากกว่า"ทำไมล่ะ ที่จริงพวกเร
ปู่เฉิน ย่าเฉิน ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม พ่อของเธอ พี่ใหญ่เฉิน และเฉินเฟิ่นอี้อยู่บนรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังตระกูลเฉินตามที่เคยบอกเฉินหว่านเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้ตระกูลเฉินมีหนี้และอีกไม่นานกิจการค้าขายที่เคยเป็นของปู่เฉินก็จะถูกยึด พี่ใหญ่เฉินกล่าวว่ามีคนจากตระกูลเฉินขอกู้เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนแลกกับกิจการเฉินเฟิ่นอี้นั่งข้างคนขับซึงก็คือพี่ใหญ่เฉิน นอกจากพวกเธอแล้วยังมีนายทหารอีกสองคันที่พี่ใหญ่เฉินพามาด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดทางเข้า เขตบ้านตระกูลเฉินรกมากรถยนต์ดับลงหน้าบ้าน สมาชิกบ้านเฉินลงจากรถ เฉินเฟิ่นอี้เดินไปหาย่าเฉินที่อยู่ในวงล้อมของลูก ๆ เฉินเฟิ่นไม่ได้กลัวแต่ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกัน อย่างน้อยอยู่ใกล้ย่าเฉินจะปลอดภัยที่สุด“ที่นี่คือตระกูลเฉินเหรอคะ?”เฉินเฟิ่นอี้มองไปยังบ้านหลายหลังที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าทางเข้าพบว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ที่ดูดี แต่พอเข้ามาด้านหลังต้องบอกว่ามันทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะหลังที่เป็นเหมือนบ้านรวม ตัวหลังคาหน้าบ้านมันแตกแล้ว“เปลี่ยนไปมากจริง ๆ” ปู่เฉินว่าด้วยความเสียดาย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าจะมีคนดูแลที่นี่เหมือนก
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดร้านนานหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้กลับมาเปิดร้านอีกครั้งและจ้างคนมาเฝ้าหน้าร้านถึงสามคนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวทายาทของเจ้าของกิจการที่ยกให้น้องชายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมครอบครัว ทำให้ร้านผ้าถุงมีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากขึ้น และมีหลายร้านที่มาจ้างให้เฉินเหม่ยเย่ไปถ่ายงาน นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็ยังมีงานตามมาอีกไม่ต่างกันเฉินเฟิ่นอี้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อตรวจสอบบัญชีของเมื่อวานที่ยังไม่ได้จัดการ ข้าง ๆ กันมีโอวหยางจิงที่ตามมาด้วย เห็นบอกว่างานในโรงงานไม่ได้มีอะไรให้ทำและไม่ได้รับลูกค้าเพิ่ม เพียงตัดเย็บให้ร้านของเธอกับตัดเย็บเสื้อผ้าให้ร้านเยว่ซินก็ทำแทบไม่ทันแล้ว"เมื่อวานโจวซิงฉือบอกว่าที่บ้านติดต่อมา มีคนเข้าไปหาพวกเขาสอบถามถึงเรื่องของเธอ แต่ครอบครัวของเขาบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ" โอวหยางจิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งมองคนรักทำงานทุกคนติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อให้บอกว่าไม่รู้จักบ้านเฉินหรือหากพวกเขามีพยานให้ตอบว่าเป็นเพื่อนของลูกเท่านั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนม และเป็นคำสั่งของเฉินเฟิ่นอี้เองเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และไม่มีใครถามเนื่องจากเชื่อในตัวของเพื่อน