LOGINทางด้านชั้นบนที่มีเฉินเจ๋อหยวนนั่งจิบชา มองลงไปด้านล่างอย่างผ่อนคลาย การแข่งขันวันนี้ช่างมีสีสันและน่าสนใจ เขาไม่ได้พบสิ่งน่ารื่นเริงบันเทิงใจมานานมากแล้ว จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นด้านข้าง
“ถวายบังคมเสด็จปู่” เฉินเจ๋อหยวนปรายตามองอย่างไม่ใส่ใจ “มาทำไม ข้าอุตส่าห์หนีออกมาอยู่ข้างนอกเงียบ ๆ ยังจะตามมาวุ่นวาย” กล่าวจบเขาก็ยกถ้วยชา ขึ้นมาเป่าอย่างหงุดหงิด “แล้วก็เรียกข้าว่าท่านปู่ ลาภยศบรรดาศักดิ์เก็บไว้ใช้ในวังเถิด” เฉินซีฮันมองท่านปู่ผู้มีนิสัยเอาแต่ใจอย่างระอาใจ แต่เขาก็รักและเคารพเขามาก ถึงแม้เขาจะพูดจาเช่นนี้ แต่ที่จริงเป็นคนจิตใจดีมาก องครักษ์รีบยกเก้าอี้ มาให้เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่งนั่ง พอพวกเขานั่งลง ก็กวาดตามองไปยังด่านล่าง “ท่านปู่เหตุใดทางโรงเตี๊ยมฟู่จิน ถึงส่งเด็กเข้าแข่งขันเช่นนี้ละขอรับ จะไม่เป็นการดูถูกผู้เข้าแข่งขันท่านอื่นหรอกหรือ?” เฉินซีฮันเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เงียบ ๆ เถอะน่าเจ้าลูกเต่า ไม่รู้อะไรอย่าพูดมาก” ชายชราเอ่ยตำหนิหลานชายขึ้นมา เพราะอารมณ์เขาตอนนี้ ใจจดใจจ่ออยู่กับการแข่งขันทางด้านล่าง ไม่อยากได้ยินอะไรที่ขัดหู ภายในชั้นสองยังห้องถัดไป ตระกูลจินก็เข้ามาดูการแข่งขันเช่นกัน ยามนี้ถึงกับผิดหวังและขุ่นเคืองที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน ส่งเด็กเข้าทำการแข่งขัน นี่มันดูถูกฝีมือกันชัด ๆ “ไปบอกคุณหนูจินฝูฮวา ห้ามออมมือกล้าส่งเด็กมาแข่งแบบนี้ ดูถูกกันเกินไปแล้ว อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับบ้านก็แล้วกัน” “ขอรับ” ส่วนตระกูลเฟย ยามนี้ถึงหัวเราะขบขัน กับความเล่นใหญ่ของโรงเตี๊ยมฟู่จิน เขาลงชื่อร่วมแข่งขันเป็นปีแรก แต่ดันได้แข่งกับเด็กน้อยวัยไม่ถึง10ขวบ นี่มันหยามเกียรติกันชัด ๆ ในเมื่อกล้าส่งเด็กลงมาแข่ง ก็เตรียมเช็ดน้ำตาเอาไว้ให้ดีแล้วกัน “ไปบอกคุณชายว่าห้ามออมมือ” “ขอรับ” ทางด้านล่างยามนี้ เสียงพูดคุยกันดังไม่หยุด แต่ก็ทำให้การแข่งขันคึกคักไม่น้อย ทางด้านนอกไม่รู้ใครไปป่าวประกาศ ว่าทางโรงเตี๊ยมฟู่จิน ส่งแม่นางน้อยอายุไม่ถึง10ขวบนามซิ่วอิง ลงทำการแข่งขัน อู่ถง อู่จินและอู่หย่ง ที่เดินอยู่ในบริเวณนั้น ถึงกับหูผึ่งจนต้องมาดูให้เห็นกับตาตนเอง และก็เป็นจริงดั่งคาด นายหญิงน้อยจริงด้วย! ยามนี้ในห้องแข่งขันคนมาดูเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบไม่มีที่นั่ง ต้องยืนเบียดกันเพื่ออยากดู การแข่งขันในครั้งนี้ “เอาละขอรับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กฎและกติกาในวันนี้ ทางเราได้เสนอให้ทั้งสามท่าน ทำอาหารที่อร่อยที่สุดของแต่ละโรงเตี๊ยม ซึ่งทางการแข่งขันได้เตรียมอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์และพืชผัก เพื่อให้สะดวกแก่ผู้แข่งขันได้เลือกใช้ ทางผู้แข่งขันจะต้องทำอาหารให้มากพอ ที่จะให้ผู้ชมและกรรมการได้ทดลองชิมกันอย่างทั่วถึง เราให้เวลาผู้แข่งขันสองก้านธูป (1ชั่วโมง) เริ่มได้ขอรับ” เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น ซิ่วอิงก็เดินไปดูของที่จะทำในแข่งขัน แต่ว่าท่านปู่ไม่ได้บอกว่าอาหารขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมคืออะไร แล้วนางจะทำอะไรดีนะ คุณชายเฟยหยิบเต้าหู้ คุณหนูจินหยิบปลา เน้นอาหารเพื่อสุขภาพสินะ แล้วนางจะทำอะไรดีละ เวลาสองก้านธูปก็ไม่นานมาก อาหารที่จะทำ ต้องง่ายรวดเร็วและอร่อย งั้นบะหมี่ฮ่องเต้สูตรซิ่วอิงแล้วกัน ซิ่วอิงหยิบหม้อต้มน้ำซุป ใส่กระดูกหมู หัวไช่เท้า รากผักชี กระเทียม พริกไทย ซีอิ้วขาว ผงปรุงรส น้ำตาลทราย จากนั้นนางก็ปล่อยให้เดือด เครื่องปรุงนางได้แอบเทใส่ถ้วยเอาไว้แล้ว และให้ท่านลุงลู่เฉิง นำเอามาวางไว้ให้ที่โต๊ะ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใช้ จากนั้นนางก็ต้มไข่ และนวดแป้งผสมไข่เพื่อทำบะหมี่ นางทำทุกอย่างคล่องแคล่วว่องไว จนผู้ชมยามนี้หันไปดูนางอย่างให้ความสนใจ พอน้ำซุปเริ่มเดือดนางก็ลดไฟ จากนั้นก็เตรียมสับหมูให้ละเอียด ทุกคนงุนงงกับการที่นาง ใช้มือจับมีดสับหมู ได้อย่างคล่องแคล่วและแข็งแรง มีดหนักขนาดนั้นนางยกไหวได้อย่างไร ซิ่วอิงชิมน้ำซุปที่อร่อยและเริ่มกลมกล่อม ก็ยกยิ้มด้วยความพอใจ นางหันไปดูเวลา ก่อนจะหันมาแกะกระเทียมเพื่อจะเจียว นำหมูมาใส่หม้อแล้วนำน้ำซุป ใส่ลงไปเพื่อทำให้สุก จากนั้นก็แกะไข่ต้มแล้วผ่าครึ่ง จากนั้นก็ต้มน้ำเพื่อรอลวกเส้นบะหมี่และผัก กลิ่นหอมจากการเจียวกระเทียม ลอยคละคลุ้งไปทั่วห้องการแข่งขัน ซิ่วอิงกะเวลาให้เสร็จทันเวลาพอดี หากเสร็จเร็วเกินไป อาหารจะเย็นและไม่อร่อย ซิ่วอิงเลือกถ้วยมาสามใบ ขนาดเล็กสำหรับท่านปู่ ขนาดกลางสำหรับกรรมการ ขนาดใหญ่ดั่งกาละมังล้างจาน สำหรับผู้ชมคนดู ซิ่วอิงลวกเส้นลวกผัก จัดใส่จานอย่างสวยงาม นำไข่ที่ผ่าซีกมาวางเรียง หมูสับราดลงไปบนบะหมี่ จากนั้นตักน้ำซุปพร้อมหัวไชเท้า โรยด้วยกระเทียมเจียว ต้นหอมผักชี พริกไทย เป็นอันเสร็จ “หมดเวลาขอรับ ขอให้ผู้แข่งขัน บอกชื่ออาหารที่ทำด้วยขอรับ จานแรกโรงเตี๊ยมเฟยเจิน” “จานนี้เรียกว่าผัดเต้าหู้เสฉวนขอรับ” เฟยเจินเฉิงเอ่ยบอกอย่างภาคภูมิใจ “จานนี้เรียกว่าปลาผัดขึ้นฉ่ายเจ้าค่ะ” จินฝูฮวาระบายยิ้มด้วความภูมิใจเช่นกัน ที่นำเสนออาหารขึ้นชื่อของทางโรงเตี๊ยมจินเฮง “ชามนี้เรียกว่าบะหมี่ฮ่องเต้เจ้าค่ะ เส้นบะหมี่เหนี่ยวนุ่ม เปรียบดั่งฮ่องเต้ผู้มีจิตใจอ่อนโยน และพระชนม์ยืนยาวดั่งเส้นบะหมี่ หากใครได้ชิม ก็จะมีชีวิตยืนยาวดั่งบะหมี่ฮ่องเต้เจ้าค่ะ” พอนางกล่าวจบ ผู้ชมในห้องต่างก็ปรบมือให้นางอย่างชอบใจ แล้วรีบลงมายืนรอเพื่อจะทดลองชิมรสชาติของบะหมี่ ซิ่วอิงรีบยกถ้วยกลางไปให้กรรมการ ซึ่งมีลูเฉิงนั่งอยู่ด้วย เขาเหลือบมองอาหารอย่างไม่เชื่อสายตา นางทำอาหารได้น่ากินถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ ส่วนกาละมังยักษ์ ซิ่วอิงนำไปวางตรงโต๊ะ ที่ให้คนมารอชิม แต่พอทุกคนเห็นก็ถึงกับชะงัก ไม่กล้าชิมขึ้นมา “แม่นางน้อยอาหารชามนี้งดงามเกินไป ข้าไม่กล้ากิน” สตรีที่ชมชอบซิ่วอิง มายืนรอเป็นคนแรก แต่ก็ไม่กล้าตักขึ้นมากิน ซิ่วอิงจึงเดินไปหยิบถ้วยเล็ก แล้วตักใส่ให้ในถ้วยพร้อมตะเกียบ “อร่อย! อร่อย ๆ ทุกคนใครไม่เชื่อมาชิมเร็วเข้า” สตรีนางนั้นร้องออกมาเสียงดัง พลอยทำให้ทุกคนสนใจขึ้นมาทันที พอมีคนสองก็มีคนที่สามคนที่สี่ตามมา “แม่นางน้อยกินแล้วจะอายุยืนเหมือนฮ่องเต้ใช่หรือไม่?” “แน่นอนเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยิ้มแป้นเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ “นี่มันอร่อยเกินไปแล้ว ฮือ ๆ มันอร่อยสุด ๆ ไปเลย แค่น้ำซุปก็กลมกล่อมได้ขนาดนี้” บางคนถึงกับร้องไห้ออกมา ซิ่วอิงถึงกับหลุดขำ นางรู้ว่ามันอร่อยแต่ว่าขนาดนั้นเลยหรือ การแสดงหรือเปล่า บุรุษที่ไปต่อแถวเพื่อจะไปชิมอาหารของคุณหนูเจิน ทนแรงยั่วยุไม่ไหว อีกอย่างหากไปลองชิม หากหมดก่อนจะพลาดได้ชิมของอร่อย จากที่ต่อแถวจึงย้ายมาทางบะหมี่ ซึ่งพอไปถึงก็ใกล้จะหมดแล้ว “แม่นางน้อยเหลือไว้ให้ข้าได้ชิมด้วย” เสียงตะโกนดังขึ้น สตรีที่ไปต่อคิวชิมอาหารของคุณชายเฟย ก็ไม่แตกต่างกัน ต่างพากันวิ่งมาที่บะหมี่กันหมด เฟยเจินเฉิงและจินฝูฮวายืนนิ่งกับภาพที่เห็น บะหมี่นั่นอร่อยขนาดนั้นจริงหรือ? บนชั้นสองยามนี้ ชายชราเฉินเจ๋อหยวน ถึงกับหัวเราะไม่หยุดกับภาพตรงหน้า สะใจจริง ๆ เข้าไม่เคยเจอเรื่องอะไร ที่สะใจแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต วันนี้เขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว “ท่านปู่ซิ่วอิงให้เอามาให้ท่านลองชิมขอรับ” เป็นหานเกอที่ยกบะหมี่มาให้เขา เฉินเจ๋อหยวนตบเข่าดังฉาดด้วยความชอบใจ ให้มันได้อย่างนี้สิ นางช่างรู้ความเสียจริง เขายกถ้วยบะหมี่ขึ้นมาสูดดมกลิ่นอย่างพอใจ ก่อนลงมือชิมบะหมี่ “เจ้าลูกเต่า เจ้าลองดูสักคำ” เขาเลื่อนถ้วยมาตรงหน้าเฉินซีฮัน เพราะเขาอย่างรู้ว่า ผู้อื่นจะรู้สึกเหมือนที่เขารู้สึกหรือไม่ “ท่านปู่นี่มัน” เฉินซีฮันรู้สึกถูกใจรสชาติของบะหมี่เป็นอย่างมาก ก่อนจะหันไปหาหานเกอที่ยังยืนอยู่ “ยังมีเหลืออีกหรือไม่?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เฉินซีฮันหน้าสลดลงอย่างผิดหวัง ก่อนจะเห็นท่านปู่ มาดึงชามบะหมี่กลับคืนไป เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง แอบขำกับท่าทางของเฉินซีฮัน ทางด้านตระกูลเฟย ยามนี้หัวเสียอย่างรุนแรง เด็กคนนั้นเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว กล้าเอาชื่อฮ่องเต้มาแอบอ้างเรียกคะแนน เขาดูเบาเด็กคนนี้เกินไป แต่ว่านางทำบะหมี่อร่อยจริง ๆ หรือ? ทางด้านตระกูลจิน ยามนี้โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขาดูเบาเด็กคนนี้เกินไป โรงเตี๊ยมฟู่จินขนาดเด็ก ก็ยังมีฝีมือขนาดนี้บ้าไปแล้ว เขาอุตส่าห์ลงทุนวางยาลู่ไฉ่ ไม่คาดคิดเลยว่า พวกเขายังมีไม้เด็ดแอบซ่อนเอาไว้ แต่อย่าห่วงเลยผู้ใหญ่ข้าก็จัดการมาแล้ว นับประสาอะไรกับเด็กตัวเท่ากำปั่น ผลคะแนนออกมาอย่างเป็นเอกฉันท์ โรงเตี๊ยมฟู่จินได้คะแนนอย่างท่วมท้น อีกทั้งผู้ที่มาชมการแข่งขัน ยังสอบถามว่าจะมีขายอีกเมื่อใด พวกเขาจะแวะมากิน ลู่เฉิงถึงกับทำตัวไม่ถูก เพราไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เรื่องนี้เขาต้องปรึกษานายท่าน ว่าเขามีความคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้เด็กทั้งห้าคนกลับถึงจวน ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวสารอาหารแห้ง ทางร้านจะมาส่งทีหลัง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านยุ่งจนหัวหมุน พวกเขาทั้งห้าคนเห็นทุกคนเริ่ม ตุนเสบียงและอาหารเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพวกเขา ก็ซื้อได้ในราคาปกติ หากรอไปซื้อในช่วงฤดูหนาว พ่อค้าคงขึ้นราคาเป็นแน่ “ป้าหวังที่จวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “ช่วงนี้ข้าฝากท่านป้าและลุงฮุ่ยช่วยดูแลจวนด้วยเจ้าค่ะ พี่อู่ถง พี่อู่จิ้ง พี่อู่หย่ง ต่อไปท่านทั้งสามคนช่วยดูแลเรื่องทั่วไปในจวน หากต้องการซื้ออะไรเพิ่ม หากจำเป็นก็ซื้อได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะฝากเงินไว้กับป้าหวัง พี่ซูผิงว่าง ๆ ก็ช่วยสอนเด็กๆ หัดคัดอักษรทีเจ้าค่ะ กระดาษและหมึก มีพร้อมไม่ต้องกังวล ช่วงนี้พวกข้ามีเรื่องให้ทำมากมาย หากวันไหนข้าไม่ได้ทำอาหาร ป้าหวังพาทุกคนทำเลยนะเจ้าคะ ให้ทุกคนได้กินอย่าปล่อยให้หิว เพื่อรอพวกข้าเจ้าค่ะ” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ซิ่วอิงสั่งงานทุกคน เพราะตอนนี้นางและสหายมีเรื่องให้ทำมากมาย จึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน “ท่านลุงช่วงนี้ยังไม่เป็ดให้ย่าง ท่านสามคนไปขนฟืนที่ช่างตัดต้นไม้มาไว้ที่จวนเจ้า
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหยียนฟางว่า หมู่บ้านเหยียนฟางมีผีร้าย ข่าวลือเรื่องนี้ทำเอาผู้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ใช่เพียงทหารคนเดียวที่พบ แต่เป็นทหารหลายสิบคน รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอ ซิ่วอิงและสหาย ที่ออกมาสั่งของที่ตลาด พอได้ยินข่าวนี้ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความสะใจ สมน้ำหน้า! “ฮ่า ๆ ข้าละสะใจจริง ๆ” หานเกอเอ่ยขึ้น “ใช่สมน้ำหน้า ไปรบกวนวิญญาณคนตาย ก็ต้องเจอดีแบบนี้” เจียวจูเสริมขึ้น “ซิ่วอิงวิญญาณพวกเขา ยังไม่ไปเกิดใหม่อีกเหรอ?” ลี่อินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าคิดว่าพวกเขา คงยังเป็นห่วงสมบัติอยู่ เลยยังไม่จากไปไหน” “ซิ่วอิงข้าคิดแผนออกมาได้แล้ว” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วย ท่าทางเจ้าเล่ห์ “แผนอะไรรึ?” ซิ่วอิงหันมาถามอย่างสนใจ “ก็แผนไปสำรวจพื้นที่แถบนั้นนะสิ” “แต่ว่าตงฮวนเจ้าไม่กลัวผีรึ?” เจียวจูถามขึ้น “จะกลัวทำไมวิญญาณเหล่านั้น เป็นคนในครอบครัวของเราที่ถูกฆ่า ข้าดีใจเสียอีกหากว่าจะได้พบพวกเขาอีก” ซิ่วอิงฟังจากที่ตงฮวนพูดก็ครุ่นคิด แผนของเขาดีมากเลยทีเดียว ตงฮวนเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถฟังและวิเคราะห์ ได้อย่างดีเยี่ยม“แล้วจะไปสำรวจยังไง ไม่ใช่ว่าพวกเ
เช้าวันนี้มีประกาศจากทางการว่า มีแจ้งเบาะแสว่าพบเจออดีตฮ่องเต้ หลบหนีอยู่ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ทางการจึงจำเป็นต้อง ส่งคนไปตรวจสอบ อู่ถงรีบเข้ามารายงานอีกเช่นเคย เพราะเขามีหน้าไปจ่ายของที่ตลาด จึงพบเห็นทางการออกมาปิดประกาศข่าวสาร ให้ผู้คนได้รับรู้ “นายหญิงน้อย ดูเหมือนทางการจะออกมาติดประกาศแจ้งข่าวขอรับ” “แจ้งว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” “แจ้งว่าพบเจอ อดีตฮ่องเต้หลบหนีไปอยู่แถว ๆ หมู่บ้านไฉ่หลินขอรับ” ซิ่วอิงจากที่กำลังผัดผัก ก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ทางการคงอ้างเหตุผลนี้ เพื่อเข้าไปตรวจค้นสมบัติ ที่หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และดูเหมือนท่านเจ้าเมือง จะทำการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แล้วยังมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เขาตอบเสร็จก็เดินไปยกของลงจากรถวัวเทียมเกวียน ซิ่วอิงจึงหันมาหาสหาย ที่ช่วยงานกันอยู่ในครัว “ท่านเจ้าเมืองคงเริ่มให้ทหารไปสำรวจพื้นที่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝันเห็น วิญญาณของทุกคนที่จากไป บิดาของข้ายังบอกอีกว่า พื้นที่แถบนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่” “จริงเหรอซิ่วอิง” หานเกอถามขึ
เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิง เฉินจางหย่ง ยังคงปูที่นอนบนพื้นข้างเตียงของพวกนาง ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู หลังจากชำระร่างกายเสร็จ ก็ให้พี่อู่ถงและพี่อู่จิ้งมาเปลี่ยนน้ำให้ และให้พวกเขาเข้าไปชำระร่างกาย นางนึกเห็นใจสามพี่น้องสกุลอู่ ที่ทำงานกันอย่างขยันขันแข็งและไม่ปริปากบ่น คงเพราะนางรับทุกคนมาอยู่ด้วย พวกเขาเลยรู้สึกเกรงใจ จึงพยายามทำงานทุกอย่างที่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้มีคนมาเพิ่มแล้ว นางจะให้คนมาช่วยงานพวกเขา จะได้ไม่ไปหนักที่พวกเขาสามคนจนเกินไป ขนาดยามนี้ดึกมากแล้ว พวกเขายังทนรอรับใช้ นางรู้สึกซาบซึ้ง น้ำใจพวกเขาจริง ๆ อีกไม่นานเรือนพักก็จะสร้างเสร็จ ทุกคนจะไม่ต้องอยู่กันอย่างแออัดอีกต่อไป จวนที่ท่านปู่ให้คนมาสร้าง นางก็บอกช่างให้ทำใหญ่ไปเลย และมีเรือนแยกอีกหลายหลัง เพราะที่ดินกว้างมากจึงสามารถทำได้ ซิ่วอิงนอนคิดเรื่องราวจนผล็อยหลับไป พร้อมลี่อินและเจียวจู พวกเขาเมื่อออกมาจากห้องอาบน้ำ ก็มอง เด็กน้อยทั้งสามคนอย่างเอ็นดู เป็นเพียงเด็กแค่10ขวบ แต่ต้องมาทำอะไรมากมายเช่นนี้ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิตคนเสียจริง พวกเขาล้มตัวลงนอนก่อนจะพากันหลับไป วันต่อมาที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน วันนี้ทุกอย่างด
“ข้าว่าให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในพื้นที่แห่งใหม่น่าจะได้” ตงฮวนเอ่ยขึ้นอย่างวิเคราห์ ซึ่งตรงกับความคิดของซิ่วอิงพอดี เพราะตอนนี้มีพื้นที่แห่งใหม่ที่ใหญ่และกว้างขึ้น แม้จะมีข้าวของเครื่องใช้เหมือนที่นี่ แต่ชีวิตของพวกเขาปลอดภัยแน่นอน “ท่านไปพาพวกเขามาเถิด ระวังตัวด้วยเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงเอ่ยบอกเจียวหั่ว “ขอรับ” เจียวหั่วจึงรีบใช้วิชาตัวเบากระโดดหายไปทันที “เรามากินอาหารกันเถอะ ข้าหิวจนจะกินคนได้อยู่แล้ว พี่จือไฉ่ พี่จือหยวน ข้ารบกวนไปยกโต๊ะเก้าอี้มาที่ครัวทีเจ้าค่ะ” “เดี๋ยวข้าไปช่วย” เฉินซีฮันเอ่ยขึ้น เพราะเวลานี้ฐานะเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาคิดว่าสิ่งไหนที่ช่วยนางได้เขาก็ยินดีช่วยทำ เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง ต่างก็รีบออกไปช่วยยกโต๊ะเก้าอี๊เข้ามา พอทุกคนมานั่งกันครบแล้ว ซิ่วอิงก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน “วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ลี่อิน เจียว ลี่อิน เจียวจู ตงฮวน หานเกอ พี่ซีฮัน พี่เจียวหมิงและพี่จางหย่ง แต่เพราะวันนี้ที่โรงเตี๊ยมยุ่งมากและพรุ่งนี้ก็ยังจะยุ่งอีก เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็กินกันพอประมาณ พอทุกอย่างลงตัวดีแล้ว พวกเราค่อยฉลองใหญ่กันเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงให้ลี่อินชงชา เจียวจูและนางช่วยกันส
ทางด้านตระกูลเฟยยามนี้ เฟยเจินเฉิงตกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เขาไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง บิดาเขาส่งคนไปใส่ร้ายโรงเตี๊ยมฟู่จิน เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบิดาเขา จะมีความคิดชั่วร้ายเช่นนี้ การแข่งขันในวันนั้น เขายอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี และไม่เคยคิดโกรธเคืองผู้ชนะเลยสักนิด แต่มาวันนี้ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ใด ผู้คนต่างมองมาที่เขาด้วยสายตาตำหนิ พอเขาได้สอบถามถึงได้รู้ความจริง เขารู้สึกผิดหวังกับการกระทำของบิดาจนพูดไม่ออก เสียงผู้คนกล่าวถึงไม่ใช่มีเพียงตระกูลเฟย แต่ยังมีตระกูลจิน ที่กระทำการน่าละอายเช่นเดียวกัน พวกเขาเป็นอะไรกันไปหมด นางเป็นเพียงเด็กน้อยแต่มีความสามารถ ทุกคนควรให้การยอมรับ ไม่ใช่หาเรื่องใส่ร้ายกันเช่นนี้ นี่มันเข้าทำนองผู้ใหญ่รังแกเด็กชัด ๆ เมื่อเฟยเจินเฉิงกลับถึงจวน ก็ตรงไปหาบิดาและมารดาทันที เรื่องนี้เขาคิดว่า บิดาของเขาควรไปขอโทษ ทางโรงเตี๊ยมฟู่จิน ที่ทำให้ได้ความเสียหาย “ท่านพ่อ! ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไรกันขอรับ ตอนนี้ผู้คนต่างพูดกันไม่หยุดปาก ถึงตระกูลเราที่ทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น” เฟยเจินเฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าผิดหวังและเจ็บปวดใจ “ข้าไม่ได้ตั้ง







