LOGINเมื่อเดินมาถึงร้านขายเครื่องนอน ซิ่วอิงจึงรีบเดินเข้าไป ก่อนจะเป็นเจ้าของกิจการ ที่จำซิ่วอิงได้รีบออกมาต้อนรับ
“แม่นางน้อยวันนี้จะรับอะไรดีขอรับ” “หากข้าซื้อเยอะท่านลดให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ?” “โอ้ลดแน่นอนขอรับ ว่าแต่แม่นางน้อยต้องการมากน้อยเพียงใด” ชายผู้เป็นเจ้าของร้าน แอบมองสำรวจซิ่วอิงอย่างพิจารณา หากเขาลดให้นิดหน่อยนางก็คงไม่รู้หรอก อายุเท่านี้จะไปรู้ตัวเลขได้อย่างไร “ที่ว่าลด ท่านลดให้ได้เท่าไหร่เจ้าคะ ผ้าห่มผืนนี้ราคาอยู่500” “หากแม่นางน้อยซื้อหลายผืน ข้าคิดผืนละ450อีแปะ ขอรับ” “ถ้าเช่นนั้น30ผืน ข้าก็ต้องจ่ายท่าน13ตำลึง500 แล้วที่นอนนี่ละเจ้าคะ?” “ที่นอนราคา1ตำลึง300อีแปะ ข้าลดเหลือ1ตำลึง200อีแปะ ขอรับ” “ถ้าเช่นนั้นข้าเอา30ผืนข้าต้องจ่าย36ตำลึง ตงฮวนเจ้าความจำดีจดไว้ในหัว” ซิ่วอิงหันไปบอกตงฮวนให้ช่วยจำ ทางด้านเจ้าของร้านก็รีบหันไปหยิบลูกคิดมาดีดไปมา ก่อนจะตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ นางคิดได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ใช้ลูกคิด เก่งเกินคนเกินไปแล้ว “ข้าอยากได้หมอน” “หมอนข้าขายใบละ300อีแปะ ข้าลดให้เจ้าใบละ250อีแปะขอรับ” “อืม30ใบก็7ตำลึงกับอีก500อีแปะ รวมที่ข้าต้องจ่ายท่านทั้งหมด57ตำลึง” ซิ่วอิงหยิบตั๋วเงินออกมานับให้เขาอย่างคล่องแคล่ว ชายเจ้าของกิจการยืนดีดลูกคิดไปมาอีกครั้ง ก่อนจะตกใจอีกรอบ เป็นไปไม่ได้นางคิดได้อย่างไรกัน เขารับเงินจากนางมา อย่างไม่อยากเชื่อว่านางจะคิดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ “แม่นางน้อยช่วยสอนการคิดเลขแบบนี้ให้ข้าได้หรือไม่ ข้ายินดีจ่ายให้กับค่าสอน” ซิ่วอิงที่ได้ยินก็ถึงกับแปลกใจและดีใจในเวลาต่อมา “ได้เจ้าค่ะวิชานี้เรียกว่าวิชาคณิตศาสตร์ หากท่านอยากเรียนรู้จริง ๆ ท่านให้คนไปแจ้งข้าที่จวน ว่าจะไปพบข้าเมื่อใด ข้าจะได้อยู่รอเจ้าค่ะ” “ได้ ๆ ข้าให้คนไปแจ้งกับแม่นางน้อย เพื่อเรียนวิชาคณิตศาสตร์อย่างแน่นอนขอรับ” หลังจากเดินออกมาจากร้านขายเครื่องนอน ซิ่วอิงก็นึกกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจ คนยุคนี้ยังใช้ลูกคิดในการคำนวนตัวเลขอยู่ ดีเลยค่าสอนเท่ากับนางได้เครื่องนอนวันนี้โดยไม่เสียเงิน นางจะคิดเขา100ตำลึงในการสอน พอคิดว่าจะมีรายได้เข้ามา นางก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันตา แต่พอเดินผ่านโรงเตี๊ยมฟู่จิน ก็ต้องหยุดชะงักยืนดู ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะผู้คนหลั่งไหลกันเข้าไปอย่างคึกคัก ซิ่วอิงจึงเข้าไปยืนอ่านป้ายติดประกาศว่า มีการแข่งขันการทำอาหาร ระหว่างโรงเตี๊ยมฟู่จินและโรงเตี๊ยมจินเฮง “น่าสนใจพวกเจ้าอยากเข้าไปดูหรือไม่” “ข้าอยาก” ทุกคนร้องบอกขึ้นมาพร้อมกันอย่างตื่นเต้น แต่ก่อนจะเข้าไปสายตาของซิ่วอิง กลับเหลือบไปเห็น สตรีหน้าตางดงามนางหนึ่ง นั่งร้องไห้อยู่มุมหนึ่ง นางจึงรีบเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง ลี่อิน เจียวจู ตงฮวน หานเกอ ส่ายหน้ากับการกระทำของนาง บอกพวกเขาว่าไม่ต้องช่วยเหลือใคร แต่ดูนางสิรีบไปสอบถามอย่างไว “พี่สาวท่านร้องไห้เพราะเหตุใดกัน?” ลู่เจินหันมามองเด็กน้อยตรงหน้า ก่อนจะหันกลับไปร้องไห้โดยไม่ตอบคำถามอันใด “หากพี่สาวไม่ตอบ ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร” “เด็กน้อยเช่นเจ้า จะช่วยอะไรได้” “นี่พี่สาวท่านไม่รู้อะไร นาง…” ลี่อิงรีบเอามือมาปิดปากเจียวจูอย่างรวดเร็ว ก่อนส่งสายตาตำหนิไปให้นาง เจียวจูพอเห็นสายตาของสหาย ก็รู้ตัวว่าเกือบเผลอพูดสิ่งใดออกไป จึงได้แต่เอ่ยขอโทษเบา ๆ “พี่สาวท่านบอกนางเถิด หากว่าพวกเราช่วยได้ก็จะช่วยอย่างสุดความสามารถ” “ก็งานประลองทำอาหารวันนี้ พ่อข้าที่เป็นพ่อครัวมือหนึ่งของโรงเตี๊ยมฟู่จิน จู่ ๆ ก็เหมือนถูกพิษขึ้นมา ยามนี้นอนไม่ได้สติ ข้าว่าต้องมีคนคิดกลั่นแกล้ง ไม่ให้โรงเตี๊ยมฟู่จินชนะเป็นแน่ ข้าเป็นห่วงบิดาข้ามากเลย หากหมอช่วยชีวิตไม่ได้จะทำอย่างไร ข้าไม่อยากเสียพ่อข้าไปฮือ ๆ” ซิ่วอิงได้ฟังก็หันไปมองสหายทั้งสี่คน ว่าจะเอาอย่างไรดี ซิ่วอิงถอนใจออกมา ช่วยหรือไม่ช่วยดีเฮ้อ! “พี่สาวท่านพาข้าไปดูบิดาท่านได้หรือไม่?” “ไปดูแล้วจะได้อะไร เจ้าเป็นเด็กและไม่ใช่หมอ ช่วยไม่ได้ก็อย่าเสียเวลาดีกว่า” “แล้วถ้าหากว่าข้าช่วยได้ พี่สาวจะตอบแทนข้าอย่างไร” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งผยอง ช่วงนี้นางต้องการเงิน อีกอย่างหากไม่ท้าทายนางเช่นนี้ นางคงไม่ยอมให้ไปดูอาการคนป่วย “หากเจ้าช่วยได้ ข้าจะให้เงินเจ้าหนึ่งพันตำลึง แต่หากช่วยไม่ได้ เจ้าต้องจ่ายค่า1พันตำลึงเช่นกัน” ซิ่วอิงแอบเบ้ปาก คนแบบนี้น่าช่วยเหลือหรือไม่ พูดจาโอหังสิ้นดี แต่ว่าคนแบบนี้นางชอบนัก “พี่สาว1พันตำลึงมันน้อยไป เรามาเดิมพันกันมากหน่อยจะได้ตื่นเต้นเจ้าค่ะ สักสองพันตำลึงเป็นอย่างไร กล้าหรือไม่?” ลู่เจินหันมามองเด็กสาวตรงอย่างดูถูก สองพันตำลึงหากช่วยไม่ได้ นางจะไปเอาเงินที่ไหนมาจ่าย แต่ก็เล่นกับนางหน่อยแล้วกัน “ได้สองพันตำลึง ตามข้ามา” ลู่เจินพาพวกเขาเดินไปทางด้านหลัง ก่อนจะพาขึ้นบันไดขึ้นไปยังชั้นบน แล้วพาเดินมาถึงห้องห้องหนึ่ง ก่อนจะเคาะประตูแล้วผลักเข้าไป ภายในห้องมีชายสูงวัยท่าท่างภูมิฐานนั่งอยู่ อีกคนท่าทางภูมิฐานไม่ต่างกัน แต่อายุน่าจะอ่อนกว่า ทุกคนนั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ท่านหมอสองคนกำลังช่วยกันฝังเข็มขับพิษ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน “ท่านลุงเด็กคนนี้นางบอกนางสามารถรักษาพิษได้ ข้าเลยเดิมพันกับนางด้วยเงินสองพันตำลึง” ลู่เจินรีบรายงานลู่เฉิงผู้เป็นลุงทันที ลู่เฉิงและเฉินเจ๋อหยวนรีบหันมามองซิ่วอิงอย่างประเมิน เด็กคนนี้มีพลังบางอย่าง พวกเขาสัมผัสได้ถึงปราณสายหนึ่งที่เบาสบาย แปลกจริงเด็กอายุเท่านี้มีพลังปราณได้อย่างไรกัน และไอที่อยู่รอบ ๆ ตัวนางมันคืออะไรกัน “แม่นางน้อยเจ้าชื่อว่าอะไร?” เฉินเจ๋อหยวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสนใจ “ข้าชื่อว่าซิ่วอิงเจ้าค่ะ” “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะรักษาได้” ลู่เฉิงเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง “ข้าน้อยต้องขอตรวจดูก่อนเจ้าค่ะ” สองหมอที่กำลังช่วยลู่ไฉ่อยู่ ถึงกับหันมามองตาขวางใส่ซิ่วอิง เด็กน้อยตัวเท่านี้ จะมีวิชาแพทย์ได้อย่างไร ใครเชื่อก็บ้าแล้ว “นายท่านนางเป็นเด็กเชื่อถือไม่ได้นะขอรับ” “แต่ข้าอยากให้นางลอง” เฉินเจ๋อหยวนเอ่ยขึ้น ทำให้หมอใบหน้าสลดลงอย่างขัดใจ “แต่ว่าข้าน้อยกำลังช่วยกันฝังเข็มไล่พิษ อยู่นะขอรับ” “ซิ่วอิงเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร” เฉินเจ๋อหยวนเอ่ยถามซิ่วอิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถอดเข็มออกให้หมดเจ้าค่ะ” “เจ้าจะบ้าหรือไง! ถอดเข็มออกพิษต้องแล่นเข้าสู่หัวใจ อาจทำให้ตายได้ในทันที” หมอรีบหันมาตะคอกใส่ซิ่วอิงทันที “หากขืนท่านชักช้า เขายิ่งจะตายเร็วขึ้น” ซิ่วอิงพยักหน้าให้ลี่อิน และเจียวจูมาดึงเขาสองคนออกไป ก่อนนางจะเข้าไปนั่งข้างลู่ไฉ่ แล้วจับข้อมือของเขามาจับชีพจร นางหลับตาลงก่อนจะประมวลผล “เขาได้รับพิษสลายธาตุด้วยปริมาณมาก หากรักษาได้อาจสูญเสีย ประสาทสัมผัสทางลิ้น อาจจะไม่รู้รสของอาหาร แต่ว่ามีข้าอยู่ไม่มีปัญหา ข้าช่วยได้แน่นอน” “เจ้าว่าอย่างไรนะ! แม่นางน้อยเจ้าพูดจริงหรือ?” ลู่เฉิงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเข้ามายืนพูดกับซิ่วอิงด้วยความตื่นเต้น เขาเป็นห่วงน้องชายเขามาก ต้องมีคนคิดร้ายกับน้องชายเขาเป็นแน่ วันนี้เป็นวันแข่งขันการทำอาหาร โรงเตี๊ยมฟู่จินชนะโรงเตี๊ยมจินเฮงมาโดยตลอด ไม่แน่ว่าทางฝั่งนั้นอาจจะคิดไม่ซื่อ “ข้าช่วยได้แน่นอนเจ้าค่ะ แต่ว่าเขาคงยังออกไปแข่งขันทำอาหารไม่ได้” “ไม่เป็นไรขอเพียงช่วยชีวิตเขาได้ก็ดีมากแล้ว” ซิ่วอิงปลดผ้าที่พันกล่องโบราณไว้ข้างตัว ก่อนจะเปิดกล่องหยิบเม็ดยาออกมา นางเพียงแค่นึกยาลูกกลอนแก้วนพเก้า มาอยู่ในกล่องอย่างใจนึก ก่อนจะเอี้ยวตัวบังไม่ให้ใครเห็น แล้วกัดไปบนนิ้วชี้ แล้วยัดใส่ปากพร้อมเม็ดยา โดยที่ยังไม่มีใครได้ทันสังเกต ผ่านไปสักพักลู่ไฉ่ก็ลุกขึ้นมาอาเจียนอย่างหนัก จากนั้นก็ล้มไปนอนเหมือนเดิม ซิ่วอิงจับชีพจรดู ก็รับรู้ว่าไม่มีพิษหลงเหลืออยู่อีกแล้ว เพียงแต่อ่อนเพลียและไร้เรียวแรง ซิ่วอิงจึงส่งพลังปรานไปที่ข้อมือของเขา ตำราโบราณที่ชายชราให้นางมา มีวิชามากมายจนนางเวียนหัว ดีที่เพียงแค่นางนึกถึง วิชาที่เหมือนจะฝั่งอยู่ในตัวนาง จะถูกพลังดึงออกมาใช้ได้อย่างถูกต้อง ไม่นานลู่ไฉ่ก็เริ่มรู้สึกตัว ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า วันนี้เป็นวันแข่งขันการทำอาหาร แย่แล้วเขาเป็นเช่นนี้ โรงเตี๊ยมฟู่จินต้องแพ้แน่ “เจ้านอนพักเถอะ ร่างกายของเจ้าสำคัญกว่าการแข่งขันมากนัก” ลู่เฉิงรีบเขามาดันร่างของน้องชายให้นอนลงไป “ท่านพี่” ลู่ไฉ่เอ่ยขึ้นอย่างกังวล “ให้ข้าไปแข่งแทนดีหรือไม่เจ้าคะ?” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นเด็กทั้งห้าคนกลับถึงจวน ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวสารอาหารแห้ง ทางร้านจะมาส่งทีหลัง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านยุ่งจนหัวหมุน พวกเขาทั้งห้าคนเห็นทุกคนเริ่ม ตุนเสบียงและอาหารเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพวกเขา ก็ซื้อได้ในราคาปกติ หากรอไปซื้อในช่วงฤดูหนาว พ่อค้าคงขึ้นราคาเป็นแน่ “ป้าหวังที่จวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “ช่วงนี้ข้าฝากท่านป้าและลุงฮุ่ยช่วยดูแลจวนด้วยเจ้าค่ะ พี่อู่ถง พี่อู่จิ้ง พี่อู่หย่ง ต่อไปท่านทั้งสามคนช่วยดูแลเรื่องทั่วไปในจวน หากต้องการซื้ออะไรเพิ่ม หากจำเป็นก็ซื้อได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะฝากเงินไว้กับป้าหวัง พี่ซูผิงว่าง ๆ ก็ช่วยสอนเด็กๆ หัดคัดอักษรทีเจ้าค่ะ กระดาษและหมึก มีพร้อมไม่ต้องกังวล ช่วงนี้พวกข้ามีเรื่องให้ทำมากมาย หากวันไหนข้าไม่ได้ทำอาหาร ป้าหวังพาทุกคนทำเลยนะเจ้าคะ ให้ทุกคนได้กินอย่าปล่อยให้หิว เพื่อรอพวกข้าเจ้าค่ะ” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ซิ่วอิงสั่งงานทุกคน เพราะตอนนี้นางและสหายมีเรื่องให้ทำมากมาย จึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน “ท่านลุงช่วงนี้ยังไม่เป็ดให้ย่าง ท่านสามคนไปขนฟืนที่ช่างตัดต้นไม้มาไว้ที่จวนเจ้า
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหยียนฟางว่า หมู่บ้านเหยียนฟางมีผีร้าย ข่าวลือเรื่องนี้ทำเอาผู้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ใช่เพียงทหารคนเดียวที่พบ แต่เป็นทหารหลายสิบคน รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอ ซิ่วอิงและสหาย ที่ออกมาสั่งของที่ตลาด พอได้ยินข่าวนี้ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความสะใจ สมน้ำหน้า! “ฮ่า ๆ ข้าละสะใจจริง ๆ” หานเกอเอ่ยขึ้น “ใช่สมน้ำหน้า ไปรบกวนวิญญาณคนตาย ก็ต้องเจอดีแบบนี้” เจียวจูเสริมขึ้น “ซิ่วอิงวิญญาณพวกเขา ยังไม่ไปเกิดใหม่อีกเหรอ?” ลี่อินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าคิดว่าพวกเขา คงยังเป็นห่วงสมบัติอยู่ เลยยังไม่จากไปไหน” “ซิ่วอิงข้าคิดแผนออกมาได้แล้ว” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วย ท่าทางเจ้าเล่ห์ “แผนอะไรรึ?” ซิ่วอิงหันมาถามอย่างสนใจ “ก็แผนไปสำรวจพื้นที่แถบนั้นนะสิ” “แต่ว่าตงฮวนเจ้าไม่กลัวผีรึ?” เจียวจูถามขึ้น “จะกลัวทำไมวิญญาณเหล่านั้น เป็นคนในครอบครัวของเราที่ถูกฆ่า ข้าดีใจเสียอีกหากว่าจะได้พบพวกเขาอีก” ซิ่วอิงฟังจากที่ตงฮวนพูดก็ครุ่นคิด แผนของเขาดีมากเลยทีเดียว ตงฮวนเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถฟังและวิเคราะห์ ได้อย่างดีเยี่ยม“แล้วจะไปสำรวจยังไง ไม่ใช่ว่าพวกเ
เช้าวันนี้มีประกาศจากทางการว่า มีแจ้งเบาะแสว่าพบเจออดีตฮ่องเต้ หลบหนีอยู่ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ทางการจึงจำเป็นต้อง ส่งคนไปตรวจสอบ อู่ถงรีบเข้ามารายงานอีกเช่นเคย เพราะเขามีหน้าไปจ่ายของที่ตลาด จึงพบเห็นทางการออกมาปิดประกาศข่าวสาร ให้ผู้คนได้รับรู้ “นายหญิงน้อย ดูเหมือนทางการจะออกมาติดประกาศแจ้งข่าวขอรับ” “แจ้งว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” “แจ้งว่าพบเจอ อดีตฮ่องเต้หลบหนีไปอยู่แถว ๆ หมู่บ้านไฉ่หลินขอรับ” ซิ่วอิงจากที่กำลังผัดผัก ก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ทางการคงอ้างเหตุผลนี้ เพื่อเข้าไปตรวจค้นสมบัติ ที่หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และดูเหมือนท่านเจ้าเมือง จะทำการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แล้วยังมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เขาตอบเสร็จก็เดินไปยกของลงจากรถวัวเทียมเกวียน ซิ่วอิงจึงหันมาหาสหาย ที่ช่วยงานกันอยู่ในครัว “ท่านเจ้าเมืองคงเริ่มให้ทหารไปสำรวจพื้นที่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝันเห็น วิญญาณของทุกคนที่จากไป บิดาของข้ายังบอกอีกว่า พื้นที่แถบนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่” “จริงเหรอซิ่วอิง” หานเกอถามขึ
เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิง เฉินจางหย่ง ยังคงปูที่นอนบนพื้นข้างเตียงของพวกนาง ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู หลังจากชำระร่างกายเสร็จ ก็ให้พี่อู่ถงและพี่อู่จิ้งมาเปลี่ยนน้ำให้ และให้พวกเขาเข้าไปชำระร่างกาย นางนึกเห็นใจสามพี่น้องสกุลอู่ ที่ทำงานกันอย่างขยันขันแข็งและไม่ปริปากบ่น คงเพราะนางรับทุกคนมาอยู่ด้วย พวกเขาเลยรู้สึกเกรงใจ จึงพยายามทำงานทุกอย่างที่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้มีคนมาเพิ่มแล้ว นางจะให้คนมาช่วยงานพวกเขา จะได้ไม่ไปหนักที่พวกเขาสามคนจนเกินไป ขนาดยามนี้ดึกมากแล้ว พวกเขายังทนรอรับใช้ นางรู้สึกซาบซึ้ง น้ำใจพวกเขาจริง ๆ อีกไม่นานเรือนพักก็จะสร้างเสร็จ ทุกคนจะไม่ต้องอยู่กันอย่างแออัดอีกต่อไป จวนที่ท่านปู่ให้คนมาสร้าง นางก็บอกช่างให้ทำใหญ่ไปเลย และมีเรือนแยกอีกหลายหลัง เพราะที่ดินกว้างมากจึงสามารถทำได้ ซิ่วอิงนอนคิดเรื่องราวจนผล็อยหลับไป พร้อมลี่อินและเจียวจู พวกเขาเมื่อออกมาจากห้องอาบน้ำ ก็มอง เด็กน้อยทั้งสามคนอย่างเอ็นดู เป็นเพียงเด็กแค่10ขวบ แต่ต้องมาทำอะไรมากมายเช่นนี้ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิตคนเสียจริง พวกเขาล้มตัวลงนอนก่อนจะพากันหลับไป วันต่อมาที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน วันนี้ทุกอย่างด
“ข้าว่าให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในพื้นที่แห่งใหม่น่าจะได้” ตงฮวนเอ่ยขึ้นอย่างวิเคราห์ ซึ่งตรงกับความคิดของซิ่วอิงพอดี เพราะตอนนี้มีพื้นที่แห่งใหม่ที่ใหญ่และกว้างขึ้น แม้จะมีข้าวของเครื่องใช้เหมือนที่นี่ แต่ชีวิตของพวกเขาปลอดภัยแน่นอน “ท่านไปพาพวกเขามาเถิด ระวังตัวด้วยเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงเอ่ยบอกเจียวหั่ว “ขอรับ” เจียวหั่วจึงรีบใช้วิชาตัวเบากระโดดหายไปทันที “เรามากินอาหารกันเถอะ ข้าหิวจนจะกินคนได้อยู่แล้ว พี่จือไฉ่ พี่จือหยวน ข้ารบกวนไปยกโต๊ะเก้าอี้มาที่ครัวทีเจ้าค่ะ” “เดี๋ยวข้าไปช่วย” เฉินซีฮันเอ่ยขึ้น เพราะเวลานี้ฐานะเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาคิดว่าสิ่งไหนที่ช่วยนางได้เขาก็ยินดีช่วยทำ เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง ต่างก็รีบออกไปช่วยยกโต๊ะเก้าอี๊เข้ามา พอทุกคนมานั่งกันครบแล้ว ซิ่วอิงก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน “วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ลี่อิน เจียว ลี่อิน เจียวจู ตงฮวน หานเกอ พี่ซีฮัน พี่เจียวหมิงและพี่จางหย่ง แต่เพราะวันนี้ที่โรงเตี๊ยมยุ่งมากและพรุ่งนี้ก็ยังจะยุ่งอีก เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็กินกันพอประมาณ พอทุกอย่างลงตัวดีแล้ว พวกเราค่อยฉลองใหญ่กันเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงให้ลี่อินชงชา เจียวจูและนางช่วยกันส
ทางด้านตระกูลเฟยยามนี้ เฟยเจินเฉิงตกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เขาไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง บิดาเขาส่งคนไปใส่ร้ายโรงเตี๊ยมฟู่จิน เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบิดาเขา จะมีความคิดชั่วร้ายเช่นนี้ การแข่งขันในวันนั้น เขายอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี และไม่เคยคิดโกรธเคืองผู้ชนะเลยสักนิด แต่มาวันนี้ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ใด ผู้คนต่างมองมาที่เขาด้วยสายตาตำหนิ พอเขาได้สอบถามถึงได้รู้ความจริง เขารู้สึกผิดหวังกับการกระทำของบิดาจนพูดไม่ออก เสียงผู้คนกล่าวถึงไม่ใช่มีเพียงตระกูลเฟย แต่ยังมีตระกูลจิน ที่กระทำการน่าละอายเช่นเดียวกัน พวกเขาเป็นอะไรกันไปหมด นางเป็นเพียงเด็กน้อยแต่มีความสามารถ ทุกคนควรให้การยอมรับ ไม่ใช่หาเรื่องใส่ร้ายกันเช่นนี้ นี่มันเข้าทำนองผู้ใหญ่รังแกเด็กชัด ๆ เมื่อเฟยเจินเฉิงกลับถึงจวน ก็ตรงไปหาบิดาและมารดาทันที เรื่องนี้เขาคิดว่า บิดาของเขาควรไปขอโทษ ทางโรงเตี๊ยมฟู่จิน ที่ทำให้ได้ความเสียหาย “ท่านพ่อ! ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไรกันขอรับ ตอนนี้ผู้คนต่างพูดกันไม่หยุดปาก ถึงตระกูลเราที่ทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น” เฟยเจินเฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าผิดหวังและเจ็บปวดใจ “ข้าไม่ได้ตั้ง







