จือหลินไม่มีเวลาให้โทษฟ้าดิน นางจำต้องลงมือเก็บกวาดทั้งในเรือนและนอกเรือน ส่วนเรื่องห้องน้ำไว้ค่อยจัดการในภายหลัง นางต้องไปคิดหาหนทางเสียก่อน
ทำได้ไม่ถึงครึ่งนางก็ทิ้งตัวลงนอนที่พื้นห้องโถงอย่างหมดแรง จะใช้เวลาแค่วันเดียวอย่างที่คิดไว้ไม่ได้เสียแล้ว
ยิ่งอาหารในห้องครัวตอนนี้ก็เหลือไม่มาก พรุ่งนี้นางคงต้องขึ้นเขาเพื่อหาอาหารมาเพิ่มเสียก่อน หากไม่มีอะไรตกถึงท้องก็ไม่อาจจะทำงานหนักได้เช่นกัน
จือหลินจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาสิ่งที่จะนำมาทำเป็นอาวุธได้บ้าง แต่ก็พบเพียงมีดทำครัวเท่านั้น
นางจึงเริ่มมองหาสิ่งอื่นที่ใช้ล่าสัตว์ได้บ้าง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่ดูเข้าตา
ในตอนกินอาหารมื้อเย็นนางจึงได้เอ่ยถามมารดาจึงได้รู้ว่า ท่านตาของนางทิ้งธนูกับมีดพร้าไว้ด้วย ลี่อินจึงไปนำออกมาให้บุตรสาว ถึงแม้จะยังไม่เชื่อว่าจือหลินสามารถล่าสัตว์ได้อย่างที่นางพูด
แต่เมื่อเห็นแววตาที่มองมาอย่างมุ่งมั่นของนาง ลี่อินก็ไม่กล้าจะเอ่ยสิ่งใดออกมา
“ท่านแม่ ท่านมีอาการป่วยช่วยใดบ้าง” จือหลินถามสิ่งที่นางสงสัย
เพราะจากสิ่งที่นางดูภายนอกโดยที่ยังไม่ได้ลงมือตรวจ นางคิดว่าลี่อินต้องป่วยเป็นโรคโลหิตจางอย่างแน่นอน
ลี่อินจึงบอกอาการกับบุตรสาว เพราะคิดว่านางเพียงอยากรู้เท่านั้น อาการของลี่อิน นางหายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะบ่อยครั้ง อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย มือเท้าจะเย็นมากกว่าปกติ
“ท่านตกเลือดตอนคลอดข้าใช่หรือไม่” จือหลินขมวดคิ้วคิด
“ใช่” ลี่อินพยักหน้าราวไก่จิก
“ท่านเป็นโรคโลหิตจาง จากการตกเลือดในครั้งนั้นและไม่ยอมรักษาให้ดี” จือหลินเริ่มคิดว่าจะรักษาลี่อินเช่นใด
ลี่อินอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ ในตอนแรกที่นางฟังเรื่องเล่าของจือหลินก็เพียงแค่คิดว่าบุตรสาวของหมดสติแล้วเพ้อไป แต่ในยามนี้นางเชื่อแล้วว่าวิญญาณของจือหลินหลุดออกจากร่างจริงๆ
“อย่าร้องนะเจ้าค่ะ” จือหลินรีบพูดดักไว้ก่อน เมื่อเห็นลี่อินตั้งท่าจะร้องไห้อีกแล้ว
“พรุ่งนี้ข้าจะขึ้นเขานะเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
ลี่อินแม้จะกังวลเรื่องบาดแผลของจือหลินมากเพียงใดแต่ก็ยอมฟังนาง เพราะอาหารในเรือนใกล้หมดลงแล้วจริงๆ อีกอย่างนางก็ไม่อาจออกไปขึ้นเขาได้เพราะร่างกายที่เป็นเช่นนี้ หากไปหมดสติอยู่ด้านนอกจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่
เพราะจือหลินต้องขึ้นเขาแต่เช้า สองแม่ลูกจึงได้แยกย้ายกันไปนอน ฟ้ายังไม่สว่างจือหลินก็ลุกเตรียมอาหารไว้ให้มารดาก่อนที่นางจะแบกตะกร้าขึ้นเขาไป
อาจจะเป็นเพราะยังเช้าเกินไป ระหว่างทางที่จือหลินนางเดินขึ้นเขาจึงยังไม่พบเห็นชาวบ้านสักคน
ตามความทรงจำเดิมของฟู่จือหลิน นางเพียงหาของป่าอยู่เพียงชายป่ารอบนอกเช่นชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น เพราะกลัวจะถูกสัตว์ป่าทำร้าย จือหลินนางจึงเลือกเดินไปอีกทางที่ชาวบ้านน้อยคนนักจะกล้าเข้าไป
จือหลินใช้มีดพร้าในมือเปิดทางให้นางเดินเข้าไปได้ ทางที่ไม่มีคนเดินผ่านมาเป็นระยะเวลานานย่อมต้องรกชัฏเป็นธรรมดา
หัวเผือกหัวมันมีให้เห็นมากมาย จือหลินจำตำแหน่งไว้เพื่อขากลับนางจะได้มาขุดกลับเรือน ไก่ป่า กระต่ายป่ามีให้เห็นบาง แต่ธนูในมือที่นางเพิ่งได้มาใช้ไม่ถนัดมือนักจึงได้ลองฝึกยิงออกไปอยู่หลายครั้งกว่าจะได้ไก่ป่ามาสักตัว
จือหลินยิงไก่ป่าและกระต่ายป่ามาได้ทั้งหมดสี่ตัว ก่อนที่นางจะเดินขนหาตามพุ่มไม้แล้วได้ไข่ไก่มาอีกนับสิบฟอง เพราะตัวนางที่เล็กเกินไปจึงไม่อาจแบกของได้มากนัก จือหลินจึงเดินกลับไปตามทางเดิม
นางขุดหัวมันเก็บกลับไปด้วยแต่ไม่มากนัก ก่อนจะลงเขานางยังได้ผลไม้ติดมือมาให้ลี่อินนางได้กินอีกด้วย
พอถึงชายเขา ชาวบ้านก็กลับเรือนไปหมดเรียบร้อยแล้ว จือหลินนับว่าพอใจยิ่งนัก นางยังไม่อยากพบเจอผู้ใดไม่รู้ว่าจะตอบเรื่องที่นางล่าสัตว์มากมายได้อย่างไร
เมื่อเดินใกล้ถึงเรือนก็พบมารดาชะเง้อคอรอนางกลับมาที่เรือนอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นตัวจือหลิน ลี่อินก็รีบเร่งฝีเท้าเดินมาช่วยรับของไปจากบุตรสาว
“แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งหนัก เหตุใดถึงหามากได้มากเพียงนี้ เจ้าเดินเข้าไปในป่าลึกรึ” ลี่อินมองของในตะกร้าแล้วร้องถามอย่างตกใจ
“ท่านอย่าได้เป็นห่วงเลยเจ้าค่ะ รีบเข้าเรือนเสียก่อน ข้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้ท่านได้ทาน” จือหลินแย่งตะกร้ากลับมาอุ้มไว้ในอกก่อนจะเดินนำเข้าไปในเรือน
จือหลินนำตะกร้าเข้าไปเก็บในห้องครัวนางรับน้ำมาดื่มจากมือมารดาก่อนจะหันไปจัดการไก่ป่าตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ลี่อินมองตะลึงอย่างไม่อยากเชื่อที่เห็นบุตรสาวลงมือจัดการกับไก่ป่าอย่างชำนาญ
แม้แต่มีดในมือที่ไม่คมนางยังจัดการกับไก่ป่าได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานไก่ป่าในมือของจือหลินก็ถูกโยนลงไปในหม้อ นางต้มพร้อมกับหัวมันที่ได้มา เพราะข้าวเหลือไม่มากแล้ว
จือหลินนางยังนำไข่ออกมาต้มอีกสองฟอง ทั้งหมดเสร็จลงในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อยกอาหารขึ้นตั้งโต๊ะ ลี่อินก็มองอยากไม่อยากเชื่อ นับตั้งแต่ที่บิดาเสียไปน้อยครั้งนักที่สองคนแม่ลูกจะมีเนื้อให้กิน
จือหลินนางปอกเปลือกไข่ ก่อนจะแยกไข่แดงลงในชามของมารดา และตัวนางกินเพียงแค่ไข่ขาว
“เจ้าเก็บไว้กินเองเสีย ไม่ต้องเป็นห่วงแม่” ลี่อินจะตักไข่แดงส่งคืนให้จือหลิน
“ท่านกินเถิดเจ้าค่ะ ไข่แดงจะช่วยให้อาการป่วยของท่านดีขึ้น หลังจากนี้ทุกวันท่านต้องกินไข่แดงทุกวันเจ้าค่ะ” จือหลินยังตักเนื้อไก่ให้ลี่อินจนนางแทบจะกินไม่หมด
เมื่อทานอาหารเสร็จจือหลินนางยังไปล้างผลไม้ที่นางเก็บมาด้วย เพื่อให้ลี่อินกิน ลี่อินปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างลวกๆ เพราะไม่อยากให้บุตรสาวได้เห็น นางไม่คิดว่านางจะทำให้บุตรสาวที่อายุน้อยต้องลำบากถึงเพียงนี้
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข