จือหลินนางยังไม่คิดจะนำไก่ป่ากับกระต่ายป่าที่หามาได้นำไปขาย เพราะมารดาของนางและร่างนี้ของนางไม่ได้รับสารอาหารที่พอเพียงมาเป็นระยะเวลานานนางจึงจะเก็บไว้กินเอง
ก่อนที่จะไปล้างตัว จือหลินนางยังไปจัดการกับเนื้อสัตว์ที่ได้มาเพื่อจะเก็บไว้ได้กินในมือต่อไป เครื่องปรุงในเรือนแทบจะไม่มีนางจึงทำได้แต่แช่เนื้อไว้ในโอ่งน้ำก่อนเพื่อเก็บรักษาไม่ให้เน่าเสีย
พรุ่งนี้นางคิดจะขึ้นเขาเพื่อหาดินโป่งที่มีความเค็มเพื่อนำมาสกัดเป็นเกลือเก็บไว้ใช้กินในเรือนแต่หากนางโชคดีของได้พบดินเค็มแทนก็ได้
จือหลินเดินไปดูลี่อินที่ห้องของนางก่อนที่นางจะกลับห้องของตนเอง ก็พบว่ามารดาของนางนั้นนอนหลับสบายอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว จือหลินจึงกลับห้องไปพักผ่อน
ลี่อินที่นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า นางเห็นจือหลินที่กำลังยกอาหารขึ้นตั้งโต๊ะเสร็จก็กำลังจะออกจากเรือนเพื่อขึ้นเขา
“กินข้าวแล้วหรือหลินเออร์” ลี่อินร้องถามบุตรสาวที่กำลังจะเดินออกจากเรือน
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่มื้อกลางวันข้าเตรียมให้แล้ว ท่านอย่าได้ลืมกินเสียเล่า” เพราะทุกครั้งสองแม่ลูกจะกินข้าวแค่มื้อเช้ากับเย็นเท่านั้น
จือหลินอยากจะบำรุงร่างกายของลี่อินให้ฟื้นกำลังได้เร็วขึ้นจึงได้เตรียมอาหารให้นางได้กินวันละสามมื้อ
จือหลินนำอาหารในส่วนของนางขึ้นเขาไปด้วยจะได้ไม่เสียเวลาจัดหาอาหารให้ยุ่งยากอีก ในครั้งจือหลินพบเจอชาวบ้านที่ออกมาหาของป่าหลายคนแล้ว
แต่ละคนก็เข้ามาสอบถามนางด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้มารดาของจือหลินจะทำเรื่องที่น่าอับอายพอเวลาผ่านไปชาวบ้านก็แปรเปลี่ยนมาเห็นใจสองแม่ลูกที่ใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก
ยิ่งตัวของจือหลินด้วยแล้ว ทุกคนกลับรู้สึกเอ็นดูนาง เพราะนางเป็นเด็กดีคอยดูแลมารดาที่เจ็บป่วยบ่อยครั้ง หากเรือนไหนที่ได้อาหารมาจากป่ามากก็มักจะนำมาแบ่งปันให้สองแม่ลูกอย่างใจกว้าง ทั้งคู่จึงผ่านมาได้จนทุกวันนี้
จือหลินนางก็ตอบกลับทุกคนอย่างไม่นึกรำคาญ ก่อนจะขอตัวเดินขึ้นเขาไป ชาวบ้านยังเตือนนางไม่ให้เดินเข้าไปลึกนัก นางก็ตอบรับอย่างยินดี
แต่คนอย่างจือหลินจะเชื่อได้อย่างไร หากไม่เดินเข้าไปในป่าลึกนางจะเจอสิ่งที่ต้องการได้อย่างไรเล่า
ครั้งนี้จือหลินเดินเข้าไปไกลจากจุดที่นางหาของป่าเมื่อวานนับว่ามากนัก แต่ก็ทำให้นางนึกยินดี เมื่อเจอโป่งดินที่สัตว์ป่ามักลงมากินโป่งใหญ่
จือหลินวางตะกร้าที่นางแบกมาด้วยลง ก่อนจะเดินสำรวจไปรอบๆ โป่งดิน หากนำส่วนที่เป็นโป่งดินกลับไปความเค็มที่นางต้องการคงสกัดเป็นเกลือออกมาได้อยาก
หากหาไม่เจอนางคงต้องขุดดินโป่งกลับไปแทนเพื่อนำไปรมควันเก็บไว้ให้มารดาได้กินเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่การทำกว่าจะได้ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ซึ่งจือหลินนางขี้เกียจรอ
ยังนับว่าโชคยังพอมี เมื่อนางสำรวจไปเจอดินไม่ไกลจากดินโป่ง บนผิวดินคราบขาวของกลืออยู่ด้านบนของดิน
จือหลินจึงวิ่งกลับไปเอาตะกร้าของนางกลับมาขุดดินขึ้นมาจนเต็มตะกร้า ก่อนที่จะแบกลงจากเขาไป เมื่อลงมาด้านล่างฟ้าก็มืดสนิทเสียแล้ว จือหลินนางต้องเดินไปพักไปตลอดทาง เพราะน้ำหนักดินที่อยู่บนหลังของนางมากเกินกว่าที่เด็กตัวเล็กจะแบกมาตลอดทางได้ไหว
เมื่อถึงเรือนจือหลินวางตะกร้าลงแล้วนอนแผ่อยู่บนพื้นอย่างหมดแรง ลี่อินรีบออกมาดูบุตรสาวก็ต้องแปลกใจที่ครั้งนี้เห็นนางแบกดินกลับมาเสียเต็มตะกร้า
“ดื่มน้ำเสียก่อน” ลี่อินประคองจือหลินให้ลุกขึ้นมาดื่มน้ำ
เมื่อจือหลินหายเหนื่อยแล้วนางกับมารดาก็ช่วยกันยกตะกร้าไปที่หลังเรือน จือหลินนางเทดินให้อ่างใบใหญ่เท่าที่นางจะหาได้ แล้วเติมน้ำลงไปให้เต็มก่อนที่นางจะหาไม้มากวนในอ่าง แล้วทิ้งไว้ครึ่งชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง) เพื่อให้ดินที่นางกวนตกตะกอน เหลือเพียงแต่น้ำที่ด้านบน
จือหลินไปอาบน้ำล้างตัวแล้วพักผ่อนเพื่อรอเวลา ตลอดเวลาลี่อินนางก็อยู่เป็นเพื่อนบุตรสาวเผื่อมีสิ่งใดที่นางจะช่วยหยิบจับได้บ้าง แต่ก็ถูกจือหลินไล่กลับห้องเพื่อให้นางได้ไปพักผ่อน
“ท่านแม่ท่านไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ช่วยข้าเจ้าค่ะ เมื่อท่านหายดีข้าจะให้ท่านช่วยหยิบจับให้เต็มกำลัง” เมื่อฟังสิ่งที่บุตรสาวพูดลี่อินก็กลับไปที่ห้องของนางอย่างเข้าใจ
ยิ่งนางบำรุงร่างกายจนสามารถดีขึ้นได้เร็วเพียงใด บุตรสาวตัวน้อยของนางก็จะได้มีนางคอยช่วยทำงานเรือนได้แล้ว
จือหลินเห็นว่าเพียงครึ่งชั่วยามน้ำยังขุ่นมากนัก ดินที่กวนไว้ก็ยังไม่ตกตะกอนดี จือหลินจึงกลับห้องไปนอนพรุ่งนี้นางค่อยมาจัดการเรื่องที่เหลือต่อ เพราะตอนนี้นางก็เหนื่อยล้าจนตาแทบจะปิดลงแล้ว
จือหลินที่นอนหลับสนิทนางจึงไม่รู้ว่าระบบมิติของนางส่งสัญญาณเตือนกลับมาหานางได้แล้ว แต่ไม่นานสัญญาณก็ขาดหายไป
รุ่งเช้าจือหลินตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาก็พบว่าน้ำที่ทิ้งไว้เมื่อคืน ใสจนสามารถนำมาต้มได้แล้ว
จือหลินค่อยๆ ตักน้ำออกจากอ่างอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้ติดดินขึ้นมาด้วย เมื่อนำไปต้มสีของเกลือจะดูไม่น่ากิน
ลี่อินที่อยากจะช่วยบุตรสาวทำงาน จือหลินจึงให้มารดาไปเตรียมผ้าสะอาดมาไว้เพื่อกรองน้ำอีกครั้ง เมื่อนางตักน้ำออกจนหมดก็เติมน้ำอีกครั้งเพราะความเค็มที่อยู่ในดินยังไม่หมดไป
จือหลินส่งน้ำที่นางตักขึ้นมาได้ส่งให้มารดาเพื่อนำไปกรอง นางก็ปลีกตัวออกไปก่อไฟเพื่อจะเตรียมต้มน้ำเกลือ
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข