บทที่สี่
ภรรยากับหลานแม่สามี
“วันนี้กลับมาเร็วยิ่งขอรับแม่นาง”
เสียงผู้คุ้มหนุ่มทักทายซูเมิ่งในขณะที่นางเดินผ่านพวกเขาเข้าจวน
“เจ้าค่ะ”
ซูเมิ่งยิ้มแย้มเป็นมิตรให้พวกเขาราวกับการทักทายเช่นนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
สามปีแล้วกระมังที่นางเข้าออกจวนแห่งนี้โดยมิได้บอกใคร นางตีซี้กับผู้คุ้มกันทั้งสองจนนับว่าเป็นสหายผู้หวังดีต่อกันได้เลยกระมัง
ซูเมิ่งเดินทอดน่องสบายอารมณ์ไปยังเรือนเล็กของตนเองที่อยู่แทบจะท้ายจวนอาณาเขตกว้างขว้างแห่งนี้
นางมิเคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิดเวลาเดินเข้าไปในเรือนหลังน้อยของนางที่แม่สามีนางจัดให้
เอาจริงนะ เรือนที่นี่ดูดีกว่าเรือนแต่ก่อนที่ตระกูลบ้านเกิดของนางจัดให้อีกด้วยซ้ำไป
ตอนแรกที่นางมาอยู่ร่างในมิตินี้คือจวนหลังเก่าที่บ้านนอกห่างไกลความเจริญ
เก่าขนาดนางคิดว่าอีกไม่ถึงปีมันคงพังถล่มลงมากระมัง
ส่วนตอนที่ย้ายไปอยู่เมืองหลวงประมาณสองสัปดาห์ได้ เรือนนั้นก็มิต่างจากเรือนคนใช้คนหนึ่ง
ช่างน่าขันยิ่งชีวิตซูเมิ่งในชาตินี้
“เปิดประตูบัดเดี๋ยวนี้! ข้าจะเข้าไปเยี่ยมพี่สะใภ้ข้างในเรือน เจ้ากล้าไล่ข้ารึ”
“อะ เอ่อ”
“หลีกทางเดี๋ยวนี้นังบ่าวชั้นต่ำ” เสียงตุ้บ น่าจะเป็นเสียงของจิวซือสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของซูเมิ่งล้มก้นกระแทกพื้น
ทีแรกด้วยความเกรงว่าคนของนางจะโดนรังแกเพราะอุตส่าห์เสียสละตนเองเพื่อปฏิบัติตามสิ่งที่นางสั่งการไว้ให้ถึงที่สุด
ทว่าซูเมิ่งตัดสินใจดูเชิงฝ่ายตรงข้ามก่อน
ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามสตรีกล้าหาญวางอำนาจในเรือนผู้อื่นผู้นี้จากปากจิวซือหลายหนแล้ว ครานี้ขอดูด้วยตาตนเองสักทีเถอะ
นางชื่อลี่เฉี่ยวเป็นหลานสาวจากตระกูลเดิมของมารดาเลี้ยงสามีนางที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาได้เพียงสองปีโดยมาอาศัยอยู่ที่จวนแห่งนี้แทบกลายเป็นเจ้านายอีกคนของจวนเพราะมีป้าของนางถือหางอยู่อย่างชัดเจน
ไม่นึกเลยว่าวันนี้อีกฝ่ายจะมารุกรานถึงที่เรือนเล็กๆ ท้ายจวนแห่งนี้
มาทำอันใด?
“ฮูหยินของบ่าวไม่สบาย เวลานี้นอนพักผ่อนอยู่เจ้าค่ะ เกรงว่าจะมีสามารถต้อนรับแขกในเวลาเช่นนี้ได้”
“ข้าคิดไว้อยู่แล้ว ว่าพี่หญิงอาจมิสบาย เห็นว่าร่างกายอ่อนแอเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในจวนจึงต้มสมุนไพรบำรุงให้ด้วย เหมยอียกสมุนไพรต้มตามข้ามา”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“เกรงว่าคุณหนูคงต้องมาเสียเที่ยวแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินของบ่าวมิสะดวกรับแขกจริง ๆ อะ เอ่อ เกรงว่าผู้อื่นจะติดไข้ได้เจ้าค่ะ”
“เหอะ คิดว่าเป็นภรรยาคนแรกของท่านพี่หยางเหวินแล้วจะสามารถหยิ่งผยองในจวนแห่งนี้ได้หรือ กล้าไล่ข้าที่เป็นหลานของแม่สามีรึ ข้าจะเข้าไปดูหน้านางหยิ่งผยองนั่น เจ้าหลีกไป เหมยอี เหมยอ้ายจับตัวนางเอาไว้”
“คุณหนูไม่มีสิทธิบุกรุกเรือนผู้อื่นนะเจ้าคะ คะ คุณหนูลี่เฉี่ยว”
“เหอะ ข้าจะเข้าไป ที่นี่เป็นเรือนของตระกูลหยางมิใช่ของเจ้านายเจ้า....ข้าอยากรู้นักว่าเรือนแห่งนี้ซ่อนสิ่งใดไว้จึงห้ามมิให้ใครเข้าไปเช่นนี้ อย่านึกว่าข้ามิรู้ทันความคิดของพวกเจ้านะ
....ข้าจะเปิดโปรงแผนชั่วร้ายของพวกเจ้าให้ท่านป้ารับรู้”
“คะ คุณหนู”
พลั่ก!
ประตูของเรือนหลังน้อยถูกผลักเปิดอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดลงมาหลังกระแทกกับผนังเรือน
เนื่องจากเรือนหลังนี้ขนาดเล็กมากดังนั้นห้องนอนและห้องรับแขกจึงไม่ได้แยกกันอยู่ เปิดประตูบานใหญ่ของเรือนก็เท่ากับว่าเปิดห้องนอนของเรือนเลยนั่นเอง
............................................................................
ตัดฉึบ ต่อตอนหน้ารวดเดียวจ้า
ฝากคอมเมนต์และกดใจให้กันด้วยน้า
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม