ซูเมิ่ง นักธุรกิจสาว ทะลุมิติมาเกิดในร่างบุตรีแสนชังในตระกูลขุนนาง ไม่ยังถูกส่งให้มาแต่งงานกับท่านแม่ทัพตระกูลศัตรูเพื่อเป็นตัวประกัน โดนสามีทิ้งหรือ....ดียิ่ง ข้าจะได้ออกไปก่อร่างสร้างตัวด้วยสองมือของตนเอง ........ นางเอกหัวธุรกิจ vs ท่านแม่ทัพเจ้าแผนการ ปากอยู่นู่น ใจอยู่นี่
ดูเพิ่มเติมบทนำ
วันนี้ ณ จวนขนาดกลางของขุนนางระดับไม่สูงมาก
ที่เอ่ยว่าไม่สูงมากก็เพราะขขนาดประมุขของตระกูลแห่งนี้มีตำแหน่งขุนนางเพียงขั้น 4 ทว่าทั้งจวนบัดนี้กลับประดับตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้ใหม่เอี่ยม บางอันทำจากหยกมันแพะ พู่ผ้าสีแดงผูกทั่วเรือนทำให้จวนขนาดกลางในวันนี้กลายเป็นจวนที่ดูร่ำรวยและมากอำนาจขึ้นมาในชั่วพริบตา
แน่นอนว่าตกแต่งจวนเป็นสีแดงอันเป็นสีมงคลก็เพราะเตรียมพร้อมสำหรับงานแต่งงานของหนึ่งในลูกสาวของประมุขตระกูลซู
ในสายตาคนภายนอกอาจรู้สึกทั้งอิจฉาลูกสาวตระกูลนี้และสงสารเวทนายิ่งในเวลาเดียวกัน
เพราะอันใดน่ะหรือ....
ชาวบ้านในเมืองหลวงต่างรู้แจ้งอยู่แล้วว่างานแต่งงานในครั้งนี้เป็นงานแต่งงานประเภทที่ตระกูลฝ่ายเจ้าสาวมิมีทางเลือกจำยอมส่งบุตรีของตนให้เข้าไปอยู่ในตระกูลของฝ่ายเจ้าบ่าวซึ่งเป็นตระกูลของขั้วตรงข้าม
จะเรียกว่าเป็นศัตรูกันก็มิผิด
แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ฝ่ายเจ้าสาวจะได้รับสินสอดจำนวนมากจากตระกูลฝ่ายเจ้าบ่าวอย่างตระกูลหยาง ตระกูลฝ่ายบู๊อันแสนยิ่งใหญ่ก็ตามที อย่างไรก็มิสามารถกลั้นกลืนความโกรธแค้นที่ฝังลึกมานานหลายชั่วอายุคนมาดีใจกับงานมงคลในครั้งนี้ได้ง่ายดาย
ชะตากรรมของเจ้าสาวจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร คนที่รับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลนี้ย่อมคาดเดาไปในทางลบกันถ้วนหน้า
และที่ชัดเจนที่สุดคือฝ่ายเจ้าบ่าวประกาศออกมาแล้วว่าการแต่งงานในครั้งนี้แม้ว่าจะเป็นการแต่งงานให้บุตรชายคนเดียวของประมุขตระกูลหยางที่ยังมิมีภรรยาเลยสักคนเดียว ทว่าพวกเขามาสู่ขอเจ้าสาวให้แต่งเข้าไปในฐานะฮูหยินรอง
ก็ยังดีที่มิใช่ตำแหน่งอนุไร้เกียรติไร้ศักดิศรี
ภายนอกจวนตระกูลลู่มีชาวบ้านมายืนออเฝ้ามองเกี้ยวเจ้าสาวที่แม้ว่าการตกแต่งยิ่งใหญ่อลังการแค่ไหนก็มิสามารถปกปิดตัววัสดุที่ใช้ทำเกี้ยวนั้นได้
ไม้ชนิดที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป สีรึก็เก่าคร่ำครึ ดีที่ไม่ผุพังจึงยังคงสามารถรับน้ำหนักคนหนึ่งคนได้อยู่อย่างสบายๆ
ส่งเกี้ยวไร้คุณภาพเช่นนี้มารับตัวเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็แสดงความเกลียดชังในตัวว่าที่เจ้าสาวมาอย่างชัดเจน
เกลียดแล้วไยจึงส่งแม่สื่อมาสู่ขอบุตรีบ้านศัตรู?
เรียกว่ามาสู่ขอก็พูดได้มิเต็มปาก
หากบอกว่าส่งมาข่มขู่ให้รับข้อตกลงนั้นจะถูกต้องมากกว่า
เกลียดกันแล้วไยจึงต้องการตัวลูกสาวมาอยู่ในจวนของตนเอง
หากหลายคนคิดในทำนองว่าฝ่ายตระกูลหยางต้องการแก้แค้นทำให้ตระกูลซูรู้สึกตายทั้งเป็น ด้วยการใช้ตัวลูกสาวเป็นตัวประกันก็ผิดมากนัก
แถมมีใครมิรู้บ้างว่าบุตรชายคนเดียวของท่านแม่ทัพใหญ่หยางสือเป็นคนเยี่ยงไร
บุรุษเจ้าแห่งสงคราม
รบร้อยครั้งชนะเก้าสิบเก้าครั้ง
หนึ่งครั้งที่พ่ายแพ้เพราะตั้งใจแพ้เพื่อให้ศัตรูตายใจก็เท่านั้น
นอกจากเรื่องการกระหายชัยชนะ เห็นการฆ่าฟันคนเป็นเรื่องง่ายดายแล้ว
เรื่องนิสัยใจคอของชายหนุ่มก็เลื่องลือว่าทั้งดุดันและโหดร้ายกับแม้กระทั่งสตรีที่เข้าไปทอดสะพานด้วยมิเคยปรานี
หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังคือชายหนุ่มตัดแขนแม่นางที่แตะต้องตัวเขาทิ้งอย่างหน้าตาเฉย
ทำให้ผู้อื่นพิการถึงขนาดนั้นกลับไม่มีผู้ใดเอาผิดเขาได้แม้กระทั่งฮ่องเต้ของแคว้นก็ตั้งใจละเลย
เห็นได้ชัดว่าตระกูลหยางเปรียบเสมือนเป็นแขนขวาที่องค์ฮ่องเต้หวางซานเย่มิสามารถขาดได้ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
บัดนี้ด้านนอกจวนวุ่นวาย เนืองแน่นไปด้วยผู้คนยิ่งนัก
ช่างผิดกับด้านในที่มีบ่าวรับใช้เดินเพ่นพล่านอยู่ไม่กี่คน ยิ่งมิต้องพูดถึงเจ้านายในจวน
ทั้งท่านประมุขตระกูลและฮูหยินใหญ่ของตระกูลล้วนอยู่ในสภาพของคนเพิ่งตื่นนอน
ซูเจิน ฮูหยินใหญ่พร้อมด้วยบุตรีแสนรักของตนเอง ซูฮวา เดินเข้ามาในห้องซอมซ่อขนาดเล็กท้ายจวนที่บัดนี้เป็นสถานที่ที่นับว่ามีคนอยู่เยอะที่สุด
เยอะในที่นี้คือสี่คนเท่านั้น
มีบ่าวสาวใช้ช่วยเจ้าของเรือนแต่งกายอยู่สองคน บ่าวอีกหนึ่งคนแต่งหน้า ส่วนซูเมิ่ง ตัวเอกของงานแต่งงานในวันนี้กำลังนั่งมีท่าทีและใบหน้าเฉยชาอยู่หน้าคันฉ่อง
นางเปรียบราวกับตุ๊กตาไร้ชีวิตโดยมีบ่าวสาวใช้ร่วมมือกันเนรมิตจากใบหน้าไร้การแต่งแต้ม เสื้อผ้าตัวเก่าซอมซ่อมิต่างจากเรือนหลังที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นเจ้าสาวแสนสวยตามความคาดหวังของคนข้างนอก
“ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ วันนี้พี่สาวของข้าใบหน้ายิ้มแย้มอิ่มเอมไปด้วยความสุขยิ่ง คิก คิก”
“เหอะ เจ้าดีใจไปเถอะ ข้าได้ข่าวว่าฝ่ายนู้นจัดเตรียมห้องพักดีเลิศไว้เตรียมรับอนุภรรยาอย่างเจ้า อุ้ย มิใช่สิ มิใช่อนุแต่เกรงว่าจะเป็นสถานะมิต่างกันเท่าใดนัก หึ และข้าที่บอกว่าห้องพักดีเลิศข้าหมายถึงเมื่อเทียบกับห้องพักของเจ้าที่จวนข้าล่ะนะ”
“โถ่ท่านแม่ ข้าคิดว่าพี่สาวข้าเกิดมาชาตินี้ช่างวาสนาดียิ่งนัก มิใช่ง่ายๆ นะเจ้าคะที่สตรีตระกูลเล็กอย่างพวกเราจะได้แต่งเข้าจวนยิ่งใหญ่ขนาดนั้น”
ซูเมิ่งเหลือบตามองน้องสาวต่างแม่ตนเองชั่วแวบหนึ่งเท่านั้นก่อนหันกลับมามองใบหน้าตนเองในคันฉ่อง
นางพูดถึงใคร? หากตามิบอดก็คงปากมิดี จงใจเยาะเย้ยผู้อื่นก็ใช้สมองสร้างสรรค์มากกว่านี้ได้หรือไม่
เดี๋ยวแม่ตบสั่งสอนสักดอกเลยนี่
หากมิได้มีแผนการอยู่ในใจป่านนี้สตรีผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาของนางผู้นี้คงโดนลูกตบของวิญญาณในร่างของซูเมิ่งสั่งสอนไปแล้ว
ใช่แล้ว เวลานี้จิตวิญญาณที่แท้จริงของโฉมสคราญผู้น่าสงสารผู้นี้ได้ตายจากร่างกายนี้ไปแล้วตั้งแต่นางอยู่อาศัยที่บ้านนอกนู่นแล้ว
จากนั้นวิญญาณของซูเมิ่งที่แม้ชื่อเหมือนกันทว่านิสัยใจคอนั้นแตกต่างกันสุดขั้วได้เข้ามาสิงสถิตใช้ร่างกายนี้แทน ความทรงจำแสนเจ็บปวดและเลวร้ายทั้งหมดหลั่งไหลเข้ามามากมาย
ดังนั้นซูเมิ่งสตรียุคอนาคตล่วงหน้าไปสองพันปีจึงได้รับรู้ว่าซูเมิ่งที่นางต้องมาใช้ชีวิตแทนนี้น่าสงสารเพียงใด
เป็นบุตรีของภรรยารองที่ตายไปแล้ว
ลูกชังของบิดาเพราะก่อนตายมารดานางโดนกล่าวหาว่าคบชู้สวมหมวกเขียวให้สามี
ส่วนแม่เลี้ยงหรือก็หน้าไหว้หลังหลอกยิ่ง ต่อหน้าทำเป็นเมตตาต่อบุตรีกำพร้าเช่นนาง ทว่าลับหลังเป่าหูให้บิดาส่งตัวบุตรีคนโตไปดัดนิสัยยังจวนบ้านนอกที่ทั้งเก่าและห่างไกลความเจริญร่วมสิบปี
ขนาดลูกสาวตัวจริงเคยจมน้ำวิญญาณตัวจริงตายจากไปแล้วยังมิรู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ
หากมิเกิดงานแต่งงานในครั้งนี้ขึ้นมา คงไม่มีทางที่ซูเมิ่งจะได้กลับมาเหยียบพื้นแผ่นดินที่เมืองหลวงกระมัง
เหอะ จะอย่างไรเสียอีก ก็พอมีแม่สื่อจากศัตรูเข้ามาเจรจาขอบุตรีบ้านนี้แต่งเข้าตระกูลหยางในฐานะภรรยารอง
จากตอนแรกที่คนในจวนประพฤติตัวราวกับมีบุตรคนเดียวมานับสิบปีก็กลับกลายเป็นลูกสาวสองคนขึ้นมาทันที
ในเมื่อทางฝั่งนู้นมิได้ระบุว่าต้องการลูกสาวคนใด ดังนั้นตระกูลซูจึงใช้ช่องโหว่ข้อนี้จับบุตรีแสนชังอีกคนหนึ่งใส่ตะกร้าล้างน้ำประเคนให้อีกฝ่ายอย่างมิต้องสงสัย
ซูเมิ่งคนใหม่แม้คาดเดาแผนการในครั้งนี้ออกแจ่มแจ้งก็มิคิดต้านทานเพราะนางเองก็ได้คิดแผนซ้อนลงไปแล้วอีกชั้นหนึ่ง โดยจุดประสงค์ของแผนนางนั้นแสนเรียบง่าย
คือ...ทำอย่างไรก็ได้ให้หลุดพ้นจากตระกูลที่เกลียดแสนเกลียดนางเสีย อยู่ไปก็มิรู้ว่าจะโดนวางยาพิษให้ตายตกตามมารดาของตนเองไปเมื่อไหร่ มิสู้ออกไปตายเอาดาบหน้า แม้ว่าหนทางข้างหน้านั้นจะเป็นถึงตระกูลของศัตรูก็ตามที
ในยุคโบราณนี้มีความเชื่อว่าบุตรโดยเฉพาะบุตรสาวเป็นสมบัติของบิดาผู้ให้กำนิด ส่วนบุตรสาวที่แต่งงานออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว หาได้สามารถหวนกลับคืนไม่ หลังจากแต่งงานไปสตรีจะเป็นสมบัติของสามี
ซูเมิ่งคิดว่านางเข้าไปที่นู่น อย่างน้อยก็เป็นถึงภรรยาคนหนึ่ง ได้ยินสาวใช้คุยกันว่าทางนู้นต้องการตัวประกันของคนในตระกูลนางเอาไว้ ได้ยินเช่นนั้นกลับยิ่งทำให้ซูเมิ่งสบายใจขึ้น
ตัวประกันอย่างน้อยก็มิสามารถสังหารกันได้
เพียงนางสงบเสงี่ยมเจียมตัวเองอยู่ในที่ของตนเพียงเท่านั้นชีวิตในชาตินี้ของนางคงสงบสุขแล้วกระมัง
พอฝั่งนั้นมิต้องการตัวประกันแล้วนางก็เพียงขอหนังสือหย่าจากพวกเขาและเดินทางออกไปหาที่เงียบสงบสักที่ในแคว้นเย่แห่งนี้อาศัยอยู่ก็มินานจนเกินรอ
ดังนั้นซูเมิ่งจึงสงบปากสงบคำเป็นพิเศษ ปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีของการแต่งงานให้ลุล่วงแม้ว่าจะมีแมลงหวี่แมลงวันมากมายพร้อมใจมาตอมระหว่างทางก็ตาม
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม
บทที่สิบเจ็ดภรรยาห่างไกลออกไปหากแต่ในขณะที่ซูเมิ่งกำลังนั่งรถม้าอยู่ข้างในห้องโดยสาร อยู่ดีดีรถม้าก็หยุดชะงักทันทีทันใดจนตัวนางเซถลาไปชนผนังรถดีที่ไม่ได้บาดเจ็บอันใด“ขออภัยขอรับคุณหนู ข้างหน้ามีทหารของทางการเพร่นพร่านเต็มไปหมด เกรงว่าจะเป็นคนของท่านแม่ทัพหยางเหวิน พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับคุณหนู”“!!”ไม่ได้นะ นางจะให้เขารู้ว่านางอยู่ที่นี่มิได้ ความผิดเดิมพวกเขายังมิทันได้คลายปมเลยสักนิด ความผิดกระทงใหม่เช่นนี้จะมีเพิ่มมิได้เกรงว่าหยางเหวินบุรุษที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่เช่นนั้น เขาจะมิยอมให้นางไปพบบิดาที่แคว้นหูอี๋ฉีแคว้นหูอี๋ฉีเป็นแคว้นที่ซูเมิ่งจำได้ว่าชายหนุ่มเคยทำสงครามด้วยมาก่อนเป็นหนึ่งในแคว้นที่อีกฝ่ายเกลียดชังยิ่งนักแม้ว่าในปัจจุบันสองแคว้นนี้จะกลายเป็นแคว้นพันธมิตรกันแล้วก็ตามซูเมิ่งเปิดม่านออกไปดูภาพความวุ่นวายภายนอกรถม้านางคาดเดาว่าแม่ทัพหยางอาจรู้แล้วว่านางหนีออกมาจากจวนของเขาซูเมิ่งไม่อยากกลับไปถูกกักขังเขาไม่สิทธิ์!แต่เนื่องจากซูเมิ่งเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องฉะนั้นการที่หยางเหวินทำเช่นนั้นจึงมิสามารถไปเรียกร้องกับใครได้เลยยุคโบราณที่บุรุษเป็นใหญ่เช่นนี้ช่างไม่ย
ส่วนทางด้านสตรีที่เป็นฝ่ายหนีออกมาจากจวนตระกูล หยาง นางหลบหนีออกมาโดยการปลอมตัวเป็นบ่าวสาวใช้ที่ติดตามหลงจู๊ร้านค้านางมานั่นเองในจดหมายซูเมิ่งได้ทำการบอกแผนการทั้งหมดตั้งแต่...ให้หลิ่งซานขนม้วนเอกสารมาเป็นกองใหญ่ๆ ไม่สามารถขนคนเดียวหมด โดยให้นำสาวใช้ใบหน้าเป็นแผลเป็นเหวอะหวะจนต้องคลุมหน้าเพราะอายสายตาผู้อื่นติดตามด้วยหนึ่งคนตอนขาเข้าให้เปิดใบหน้าให้ผู้คุ้มกันเรือนดู และให้อธิบายว่าซูเมิ่งสงสารจึงรับบ่าวคนนี้เข้ามาทำงานในร้านตอนขาออกแน่นอนว่าซูเมิ่งต้องสลับตัวกับสาวใช้ผู้นั้นเพื่อลอบออกไปข้างนอกอย่างแน่นอนนางก็เพียงสร้างรอยแผลปลอมบนหน้าและคลุมผ้าคลุมศีรษะออกจากจวนมาอย่างแนบเนียนที่ด้านข้างรั้วตระกูลหยางถัดออกไปอีกสองซอยมีรถม้าจอดรอรับซูเมิ่งอยู่แล้วหนึ่งคันโดยคนขับรถม้าเป็นลูกน้องของพี่ชายที่พลัดพรากกันของนางนั่นเอง“คุณชายโจวเฉิงเค่อให้มารับตัวคุณหนูขอรับ รีบขึ้นมาเถอะขอรับ”“ได้สิ แล้วพี่ชายข้าไปที่ใดรึ คิดว่าจะมารับด้วยตัวเองเสียอีก”“คุณชายไปจัดการธุระด่วนก่อนขอรับ ฝากบอกว่ามิต้องห่วงเดี๋ยวคุณชายจะตามคุณหนูมาอย่างแน่นอน”“หืม ธุระอันใดหรือ ไหนบอกว่าท่านพ่อส่งข่าวมาว่ามิสบายมิ
“ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านแม่ทัพ ได้ยินที่ข้าน้อยรายงานหรือไม่ขอรับ”หยางเหวินเหม่ออีกแล้ว เจ้านายเป็นเช่นนี้ลูกน้องเช่นเขาทำงานลำบากขึ้นทุกที หวงลู่ส่ายศีรษะอย่างทำใจในโชคชะตาตนเอง“ข้าได้ยิน นางต้องการให้นำหลงจู๊ไปพบนางที่เรือนใช่หรือไม่”“ขอรับ นายท่านมีความเห็นว่าเยี่ยงไรขอรับ”“หลงจู๊ของนางเป็นบุรุษหรือสตรี”“บุรุษขอรับ นามว่าหลิ่งซาน....”“ข้าไม่อนุญาต!”“เขามีลูกและภรรยาเรียบร้อยแล้วขอรับ”“ไยเจ้าไม่พูดให้จบตั้งแต่แรกหวงลู่”ก็เพราะท่านคัดค้านเสียงแข็งขึ้นก่อนน่ะสิ....หึหึ หวงลู่ได้แต่คิดในใจ“เช่นนั้น....อนุญาตหรือไม่ขอรับ”“ข้าจะห้ามทำได้เยี่ยงไร ในเมื่อร้านนั้นเป็นร้านที่นางรักยิ่ง แต่ให้บ่าวรับใช้เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนระหว่างนางพูดคุยด้วยแล้วกัน”หวงลู่อยากจะบอกเหลือเกินว่าเมื่อสักครู่เป็นเจ้านายเองนั่นแหละที่หึงหวงภรรยาตนเองออกนอกหน้าเพียงรู้ว่าหลงจู๊เป็นผู้ชายใจบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ไยปากเจ้านายของเขาจึงมิตรงกับใจตนเองเลยสักนิดสงสัยรอให้รู้ซึ้งถึงการสูญเสียก่อนกระมังจึงจะรู้สึก“ขอรับ แล้วเมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะกลับจวนขอรับ หรือจะนอนถาวรที่ค่ายทหารแห่งนี้ไปตลอด”“....”“ข้าน้อยถามม
ความคิดเห็น