สามปีผ่านไป
ในหอลู่เหลียนอันเป็นสถานที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเย่ ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองหลวงจึงนับเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงของแคว้นด้วยเช่นกัน
เมื่อก่อนหอลู่เหลียนรู้จักกันในชื่อโรงรับจำนำลู่เหลียนทว่าในตอนนี้แปรผันไปแล้วเนื่องจากธุรกิจภายในโรงรับจำนำเติบโตอย่างรวดเร็ว รวงร้านที่อยู่ภายในโรงรับจำนำแทบเรียกได้ว่าขายดีลูกค้าเยอะแซงหน้าโรงรับจำนำฉะนั้นเพื่อความเหมาะสมจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอรวมการค้าที่ชื่อว่าหอลู่เหลียนแทน
และหนึ่งในร้านค้าที่ประสบความสำเร็จมีลูกค้าแวะเวียนมาจำนวนมากทุกวันมิขาดสายคือร้านรักสุขภาพหลันฮวาที่มีเถ้าแก่เนี้ยโฉมงามปริศนาเป็นเจ้าของร้าน
“ยินดีต้อนรับทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมฟังแผนการดูแลสุขภาพประจำปีของพวกเราชาวหลันฮวา”
ดรุณีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเดินย่างกายอันน่าลุ่มหลงลงมาจากบันไดท่ามกลางสายตาของลูกค้าเกือบสามสิบคนที่กำลังนั่งรอการปรากฏกายของนาง
สตรีผู้ที่มิได้มีโอกาสได้เห็นทุกวัน
แม่นางหลันฮวา เถ้าแก่เนี้ยคนงามของร้านรักสุขภาพแห่งนี้
“สมาชิกที่ร้านเรายังคงได้รับสิทธิพิเศษเช่นเคย สินค้ามาใหม่และสิทธิในการจองแผนดูแลสุขภาพ ผู้ใดที่เป็นสมาชิกจะได้มีสิทธิจองก่อนเจ้าค่ะ สามวันให้หลังทางเราจะเปิดขายสำหรับลูกค้าทั่วไป”
“เถ้าแก่เนี้ยคราวที่แล้วข้าเห็นว่าสินค้าหมดเกลี้ยง ทั้งที่ข้ามาซื้อสมุนไพรที่ช่วยลดความอ้วนตัวใหม่ตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย ร้านหลันฮวาสามารถผลิตเพิ่มได้หรือไม่ขอรับ ข้าและอีกหลายคนพร้อมซื้อ”
แม่นางหลันฮวาเจ้าของร้านแย้มยิ้มภายใต้ผ้าคลุมหน้าโปร่งแสง
“ต้องขออภัยเจ้าค่ะนายท่าน เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ทำมีจำนวนจำกัด หากให้เพิ่มการผลิตเกรงว่าเป็นไปได้ยากยิ่ง หากให้ข้าแนะนำนายท่าน หากต้องการดูแลสุขภาพตนเองจริงๆ ให้สมัครสมาชิกกับทางร้านหลันฮวาเพราะสมาชิกทุกคนจะมีสิทธิพิเศษในการวางเงินจองสินค้าก่อนล่วงหน้า ร้านเราจะนับจำนวนคนสั่งจองและผลิตให้ตามความต้องการเจ้าค่ะ”
ฮือฮา
วันนี้เป็นวันที่ทางร้านหลันฮวาเปิดให้ลูกค้าเข้ามาฟังข่าวดีของทางร้าน โดยในหนึ่งปีร้านหลันฮวาจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจึงจัดให้ลูกค้าทั่วไปและลูกค้าประจำทั้งหลายสามารถเข้ามาฟังข่าวล่าสุดได้
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าไยวิธีการทำการตลาดของร้านหลันฮวาจึงแปลกใหม่มิเคยมีใครทำเช่นนี้
เพราะเจ้าของร้านเป็นใครไปมิได้ ซูเมิ่งสตรีจากมิติสาวล้ำสมัยยุคสองพันนั่นเอง
การทำการตลาดของร้านนางเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร้านค้าของนางเติบโตอย่างรวดเร็วจนถึงทุกวันนี้
ทั้งการทำสมาชิกกับลูกค้า
การเปิดนับยอดสั่งจองล่วงหน้าหรือที่สตรีในยุคนางเรียกว่าการพรีออเดอร์
นี่ยังไม่นับรวมการเพิ่มมูลค่าสินค้าโดยการทำให้สินค้ามีจำนวนจำกัด มิได้ซื้อกันอย่างง่ายดาย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากสินค้าที่ขายมิดีจริงใช้แล้วไม่เห็นผลลัพธ์ไม่ว่าการตลาดจะล้ำเลิศแค่ไหนก็ไม่มีทางเติบโตเช่นทุกวันนี้หรอก
มิติที่แล้วนางเป็นนักธุรกิจอายุน้อยร้อยล้านจากการทำคอร์สลดน้ำหนักแบบครบวงจรประสบความสำเร็จยิ่ง
ดังนั้นในมิตินี้นางจึงใช้ความรู้เดิมมาปรับใช้
ร้านนางเริ่มต้นจากการมีโชคโดยแท้
เมื่อสามปีก่อนซูเมิ่งเคยช่วยเหลือชายชราอ้วนซำผู้หนึ่ง ที่มารู้ในภายหลังว่าชายหนุ่มเป็นประมุขตระกูลลู่ผู้ร่ำรวยเป็นตระกูลที่เรียกได้ว่าค้าขายประสบความสำเร็จมาหลายชั่วอายุคน
ดังนั้นนางจึงสามารถเปิดร้านตนเองภายใต้โรงรับจำนำที่ยิ่งใหญ่ ทำเลทองโดยมิต้องจ่ายเงินค่าเช่าที่เลยสักเบี้ยเดียว
แต่ร้านอันแปลกใหม่ของนางจะมิประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้เลยหากวันนั้นนางมิตัดสินใจเสนอตนเองช่วยชายชราผู้นั้นในการลดน้ำหนักเพื่อทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นโดยไม่พึ่งยาหมอ
นางถนัดวิธีลดน้ำหนักแบบยั่งยืนคือปรับการกินและออกกำลังช่วยด้วยอย่างเหมาะสม
ใช้เวลาเพียงสามเดือนชายชราก็สามารถลดน้ำหนักได้
มีคนที่หนึ่งย่อมมีคนที่สอง สาม สี่ ห้าตามมาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งร้านของนางเป็นที่รู้จักเพราะเห็นผลลัพธ์ว่าคนที่นางช่วยลดน้ำหนักได้จริง สุขภาพดีขึ้นจริงนั่นเอง
บัดนี้ร้านของนางจึงเปิดเป็นร้านครบวงจรในการดูแลสุขภาพ โดยมีท่านหมอที่ปรึกษาประจำสองคน และเทรนเนอร์ที่นางเปลี่ยนชื่อให้คนยุคนี้เข้าใจง่ายเป็นผู้ฝึกอีกห้าคน เป็นทีมงานประจำร้านนางนั่นเอง
โดยในร้านมิเพียงเป็นสถานที่มาปรึกษาและร่วมแผนการดูแลสุขภาพเท่านั้น ที่ชั้นหนึ่งยังมีสินค้ามาวางขาย ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการช่วยลดน้ำหนักดูแลสุขภาพ
เช่นเวลานี้ที่ลูกค้าใหม่ทั้งหลายกำลังดื่มชาในจอกของตนเองนั่นก็คือชาเขียว
ชาเขียวสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญให้ร่างกายคนได้
“และชาที่พวกท่านกำลังดื่มนั้นสามารถช่วยทำให้ร่างกายพวกท่านลดไขมันได้เจ้าค่ะ แต่ต้องบอกก่อนว่ามิสามารถดื่มแต่ตัวนี้แล้วจะรูปร่างดีเลยทันที ต้องกินอาหารที่เหมาะสมและออกกำลังกายเป็นประจำด้วย หากใครสนใจสินค้าตัวใหม่นี้สามารถเลือกซื้อได้ภายในร้านเลยเจ้าค่ะ”
“วันนี้จบการพูดคุยเพียงเท่านี้ ขอบพระคุณลูกค้าใหม่ทุกท่านที่สนใจรักสุขภาพกับพวกเราชาวหลันฮวาเจ้าค่ะ”
ซูเมิ่งพูดจบก็เดินขึ้นบันไดกลับเข้าหลังร้านในทันที โดยไม่สนใจว่าเบื้องล่างร้านที่ชั้นหนึ่งผู้คนจะวุ่นวายแย่งชิงกันซื้อสินค้าตัวใหม่นี้ภายในร้านกันมากเท่าไหร่
“เถ้าแก่เนี้ยขอรับ จะกลับเลยหรือไม่”
ซูเมิ่งถอดผ้าคลุมหน้าออก
“กลับเลย ช่วงนี้ข้าต้องอยู่จวน อาจมิสามารถแวะเข้ามาดูได้บ่อยนัก หากมีเรื่องอันใดมิเกินกำลังเจ้าตัดสินใจแทนข้าไปได้เลยนะ หลิ่งซาน”
“ขอรับ”
ซูเมิ่งเดินเข้าไปผลัดเปลี่ยนชุดในห้องส่วนตัวของตนเองที่สร้างสำรองเอาไว้ชั้นบนสุดเผื่อเวลาที่นางต้องตรวจความเรียบร้อยของงานในร้านแล้วเลิกดึกก็สามารถค้างคืนที่นี่ไปเลย
อ้อ แม้ว่ายามปกติที่นางออกหน้าในฐานะเถ้าแก่เนี้ยของร้านนางจะปกปิดใบหน้าตนเองแต่ลับหลังต่อหน้าลูกน้องภายในร้านนางมิได้ปิดบังตัวตน
ความจริงนางก็มิอยากปกปิดฐานะที่แท้จริงของนางต่อลูกค้าคนอื่นหรอก ทว่าจำใจต้องทำเพราะกลัวเรื่องนี้แดงไปถึงคนตระกูลหยางแล้วอาจสร้างความเดือดร้อนตามมาภายหลัง
เอาไว้นางโดนเฉดหัวออกมาจากตระกูลนั้นก่อนแล้วกัน ซูเมิ่งสัญญาเลยว่านางจะเปิดเผยตัวตนอย่างจริงใจต่อลูกค้าทุกคนที่ไว้ใจร้านนาง
ก่อนกลับจวนนางมักเปลี่ยนเป็นชุดสีอ่อนเนื้อผ้าระดับปานกลางที่ทางท่านแม่ หมายถึงแม่สามีให้คนจัดส่งมาให้นางที่เรือนนั่นเอง
ภาพลักษณ์นางในสองหน้าที่ค่อนข้างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ซูเมิ่งในฐานะลูกสะใภ้ตระกูลหยางเป็นสตรีเรียบร้อย ว่าง่าย อีกทั้งยังสงบเสงี่ยมเจียมตัว ปกติมักเก็บตัวไม่พบปะผู้คนภายในจวนสักเท่าไหร่
ตรงกันข้าม
ซูเมิ่งในฐานะเถ้าแก่เนี้ยร้านรักสุขภาพหลันฮวานั้นคือโฉมงามผู้มีความมั่นใจและเด็ดขาดมิแพ้ชายชาตรีใด
ใช้เวลาไม่นานซูเมิ่งก็นั่งรถม้ามาลงที่ทางเข้าหลังจวนตระกูลหยาง ก่อนที่นางจะลงมาจากรถลากและเดินเข้าไปทางประตูด้านหลังอันเป็นทางเข้าออกประจำของนางนั่นเอง
“วันนี้กลับมาเร็วยิ่งขอรับแม่นาง”
................................................................
ไม่รู้ดำเนินเรื่องฉับไวไปไหมมมมมมม
กลัวรีดเบื่อกันนนนนน
ฝากคอมเมนต์และกดใจให้กันด้วยน้า
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม