LOGINถงซิ่นเหยาคาดไว้แต่แรกแล้วว่า บุรุษโง่เขลาผู้นี้ต้องตามมาเอาเรื่องนางในที่สุด เกรงว่า คงถูกสตรีผู้นั้นกรอกหูสาดคำพูดใส่จนเชื่อไปหมดราวกับคนไร้สมองกระมัง!
ทว่านางก็ยังอดขบขันในใจไม่ได้ เหตุใดเขาถึงได้โมโหโง่งมถึงเพียงนี้กันเล่า แม้แต่จะหาถามเหตุผลสักคำ ว่าเพราะหตุใดนางจึงต้องทำเช่นนั้น…เขาก็ยังไม่คิดจะถามเลยหรือ? ทันใดนั้น บรรยากาศในจวนพลันเงียบงันลงราวสายน้ำกลายเป็นธารน้ำแข็ง ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั่วจนไม่มีผู้ใดกล้าขยับหรือแม้แต่หายใจแรง เหล่าสาวใช้ต่างพากันก้มหน้าตัวสั่นระริกอย่างหวาดหวั่นว่าจะเกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกับเมื่อวานอีก เสียงใสของเด็กน้อยยังคงดังขึ้นอย่างร่าเริง “ท่านพ่อ!” แต่บุรุษที่ก้าวเข้ามากลับไม่ได้มีรอยยิ้มตอบกลับแม้แต่น้อย ดวงตาคมคู่นั้นลึกล้ำเยียบเย็น จนผู้คนมองเห็นล้วนรู้สึกหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูก หลี่เฉิงหยวนก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ ทว่าฝีเท้ากลับหนักแน่น ใบหน้าหล่อคมคายเรียบเฉยไร้อารมณ์ ภายในใต้แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาและโทสะที่ถูกกดไว้ จนแม้แต่ลมหายใจภายในเรือนก็คล้ายจะหยุดชะงัก “ถงซิ่นเหยา…” หลี่เฉิงหยวนกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ หากแต่เฉียบเย็นราวคมมีด “ปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาแล้วรึ…หรือเห็นว่ามีมารดาของข้าให้ท้ายจึงกล้าอวดดีถือดีเช่นนี้” น้ำเสียงทุ้มนั้นดังก้องสะท้อนในอากาศ กดทับลมหายใจจนเหล่าบ่าวไพร่รอบกายต่างหวาดหวั่นอยากจะหนีหายไป หัวคิ้วเรียวของถงซิ่นเหยาค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน นางมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งงัน แฝงความงุนงงและไม่พอใจในคราวเดียว มาหาถึงที่เช่นนี้…ก็เพื่อจะตามมาหาเรื่องเท่านั้นรึ? นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของถงซิ่นเหยาประสานสบตาเข้ากับบุรุษตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะปรายไปยังบุตรชายที่วิ่งออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทันใดนั้น…ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็แวบเข้ามาในหัว นางลอบกลืนน้ำลายลงคอ ความปวดร้าวแล่นจับหัวใจแน่นจนแทบหายใจไม่ออก “ท่านพ่อ!” เสียงใสของอาหรงน้อยดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กที่วิ่งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น หลี่เฉิงหยวนชะงักไปเล็กน้อย เขาเพียงปรายตามองบุตรชายด้วยแววตาเย็นชาหาได้ฉายอารมณ์ใดๆ ออกมา สีหน้าราบเรียบราวกับรูปสลัก ไม่มีแม้แต่ความอ่อนโยนผ่านแววตา เขาไม่แม้แต่จะโน้มตัวก้มลงหรือยื่นมือไปรับเด็กน้อยมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน แววตาของอาหรงน้อยที่สว่างวาบด้วยความยินดีเพียงแค่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าเล็กจะค่อยๆ เจื่อนลง เมื่อได้ยินน้ำเสียงทุ้มเย็นชาคำหนึ่งเปล่งออกมาจากปากของบิดาอย่างเฉียดเฉือนหัวใจ “ข้า…ไม่ชอบเด็ก” หลี่เฉิงหยวนพูด สายตาคมกริบที่ปรายมองอยู่เต็มไปด้วยความเย็นชา ไร้สายสัมพันธ์ของบิดากับบุตร ถ้อยคำพูดนั้นคล้ายคมมีดบาดกลางอากาศ ความหวังเล็กๆ ในดวงตาเด็กน้อยดับวูบลงทันที ใบหน้าสั่นสะท้านด้วยความเสียใจ ริมฝีปากเม้มแน่นราวกลัวจะหลุดเสียงสะอื้นออกมา ถงซิ่นเหยายืนนิ่งมองภาพเบื้องหน้า หัวใจดวงน้อยคล้ายถูกบีบแน่น ความเจ็บปวดไหลเอ่อล้นขึ้นมาแทบกระอักออกจากอก นางรู้ดีว่า เด็กน้อยผู้นี้รอคอยบุรุษผู้นั้นมานานเพียงใด ไม่ใช่เพียงหนึ่งวันหรือหนึ่งคืน…หากแต่เป็นนับตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลก ในนิยายกล่าวไว้ว่า หลี่เฉิงหยวนแต่งกับถงซิ่นเหยาเพราะคำสั่งของมารดา หาใช่ด้วยความเต็มใจไม่ เพราะหลี่เฉิงหยวนมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะสกุลถงมีบุญคุณต่อจวนหลี่อ๋อง เขาจึงจำต้องก้มหัวแต่งกับสตรีที่ตนรังเกียจ จนเมื่อถงซิ่นเหยาตั้งครรภ์ เขายิ่งชังน้ำหน้านางมากกว่าเดิม คิดว่านางจงใจใช้บุตรในครรภ์เป็นเครื่องมือต่อรองอำนาจ ถงซิ่นเหยาเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้รินไหลออกมา หาใช่เพราะรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังที่ไม่อาจเรียกร้องความจากบุรุษตรงหน้าได้ หากแต่นางสงสารเด็กน้อยผู้นี้ต่างหาก นางเพียงเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบาราวกับสายลมพัดโชยมา “อาหรง…มาหาแม่” หากบุรุษผู้นั้นรังเกียจนัก…นางก็หาได้ยัดเยียดให้เขาไม่! มีผู้ใดกันเล่าว่าลูกของนางจะเติบโตไม่ได้หากไร้บิดา? ในเมื่อสวรรค์อยากให้ชีวิตนางอยู่ต่อ เช่นนั้น…นางนี่แหละ จะเป็นทั้งบิดาและมารดาให้แก่อาหรงเอง! ร่างเล็กของอาหรงสะดุ้งเฮือกก่อนจะค่อยๆ เดินกลับเข้ามาในอ้อมแขนของมารดา ดวงตาใสคู่นั้นแดงก่ำอย่างน่าสงสาร ถงซิ่นเหยาโอบกอดบุตรชายแน่นราวจะปกป้องจากใต้หล้าที่โหดร้ายนี้ให้ได้จนลมหายใจสุดท้าย หลี่เฉิงหยวนจ้องมองสตรีตรงหน้า ดวงตาคมกริบแข็งกร้าว มุมปากหนาเหยียดยกยิ้มดูแคลน “หึ! มารดาเป็นเช่นไร บุตรก็เป็นเช่นนั้น” เขาเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ “ถึงว่าเรียกร้องความสนใจราวกับสตรีไร้ยางอายเหมือนมารดาไม่มีผิดเพี้ยน…ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก!” หนังตาของถงซิ่นเหยากระตุกริกๆ หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่น นัยน์ตาเมล็ดซิ่งวาววับเจือด้วยเพลิงโทสะที่แทบกลืนกินทั้งร่าง นางสูดลมหายใจลึก พยายามระงับอารมณ์ขุ่นเคืองที่เดือดพล่านอยู่ในอก ร่างทั้งสั่นระริกไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว หากแต่เป็นเพราะโทสะที่แทบจะปะทุออกมาทุกเมื่อ! หากมิใช่ว่ายามนี้มีอาหรงอยู่ตรงหน้า เกรงว่านางคงเงื้อมมือฟาดตีหัวบุรุษปากสุนัขผู้นี้จนแตกไปแล้ว! “หากหลี่อ๋องไม่เคยเห็นหม่อมฉันอยู่ในสายตา ก็อย่าเอ่ยวาจาให้เปลืองลม” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ใบหน้าคนงามเชิดขึ้น สบเข้ากับดวงตาคมกริบแข็งกร้าวคู่นั้นอย่างไม่ลดละ ถงซิ่นเหยาแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน ใบหน้าคนงามเจือด้วยรอยยิ้มจางๆ “ลูกของข้า...ข้าเลี้ยงเองได้! ไม่จำเป็นต้องพึงคนที่มีหัวใจเป็นหิน!” พอสิ้นคำ นางก้าวเข้าไปอุ้มอาหรงแนบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอีกครั้ง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งเย็นเยียบเฉือนลึกยิ่งกว่ามีด “น่าแปลกนัก…คนทั้งจวนก็กินข้าวจากฝีมือพ่อครัวเดียวกัน แต่ดูท่าหลี่อ๋องจะมีรสพิเศษกว่าผู้ใดนะเพคะ” มุมปากนางยกยิ้มเย็นชา ถงซินเหยาเอียงหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามตาอด้วยความใส่ใจอยากรู้ “สตรีผู้นั้นปรุงรสอันใดให้กันหรือเพคะ ถึงได้เชื่อฟังราวสุนัขรับใช้เช่นนี้ หากมีโอกาสหม่อมฉันคงต้องหาเวลาไปถามนางให้ชัดเจนเสียที…” นัยน์ตาเมล็ดซิ่งยังคงสบเข้ากับบุรุษตรงหน้าอย่างท้าทาย “ไป๋เหม่ยฮวา…ช่างมีความสามารถในการชักจูงผู้อื่นจนน่าแปลกใจนัก! เสมือนทำให้คนเป็นสุนัขได้จริงๆ” พอสิ้นเสียงถ้อยคำสุดท้าย ความเงียบงันก็ปกคลุมทั่วเรือน เหล่าสาวใช้ทั้งหลายต่างก้มหน้าตัวสั่น ไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะหายใจแรง หลี่เฉิงหยวนชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่ง ดวงตาคมกริบที่เคยเย็นเยียบพลันมืดดำลงด้วยโทสะ เขาก้าวเข้ามาใกล้ ห่างเพียงก้าวเดียว กลิ่นอายอำนาจแผ่ซ่านจนบรรยากาศคล้ายจะหยุดนิ่ง “เจ้ากล้าเปรียบข้าเป็นสุนัขงั้นรึ ถงซิ่นเหยา!” เขาเสียงกดต่ำตวาดก้อง ความเย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมทับอากาศไปอีกชั้น หลี่เฉิงหยวนกัดฟันกรอดจนเป็นสันกรามเส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วซีดเซียว โทสะพวยพุ่งราวกับเปลวเพลิง เผาผลาญความอดกลั้นแทบหมดสิ้น เขาหอบหายใจถี่ ราวกับพยายามกดโทสะที่คับแน่นเต็มอกไม่ให้ปะทุออกมา ทั้งที่ตั้งใจจะมาสั่งสอนนางให้หลาบจำ กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ถูกถ้อยคำของสตรีผู้นั้นตอกหน้าจนแทบยืนไม่ตรง! “ถงซิ่นเหยา…!” หลี่เฉิงหยวนกดเสียงต่ำ คล้ายพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ แต่ทุกถ้อยคำกลับเยียบเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งในฤดูเหมันต์ “รู้หรือไม่ ว่ากำลังพูดอยู่กับผู้ใดอยู่!” นางยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ก้าวถอย เหยียดหลังตรงดั่งไม้ไผ่ที่ไม่ยอมโน้มแม้ถูกพายุโหมพัด “หม่อมฉันเพียงพูดตามที่ตาเห็นเพคะ!” นางเอ่ยตอบกลับเสียงเรียบท่าทางนิ่งเฉยราวกับว่าหาได้พูดอันใดผิดไป ทว่าแววตาคู่งามกลับฉายแววเจ้าเล่ห์ “หลี่อ๋องสูงส่งเพียงนั้น หม่อมฉันย่อมไม่กล้าเปรียบ ไม่กล้าดูแคลนทำให้ขายหน้า…เพียงแต่ในสายตาหม่อมฉัน หลี่อ๋องไม่ต่างจากสุนัขก็เพียงตรงที่ยังมีตำแหน่งอ๋องเท่านั้น!” ดวงตาคมเข้มของหลี่เฉิงหยวนวูบไหว ราวกับถูกคำพูดนั้นแทงทะลุเข้าอก ก่อนจะฉาบด้วยความเยียบเย็นดังเดิม เขาแค่นเสียงหัวเราะแผ่วต่ำลอดออกจากลำคอ “หัวของเจ้าคงกระแทกแรงเกินไปจริงๆ ถงซิ่นเหยา” ถ้อยคำนั้นแฝงทั้งเย้ยหยันและข่มขู่ เขาก้าวเข้ามาใกล้ช้าๆ “อย่าริอาจอวดดีท้าทายข้า! ไม่เช่นนั้น บุตรชายของเจ้าคงไม่อาจอายุยืนได้ถึงร้อยปีได้!” ทันทีที่ถ้อยคำนั้น เหล่าสาวใช้ในจวนต่างสีหน้าซีดเผือดไปถ้วนหน้า บางคนถึงกับกลั้นหายใจด้วยความหวาดหวั่น เสียงลมหายใจของถงซิ่นเหยาชะงักค้าง นางเม้มริมฝีปากแน่นจนเลือดซิบ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งวูบไหว พลางกระชับอาหรงแน่นยิ่งกว่าเดิม ราวกับเกรงว่าบุรุษตรงหน้าจะพรากสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของนางไป นัยน์ตาเมล็ดซิ่งคู่งามสั่นระริกอยู่เพียงชั่วขณะ ก่อนจะแข็งกร้าวขึ้นอีกครั้ง “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ” ถงซ่งเหยาตอบเสียวแผ่วเบา ทว่ากลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “หลี่อ๋อง…มิใช่เพียงไร้หัวใจ แต่ยังขลาดกลัวถึงขั้นต้องเอาเด็กเล็กมาขู่สตรีผู้อ่อนแอเช่นข้า” ถงซ่งเหยาพลางแค่นหัวเราะออกมาอย่างเอือมระอา หลี่เฉิงหยวนชะงักงัน ความโกรธแล่นวาบขึ้นในดวงตาคม ปลายนิ้วมือสั่นเทา เขายกมือขึ้นราวจะเงื้อมตบ หากแต่เพียงปลายนิ้วสัมผัสถึงความอุ่นร้อนแห่งลมหายใจของนางตรงหน้า เขากลับชะงักไว้กลางอากาศ ดวงตาของถงซิ่นเหยาไม่แม้แต่จะหลุบลง นางยังคงจ้องสบเขาอย่างท้าทาย ไม่มีแววหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เพียงแต่ในอ้อมแขน ยังคงกอดอาหรงแน่นจนเด็กน้อยสะอื้นเบาๆ บรรยากาศรอบตัวเงียบงันจนแม้แต่เสียงลมพัดก็ได้ยินชัด เพียงชั่วอึดใจหนึ่ง น้ำเสียงทุ้มดังสะท้อนขึ้นอย่างเย็นเยียบจนน่าขนลุก “ดี…ช่างอวดดีนัก! ถงซิ่นเหยา” หลี่เฉิงหยวนขยับเข้าไปใกล้ พลางโน้มตัวลง กระซิบชิดหูของนาง ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเยียบเย็นดุจคมมีด “หากเจ้ากล้าแตะต้องไป๋เหม่ยฮวาให้ต้องเจ็บช้ำอีกก็อย่างหากว่าข้าไร้ความเมตตา!” พอสิ้นคำ เขาผละกายออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายเย็นเยียบและแรงกดดันอันหนักอึ้งที่ยังคงอบอวลอยู่ทั่วบริเวณ ถงซิ่นเหยาเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ลับตาไป นางหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างเอือมระอา “บุรุษเช่นนั้น…ยังจะให้เรียกว่าสามีได้อย่างไรกัน” ถงซิ่นเหยาก้มมองบุตรชายในอ้อมแขน พลางยกมือลูบผมเด็กน้อยเบาๆ พร้อมกระซิบเสียงแผ่ว “ไม่ต้องกลัวอาหรง…แม่จะไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องและรังแกเจ้าแน่…” ทั้งที่ภรรยาและลูกยืนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่บุรุษผู้นั้นกลับโง่เขลา…เลือกจะยืนข้างสตรีอีกคน! หึ! เช่นนั้นก็ดี เพราะยิ่งเขาเกลียดนางมากเท่าใด นางก็จะยิ่งสาดน้ำมันลงบนกองไฟนั้นให้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม จนกว่าหลี่เฉิงหยวนจะทนไม่ไหว… และกระอักเลือดตายไปต่อหน้านางให้ได้! ริมฝีปากของนางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งวาววับราวแสงมีด มือข้างหนึ่งลูบศีรษะอาหรงเบาๆ ขณะที่แววตาเต็มไปด้วยแผนการเอาคืน “สิ่งใดที่เป็นของเจ้าก็ย่อมต้องเป็นของเจ้าดั่งเดิม หากผู้ใดกล้ามาแย่งหรือเหยียบย่ำล่วงเส้นก็อย่าหวังว่าข้าจะยอมสงบ” แววตาถงซิ่นเหยาแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความจริงจังเจือด้วยความแค้นต่อเจ้าของร่างที่เคยถูกเหยียบย่ำ “มารดาย่อมทวงคืนให้อย่างสาสมแน่!” และหากผู้ใดที่ย่ำยีศักดิ์ศรีนาง ก็อย่าได้หวังว่านางจะยอม ต้องตอบโต้กลับจนต้องกลืนคำเสียดสีเอง เหยียบให้ไม่มีปากเหลือจะพูด!ภายหลังมื้อเช้าเสร็จสิ้นแล้ว นายท่านถงแม้จะไม่อยากห่างจากหลานชายแต่ก็จำใจต้องขึ้นรถม้าออกไปทำงานตามหน้าที่ ทั้งที่ในใจนั้นไม่อยากจากไปแม้เพียงชั่วอึดใจเดียว เพราะนานครั้งถึงจะได้อยู่ใกล้ชิดเช่นนี้หากมิใช่ว่าวันนี้ต้องเข้าวังหลวงแต่เช้าเพื่อเข้าร่วมประชุมที่ท้องพระโรง นายท่านถงคงอยากอยู่เล่นกับหลานชายให้มากกว่านี้เสียหน่อยยามเช้าวันนี้ หน้าประตูจวนสกุลถงจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งถงฮูหยิน ถงซิ่นเหยา และอาหรงต่างออกมายืนส่งนายท่านถงขึ้นรถม้า ทว่าอีกฝ่ายกลับมัวแต่ร่ำลาหลานชายอยู่นานไม่ยอมไปเสียที จนเกือบสาย หากไม่ถูกถงฮูหยินเอ็ดเข้าหนึ่งคำก็คงยังไม่ยอมขึ้นรถสายตาของทั้งสามมองตามหลังรถม้าที่ค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไปจนลับสายตา ก่อนจะพากันหมุนกายกลับเข้าไปในจวนถงซิ่นเหยาเหลียวมองเสี่ยวจูแล้วจึงพยักหน้า สั่งเสียงนุ่ม “พาอาหรงไปเล่นก่อนเถอะ...อีกเดี๋ยวแม่จะออกไปเดินเล่นด้วย”ประโยคแรกเอ่ยกับสาวใช้ ก่อนที่ถัดมานางจึงโน้มตัวลงพูดกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแฝงคำสั่งเบาๆ“ขอรับ!”เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ อย่างว่าง่าย ก่อนจะถูกสาวใช้คนสนิทของมารดาจูงมือพาออกไปลานกว้างหน้าประตูจวนสกุลถงจึงเหลือเพีย
“หมายความว่าอย่างไร”น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างกดข่มอารมณ์ หัวคิ้วเข้มขมวดแน่น สายตาคมกริบละจากบุตรชายในอ้อมแขน หันมองภรรยาที่นั่งอยู่ไม่ไกลหลี่เฉิงหยวนรู้ดีมาโดยตลอด ว่ามารดาและภรรยาผู้นี่ของเขาไม่เคยลงรอยกันนักแต่ในฐานะทั้งบุตรชายและสามี เขาเลือกจะนิ่งเฉยและทำเป็นเสแสร้งมองไม่เห็น หวังเพียงว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป ทั้งสองคงเข้าใจกันได้บ้างทว่าเมื่อครู่...คำพูดของไป๋เหม่ยฮวากลับแทงทะลุเข้าหูจนหัวใจสะท้านหนังตาของหลี่เฉิงหยวนกระตุกวูบ สีหน้ามืดครึ้มลงทันที“ท่านแม่เอ็นดูพี่หญิงมาก หม่อมฉันย่อมเข้าใจได้” น้ำเสียงของไป๋เหม่ยฮวาแผ่วเบาราวจะเลือนหายไปกับสายลม “ทว่าเหตุใดถึงมากล่าวหาว่าหม่อมฉันใช้เล่ห์รั้งหลี่อ๋องเอาไว้ผู้เดียว…”นางหลุบตาต่ำลง ไม่กล้ามองสามีตรงหน้า ใบหน้าคนงามประดับรอยยิ้มบางที่ไม่ถึงตา เจือความขมขื่นและอดกลั้นอยู่ในอกหลี่เฉิงหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาคล้ายไม่แน่ใจนัก “จริงหรือ…”ถึงมารดาจะไม่พอใจนักที่นางเข้ามาอยู่ในจวน แต่ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยลงมือหรือกลั่นแกล้งอย่างเปิดเผย นอกจากวาจาเหน็บแนมเมื่อมีโอกาสเท่านั้น อารมณ์ขุ่นมัวและความสงสัยเริ่
เมื่อคืนกว่าไป๋เหม่ยฮวาจะได้ล้มตัวลงบนเตียงก็ดึกอยู่มาก มิหนำซ้ำบุตรชายยังร้องไห้ไม่หยุด เสียงดังลั่นไปทั่วเรือน ทั้งที่มีแม่นมและสาวใช้นับสิบคอยดูแล แต่คนพวกนั้นกลับไร้ความสามารถแม้แต่เด็กผู้เดียวก็ทำให้สงบลงไม่ได้เด็กน้อยงอแงเพราะนอนผิดเวลาจึงเอาแต่ใจจนไม่ยอมดื่มนมจากอกของแม่นม และจะต้องเป็นนมจากเต้าของมารดาเท่านั้น!ไป๋เหม่ยฮวาหรือจะสนใจ นางเองก็เหนื่อยมาก จึงตวาดไล่สาวใช้ออกไปด้วยความหงุดหงิดและโมโห เดิมทีเด็กผู้นี้ถึงยุ่งยากตั้งแต่ยังไม่ทันได้เกิดด้วยซ้ำเพราะที่ผ่านมาไม่นับว่าง่ายดายนักไหนจะอุ้มท้องหนักใหญ่หลายเดือนเกือบปี พอคลอดออกมาแล้วเด็กยังเอาแต่ใจเช่นนี้อีก อย่าหวังว่านางจะสละตนเองเป็นมารดาที่ดีเชียวหรือ!ไป๋เหม่ยฮวานอนพลิกตัวไปมา พลางถอนหายใจด้วยความรำคาญบนเตียงหลายชั่วยาม ไม่อาจให้ข่มตาหลับได้ กระทั่งเกือบยามรุ่งสาง เสียงร้องของเด็กน้อยจึงสงบลง นางจึงได้พักผ่อนบ้างทว่าไม่ทันไร ราวกับเพิ่งหลับตาเพียงแค่ชั่วลมหายใจ กลับต้องถูกปลุกให้ตื่น ความอดทนของนางขาดสะบั้นทันทีไป๋เหม่ยฮวาตวาดเสียงดังลั่น ใบหน้าคนงามกลับเขียวคล้ำแดงกร่ำเต็มไปด้วยโทสะที่พุ่งพวยเต็มอก น้ำเสียงเล็กแหลม
ปลายยามซวี (19.00 – 21.00 น.)ไป๋เหม่ยฮวารอแล้วรอเล่า...ทว่าเงาของบุรุษที่นางรอคอยกลับไม่ปรากฏเสียที ความกังวลจึงค่อยๆ กัดกินหัวใจทีละน้อยจนสีหน้าเริ่มหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัดพักหลังมานี้...นับตั้งแต่นางคลอดหลี่อี้เซียน ก็ผ่านมากว่าสามเดือนเต็มแต่หลี่อ๋องกลับแตะต้องนางนับครั้งได้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เขาเคยลุ่มหลงนางราวกับคนสิ้นสติไม่รู้เหนือรู้ใต้เปลือกตาของไป๋เหม่ยฮวากระตุกถี่คล้ายเป็นลางร้ายบอกเหตุ ดวงตาคู่งามพร่างพรายด้วยแววกังวลจนแทบซ่อนไม่ได้ นางกำมือแน่น ก่อนจะตวาดเสียงแข็งใส่บ่าวไพร่“ไปตามหลี่อ๋องกลับจากวังหลวงเดี๋ยวนี้! ข้าจะรอดูว่าคืนนี้เขาคิดจะค้างที่ใดกันแน่!”เสียงสั่งการแฝงไปด้วยความเดือดดาล ยามนั้นเพลิงโทสะในอกของไป๋เหม่ยฮวาพลันปะทุขึ้นราวกับไฟลามแห้งทั้งที่ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว...แต่เขายังไม่กลับจวน!ทั้งที่ก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายมักจะกลับมาก่อนเวลามืดค่ำทุกวัน เพื่อกล่อมหลี่อี้เซียนเข้านอนด้วยตนเองแท้ๆ!นางหันขวับไปมองบุตรชายที่อยู่ในอ้อมแขนสาวใช้ ดวงตาแดงระเรื่อเพราะความขุ่นเคือง “เหอะ! หลี่อี้เซียน! ดูบิดาของเจ้าสิ ทั้งที่ภรรยาและลูกนั่งรออยู่ยังมีหน้าหายหัวไปกับสตรีท
ค่ำคืนนี้เงียบสงัดยิ่งกว่าทุกคืนที่ผ่านมา แสงตะเกียงภายในเรือนส่องวูบไหวอย่างอ่อนโยน ผสานกับแสงจันทราที่ลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่กลางลานกว้าง สาดเงาทอดยาวเข้ามาจนถึงหน้าต่าง กลืนรวมกับความสลัวจนเกิดเป็นภาพลวงตา คล้ายมีเงาผู้คนเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังถงซิ่นเหยานั่งอยู่บนเตียงในเรือนของบิดามารดา สายตาทอดมองบุตรชายที่กำลังหลับใหลอยู่ข้างกาย พลางยกมือเกลี่ยแก้มกลมคล้ายซาลาเปาของอาหรงดูสงบไร้เดียงสา เสียงลมหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวเสียงดนตรีกล่อมใจความกังวลพลันเอ่อล้นขึ้นในอก ทว่าความหวาดหวั่นกลับแทรกซึมตามมาอย่างเงียบงัน“ข้าจะปกป้องเจ้าได้หรือไม่” เสียงกระซิบของนางแผ่วเบา คล้ายตั้งคำถามกับโชคชะตามากกว่าที่จะพูดกับเด็กน้อยตรงหน้าชะตากรรมของเด็กผู้นี้…ถูกสวรรค์เล่นตลกหรืออย่างไรกัน เพียงได้เกิดมาก็ต้องเผชิญเคราะห์นับไม่ถ้วนเพียงแค่ใช้ชีวิตให้ปลอดภัยก็นับว่ายากเย็นนัก แล้วยังต้องคอยระแวดระวังภัยจากเงามืดที่พร้อมลอบทำร้ายอีกทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากนอกประตู ถงซิ่นเหยาหันไปมอง ก่อนที่ริมฝีปากของนางจะคลี่ยกยิ้มบางๆ เมื่อเห็นบิดาและมารดาก้าวเข้ามาในห้อง นางลุกขึ้นแล้วถอยห่างจาก
รถม้าออกจากจวนหลี่อ๋องในยามสายของวัน และกว่าจะเดินทางถึงจวนสกุลถงก็ยามค่ำพอดี แสงแดงอ่อนทาบทอทั่วท้องฟ้าเป็นสีหม่นระบายทองสกุลถงเป็นตระกูลขุนนางใหญ่สืบทอดอำนาจมาหลายชั่วอายุคน บิดาของถงซิ่นเหยารับราชการอยู่ในัวงหลวงเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดเบื้องไจ่ฮ่องเต้ ส่วนมารดาเป็นบุตรีตระกูลเก่าแก่ และยังเป็นพี่สาวของกุ้ยเฟยในวังหลวง จึงนับได้ว่าสกุลถงมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับราชสำนักวันนั้นที่ถงซิ่นเหยาได้รับพระราชทานสมรสกับหลี่อ๋องก็เป็นเพราะไจ่ฮ่องเต้มีประสงค์ต้องการผูกสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักกับกองทัพทหารแม้จะไร้รัก หากแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นางต้องจำนนรับชะตานั้นไว้ด้วยความไม่เต็มใจและไม่อาจปฏิเสธได้เมื่อเสียงล้อรถม้าค่อยๆ ชะลอหยุด ถงซิ่นเหยานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอุ้มอาหรงขึ้นแนบอก เด็กน้อยหลับซบอยู่บนตักตั้งแต่ระหว่างทาง นางจึงไม่คิดจะปลุกให้ตื่น“อื้อ…” เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อร่างน้อยถูกรบกวนหางตานางปรายมองบุตรชาย พลางยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังเบาๆ เพื่อกล่อมให้หลับต่อ แล้วจึงก้าวลงจากรถม้า มีเสี่ยวจูสาวใช้คนสนิทรีบเข้ามาช่วยถือโคมไฟและประคองแขนไว้ไม่ห่าง“พระชายาระวังเพคะ พื้นตรงนี้ต่า







