ログイン“เห็นถาดพวกนี้ไหม เราจะปลูกผักกันในบ้านให้งอกก่อน แล้วค่อยเอามาลงดินในบ้านผักอันนี้” เฟยเฟิ่งเริ่มอธิบาย
“ถ้างอกแล้วแผ่นคลุมยังไม่มาล่ะครับ” จื่อซวานสงสัย
“ก็ยังเอามาลงดินไม่ได้ รอให้มาก่อนเราค่อยปลูกลงดิน”
“รูนี้ไว้ทำอะไรคะ” ซูลี่วิ่งไปชี้ที่หลุมลึกตรงมุมโครงไม้
“รูนี้ไว้ใส่เศษอาหารที่เราไม่กินแล้วแต่ห้ามใส่เนื้อสัตว์นะ ถ้าเจอหญ้าแห้ง เศษใบไม้แห้งก็ต้องเอามาใส่ด้วย เปลือกมันที่น้าปอก ผลไม้ ผัก ถ้าเรากินไม่ทันก็เอามาใส่ได้”
เฟยเฟิ่งชี้ให้เด็กๆ ดูเศษมันฝรั่งที่เธอปอกเปลือกนอนแผ่อยู่ในหลุม “แล้วเดี๋ยวเราต้องหารอะไรมาปิดด้วย”
“ซูลี่หาให้ค่ะ” พูดจบเด็กหญิงก็วิ่งเข้าไปที่หลังบ้าน มีแต่จื่อซวานที่ยังนั่งมองเศษอาหารในหลุม
“ทำไมน้าไม่เอาไปหมักปุ๋ย” ซีจื่อซวานส่ายหน้า
“ก็นี่แหละหมักปุ๋ย”
“ไม่จริงสักหน่อยหมักปุ๋ยต้องทำในถังแยกแบบที่พ่อทำ หรือไม่งั้นก็ใช้มูลสัตว์”
“ของแบบนี้มีวิธีเดียวซะที่ไหนกัน สิ่งที่น้าทำก็เรียกว่าหมักปุ๋ย เราต้องมีผักผลไม้หรือใบที่ยังไม่แห้งจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลส่วนหนึ่ง เศษกิ่งไม้กับหญ้าแห้งอีกส่วนหนึ่ง ไส้เดือนก็จะมาย่อยให้กลายเป็นปุ๋ยไส้เดือนเอง”
“ไม่ต้องแยกถังจริงเหรอครับ”
“จริงสิฝังดินแบบนี้ ไม่ต้องเสียเวลาเอามาใส่ด้วย เราแค่ย้ายที่ไปเรื่อยๆ พอแล้ว”
“แล้วรากต้นไม้ของเราจะไม่ถูกกินเหรอครับ” จื่อซวานที่ได้ยินว่าไส้เดือนกินผักผลไม้ก็กังวลจนต้องขมวดคิ้ว
“เอ๋…น้าไม่คิดว่ากินนะ น้ารู้แค่ว่าถ้าฝังไว้ดินจะดี เพราะไส้เดือนต้องทะลุมากินอาหาร พอดินไม่แข็งเกินไปรากต้นผักเราก็เจาะไปหาอาหารได้”
อธิบายจบซูลี่ก็วิ่งมาพร้อมจานเก่าที่มีรูแล้วสองใบ “น้าเฟิ่ง!”
“โอ๊ะ มาแล้ว ซูลี่เอาไปปิดปากหลุมไว้เลย”
“ได้ค่ะ”
“งั้นถ้าปากไหนจะทิ้งเศษผักผลไม้ จื่อซวานจะไปขอมาให้น้าเฟิ่งเยอะๆ เลย”
“ขอบใจมากจ้ะ เรามาปลูกผักกันดีกว่า ต้องรีบทำให้เสร็จ ตอนบ่ายน้าจะสอนหนังสือให้”
“จริงนะน้าเฟิ่ง” จื่อซวานกล่าวพลางสวมกอดเฟยเฟิ่งเข้าเต็มแรง
“จริงๆ เลิกกอดได้แล้วนะ ทำงานก่อน”
“ซูลี่ช่วยด้วยค่ะ”
.
.
.
เมื่อว่านเฟยเฟิ่งและเด็กทั้งสองช่วยกันลงเมล็ดพันธุ์ผักเรียบร้อยแล้วก็ย้ายถาดกลับไปวางข้างหน้าต่างของบ้าน
“วางแล้วก็ออกมาล้างมือเร็วเข้า แปรงฟันด้วยนะ” เฟยเฟิ่งตะโกนสั่งเด็กๆ ระหว่างที่กำลังเลื่อนกระเป๋าเดินทางของตนกลับเข้าใต้เตียง
“มากินกันได้แล้ว” เสียงของป้าซูเจินดังขึ้นเรียกให้เฟยเฟิ่งเองก็รีบออกไปเช่นกัน
“จื่อซวานขออันทอดกรอบๆ”
“ยังไม่ล้างมือเลย ไปเลยนะ” เฟยเฟิ่งดุเมื่อเห็นจื่อซวานจะใช้มือที่เลอะดินอยู่จับอาหาร
.
.
.
“เอ๊ะ อันนี้ไส้ถั่วแดงนี่คะ” ว่านเฟยเฟิ่งขมวดคิ้ว ด้วยตนเองไม่ได้ทำไส้ถั่วแดงไว้
“แป้งมันเหลือ ป้าเลยทำไส้เพิ่มน่ะ”
“อ๋า อย่างนี้นี่เอง อร่อยจังค่ะ” เฟยเฟิ่งยิ้มให้ว่าที่แม่สามีเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย “ฉันว่าจะทำอาหารคาวสักสองอย่าง อาหารหวานสองอย่าง ป้าว่ายังไง”
“ทำไหวก็ทำเถอะ ฉันคงไม่ไปห้ามอะไรเธอหรอก” ป้าอันซูเจินตอบ
“งั้นวันนี้จะลองเอาโต๊ะมาตั้งขายของก่อน เรื่องไปตลาดคงต้องเตรียมตัวอีกหน่อย จื่อซวานซูลี่ก็ไปช่วยด้วยนะ”
“ครับ/ค่ะ”
เมื่อทุกคนกินอิ่มก็เป็นเวลาลากของที่กักตุนไว้มาขายออกไปตั้งหน้าบ้าน โต๊ะเก่าถูกวางพิงกำแพงบ้านไว้ ตาชั่งแขวนก็นำออกมาวางไว้ด้วย ส่วนเด็กน้อยทั้งสองรับหน้าที่ออกไปตะโกนบอกคนในหมูบ้าน และในหมู่บ้านที่อยู่ติดชิดกัน หลังจัดของเสร็จเฟยเฟิ่งรีบไปอาบน้ำแต่งตัวให้สะอาดสะอ้านเพื่อรอรับลูกค้า
ชุดที่เฟยเฟิ่งใส่วันนี้ก็ยังคงเป็นผ้าเนื้อดี จัดเข้าชุดกันอย่างสวยงาม เฟยเฟิ่งนึกชมเจ้าของร่างตัวจริงที่มีสัญชาตญาณแฟชั่นที่ล้ำสมัย ดูสวยงาม ขนาดในสายตาของเธอเองที่มาจากอนาคตยังต้องยอมรับว่าไม่เชยเลยสักนิด
“ถ้าฉันเกิดมาทั้งสวยทั้งรวยแบบเธอ ชั้นก็คงจะนิสัยไม่ดีนิดหน่อยเหมือนเธอนั่นแหละ ว่านเฟยเฟิ่ง” พูดจบก็ก้มหน้าเพราะความเศร้า ชีวิตยามเป็นรสาไม่ได้ดีนัก เกิดมาเป็นลูกสาวชาวสวน พอพ่อแม่ตายก็ถูกญาติพี่น้องโกงที่ดินไปจนหมด ต้องตะเกียกตะกายหาลู่ทางมาเรียนต่อเมืองนอกด้วยการสอบชิงทุนการศึกษา หวังจะสร้างชีวิตใหม่ด้วยใบปริญญา กลับมากลิ้งตกเนินตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นใครฉันก็จะต้องสร้างชีวิตใหม่ที่สุขสบายให้ได้
เพล้ง
เสียงของตกแตกดึงรสาที่ยามนี้เป็นเฟยเฟิ่งให้หันกลับไปมองได้ในทันที
“เสียงอะไรน่ะ” อันซูเจินตะโกนถาม
“แจกันตกน่ะป้า จู่ๆ ก็ร่วงลงมา” เฟยเฟิ่งที่หักมาตามเสียงเห็นแจกันร่วงอยู่ก็แปลกใจด้วยตนเองปิดประตูและหน้าต่างไว้ทั้งหมด
“ระวังด้วย ต่อให้เป็นสินเดิมก็อย่าสิ้นเปลือง! เพราะตอนเงินหมดคงไม่พ้นของลูกชายฉันแน่” อันซูเจินบ่นออกมาตามนิสัยเดิม
“ฉันไม่ได้ทำเลยป้า มันตกเองจริงๆ”
“นี่นายทำแจกันฉันร่วงเหรอ ถ้าทำลายข้าวของกันแบบนี้ฉันจะไม่ช่วยจริงๆ ด้วยบอกไว้ก่อน” เฟยเฟิ่งตัดสินใจโวยวายกับอากาศ “ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เมื่อคาดโทษเรียบร้อยแล้วเฟยเฟิ่งก็ออกไปที่โต๊ะขายของหน้าบ้าน พบกับผีหนุ่มตนนั้นที่ยืนรออยู่
“ผมไม่ได้ทำแจกันสหายว่านตก ผมเข้าบ้านนี้ไม่ได้”
“แล้วมันจะตกลงมาเองได้ยังไงกัน ลมไม่มีสักนิด” เฟยเฟิ่งเดินไปพูดกับผีหนุ่มที่ริมรั้วด้วยความไม่พอใจนัก ท่าทางแข็งกร้าวจนลืมว่ากำลังมีเรื่องกับผี
“บ้านสหายว่านมีผีผู้หญิงอยู่ เขาไม่ให้เข้าไป แต่จริงๆ ถ้าฝืนก็เข้าได้แน่ เพราะเขาอ่อนแอมาก” ผีหนุ่มอธิบายออกไป
“ห้ะ บ้านฉันมีผีเหรอ”
“อืม ผมเข้าไปได้แค่ที่ดินหลังบ้าน เพราะสหายเป็นคนเช่า และอนุญาตไว้”
“อ๋อ งั้นไว้ฉันไปขายของที่ตลาดจะพูดกับป้าขายผักให้นะ”
เมื่อเฟยเฟิ่งให้คำมั่นผีตนนั้นก็หายวับไปอีกครั้ง ปล่อยให้เฟยเฟิ่งหันมองรอบบ้านอย่างหวาดระแวง หวนนึกถึงคืนแรกที่ตนเองเห็นผีสะท้อนมาจากโอ่งเก็บน้ำ
ใช่แน่ๆ ฉันไม่ได้ตาฝาดไปจริงๆ
แต่คิดเพ้อเจ้อได้เพียงไม่นาน ซูลี่ก็วิ่งมาพร้อมกับลูกค้าคนแรกของวันนี้ “น้าเฟิ่ง ซูลี่พาลูกค้ามาแล้ว”
“สหายมีแป้งสาลี แป้งข้าวโพด กับข้าวสารครบเลยใช่ไหม” สตรีที่ดูโตกว่าร่างนี้เพียงสองสามปีเอ่ยขึ้น
“มีจ้ะ เอากี่กิโลดี ฉันชั่งให้”
“ข้าวสารสี่จิน แป้งสาลีสองจิน ส่วนแป้งข้าวโพดจินเดียวก็พอแล้วจ้ะ”
“ได้เลย ฉันชั่งให้เดี๋ยวนี้เลย” เฟยเฟิ่งรีบหยิบถุงจัดการให้กับลูกค้า ส่วนซูลี่ที่พาลูกค้ามาส่งก็ขอไปเล่นกับหลันลี่อ้างว่างานตัวเองเสร็จแล้ว
“ตะวันตรงหัวแล้วต้องกลับมานะ”
“จ้ะน้าเฟิ่ง สหายรอเดี๋ยวนะ ฉันพึ่งขายวันแรก ยังกะปริมาณไม่เก่งเท่าไหร่” เฟยเฟิ่งพูดพลางตักแป้งเพิ่ม เพราะแท่งไม้ยังไม่ตรงดี
“ได้ๆ ยืนรอแค่นี้ดีกว่าเดินไปถึงตลาดเยอะเลย” ลูกค้าสาวยืนยิ้มอย่างพอใจ
“แต่เดี๋ยววันมะรืนฉันจะไปขายของที่ตลาดด้วย ถ้าสหายอยากได้เนื้อสัตว์สั่งกับฉันไว้ได้เลยนะ มารับที่บ้านฉันตอนเย็น ฉันคิดค่าหิ้วลี่ละเฟินเท่านั้น”
“ดีจริง งั้นฉันเอาหมูสองลี่ ไก่ลี่เดียว”
“ได้จ้ะ ฉันจดไว้ให้ ค่าหมูกับไก่ค่อยมาจ่ายตอนรับของ ตอนนี้แค่ค่าหิ้วสามเฟิน ส่วนแป้งกับข้าวสารหยวนนึงพอดี”
“หนึ่งหยวนสามเฟิน เท่าๆ กับในตลาด ดีจริงๆ ฉันจะบอกคนให้มาซื้อกับสหายนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” เฟยเฟิ่งตาเป็นประกายค้อมหัวขอบคุณลูกค้าจนลับตาไป มือกำเงินที่หาได้ด้วยตนเองก้อนแรกด้วยความหวงแหน
“น้าเฟิ่ง ลูกค้ามา!”
เสียงของจื่อซวานมาก่อนตัว นั่นทำให้เฟยเฟิ่งรู้ว่าการตั้งขายของหน้าบ้านคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง
“รู้แล้ว”
บทที่ 39 เอาอาหารไปส่งสามีสองสัปดาห์ผ่านไปแปลงผักในพื้นที่หลังบ้านเริ่มที่จะเข้าที่แล้ว ช่วงแรกแม้จะทดลองปลูกกันไปแล้ว แต่การจัดสรรพื้นที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต้องลดปริมาณผักที่เก็บไปส่งให้ป้าจูด้วย แต่เมื่อตกลงกันกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองเดินหน้าเต็มกำลังหลังบ้านซีไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ พื้นที่จุดที่ได้รับเฉพาะแดดเช้าลงผักที่ไม่ต้องการแดดมาก ในโรงเรือนมีเห็ดหลากชนิดให้หมุนเวียนตัดไปกินและขาย เหนือพื้นดินด้านนอกมีราวไม้สำหรับแขวนกระถางปลูกผักเพิ่ม อีกแถวไว้ปลูกกล้วยไม้สวยงามจากในมิติที่เฟยเฟิ่งอ้างว่าพบเจอบนภูเขา หากขยายพันธุ์ให้ดีก็สามารถทำเงินได้ ด้วยผู้คนยังนิยมให้กันเป็นของขวัญนอกจากนั้นแล้วยังมีไก่ที่ซีจื่อซวาน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ