เข้าสู่ระบบว่านเฟยเฟิ่งนอนซมจับไข้ในวันถัดมาจึงทำให้แผนเปิดร้านต้องชะลอไปหนึ่งวัน เธอสอดส่องให้แน่ใจว่าไม่มีผีตนนั้นรอมาคุยตามสัญญา ก็ลอบถอนหายใจออกมา แล้วค่อยๆ ก้าวขาออกจากห้องนอน
“ตื่นได้แล้วสินะ” เสียงของว่าที่แม่สามีดังขึ้นทันทีที่เห็นตัวเฟยเฟิ่ง
“เมื่อคืนออกไปขุดดินตอนกลางคืน มันคงหนาวเกินไป ฉันเลยมีไข้” เฟยเฟิ่งอธิบายออกไป โดยละเว้นส่วนที่ตนเองเจอผีออกไป เพราะไม่แน่ใจว่าสตรีผู้นี้จะเชื่อเรื่องราวเหนือธรรมชาติบ้างหรือไม่
“อืม เจองูด้วยใช่ไหม ร้องเสียงดังแบบนั้น ในเมืองไม่มีล่ะสิ”
“ค่ะ ฉันไปทำกับข้าวนะ คงใช้เนื้อหมูเป็นมื้อเช้า ฉันกลัวทิ้งไว้นานแล้วจะเสีย” เฟยเฟิ่งพยักหน้าเดินเลี่ยงไปหลังบ้าน
ว่านเฟยเฟิ่งล้างหน้าแปรงฟันที่หลังบ้านให้เรียบร้อยถักผมเป็นเปียเก็บจนเรียบร้อย ก็เห็นอันซูเจินนั้นเดินตามออกมาด้วยอย่างเชื่องช้า ในมือถือห่อผ้าที่มีข้าวสารจากเมื่อคืนออกมา หญิงวัยกลางคนเริ่มจุดเตาและนำหม้อมาตั้งใส่ห่อผ้าทำสองลงไป เฟยเฟิ่งที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา เพราะหากลุกมาทำเองเช่นนี้ย่อมหมายความว่าความอุ่นช่วยให้เข่าของซูเจินดีขึ้นจริงๆ
ว่าที่แม่สามีและว่าที่สะใภ้มิได้พูดคุยอะไรกันต่อ คนหนึ่งผสมแป้ง อีกคนหนึ่งรอจนห่อผ้าอุ่นดีก็นำมาประคบจากนั้นก็ผูกเชือกไว้ไม่ให้เกะกะต้องนั่งจับ และใช้หม้อเดิมต้มสมุนไพรบางอย่างต่อ
“แค่กๆ อากาศแห้งจริง” เฟยเฟิ่งบ่น
“อืม ถ้าหายใจยากเกินไป เอาน้ำมันทาบางๆ ในโพรงจมูกจะช่วยได้ ไว้กลางวันแดดจัดค่อยพากันอาบน้ำ ตอนนี้หนาวเกินไป”
ป้าอันที่เคยเอาแต่เหน็บแนม เมื่อหันมาพูดดีกับว่านเฟยเฟิ่งก็สร้างความสับสนไม่น้อย เธอจึงยิ้มตอบพยักหน้ารับในระหว่างที่มือกำลังคนไส้หมูที่ผสมมันฝรั่งเข้าไปด้วยเพื่อให้จำนวนหมูที่เหลืออยู่เพียงพอกับการทำซาลาเปาสี่คนอิ่ม
“ซาลาเปานี่เราทำทั้งแบบนึ่งแบบทอดเลยนะป้า อร่อยดี”
“อืม อาหารเมื่อวานก็อร่อยดี ขอบใจนะ” อันซูเจินว่าพลางยกหม้อลงเทยาใส่ถ้วย แล้วยื่นมาทางเฟยเฟิ่ง “ดื่มซะ”
“ทำไมจู่ๆ ป้าก็ดีกับฉันล่ะ”
“แลกกับลูกประคบ ฉันดีขึ้นมากจริงๆ แล้วเธอก็บอกว่าจะตั้งใจดูแลครอบครัวเรา ฉันก็ขอบใจ แต่อย่าพึ่งได้ใจไป ฉันยังไม่ยอมรับลูกสะใภ้คนเมืองหรอกนะ” อันซูเจินถอนหายใจ
“ถอนใจทำไมกันป้า ฉันเป็นคนต้องกระดกยา ไม่ใช่ป้านะ” เฟยเฟิ่งยิ้มก่อนจะบีบจมูกกลั้นใจกลืนยาต้ม
“พูดไปเรื่อยเปื่อยไม่เลิกจริงๆ เอาเป็นว่าส่วนของเธอป้าจะไม่ยุ่ง แต่บุญคุณระหว่างป้ากับอันผิงเจินก็ไม่อาจละทิ้ง ที่ชีวิตผิงเจินเป็นอย่างตอนนี้คนที่ผิดคือป้าเอง”
อันซูเจินลอบถอนหายใจออกมา “ฉันช่วย ซาลาเปาฉันทำได้ แต่อาหารแบบเมื่อวานไว้เธอมาสอนแล้วกัน ได้ยินว่าจะทำขาย”
“จ้ะป้า ฉันไม่ได้รังเกียจชนบทหรอก แต่เราอยู่กันอย่างนี้ไปจนตายไม่ได้ ไกลโรงพยาบาล ไกลโรงเรียน จื่อซวานไม่น่าห่วง แต่ซูลี่ถ้าให้มาเป็นชาวนาไปทั้งชีวิตไม่ดีแน่”
“ไปๆ ฉันนึ่งได้ เมื่อคืนทำอะไรค้างไว้ก็ไปเธอ ถ้าเด็กๆ ตื่นแล้วจะส่งออกไปช่วยงาน” ซูเจินไล่เฟยเฟิ่งออกมา ด้วยไม่อยากจะเผลอพูดคุยดีๆ กับว่าที่ลูกสะใภ้ที่นางไม่เห็นด้วยผู้นี้มากเกินไป
ก่อนที่เฟยเฟิ่งจะเข้ามาเหยียบในบ้านหลังนี้ ซูเจินได้ข่าวจากบุตรชายว่ามีเศรษฐีผู้หนึ่งต้องการให้เขาแต่งงานกับลูหลานสาวของตนเอง โดยจะแถมเงินค่าจ้างมาด้วย จื่อหานที่ต้องการทุนไว้ส่งจื่อซวานและซูลี่เรียนก็ตอบตกลงไป เพราะห่วงทั้งมารดาและลูกๆ เมื่อต้องมาทำงานไกลบ้าน และเขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสกับลูกสาวบ้านใดเลย ต่อให้เป็นสตรีอัปลักษณ์จนต้องจ้างคนให้แต่งงานด้วย จื่อหานก็ไม่สน ขอแค่มีคนมาช่วยกันดูแลครอบครัวเขาก็พอใจแล้ว
ส่วนด้านอันซูเจินคิดอคติตั้งแต่ก่อนเจอว่าสตรีที่ต้องให้พ่อแม่จ้างคนมาตบแต่งด้วยย่อมมีขอผิดพลาดร้ายแรงบางอย่าง เพราะเชื่อจนสุดใจว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอับจนจนต้องจ่ายเงินให้ผู้ชาย และแต่งมาโดยไม่มีสินสอด
ครั้งแรกที่เจอหน้าของว่านเฟยเฟิ่งก็ต้องตกใจกับภาพลักษณ์ที่ดูเพียบพร้อมสวยงามสมบูรณ์ในทุกมิติ หน้าตา ผิวพรรณ ผม และเล็บมือ ล้วนรวมได้ว่าเป็นคนสวยจัด แต่เมื่อได้เห็นกิริยาการพูดจาจึงเข้าใจว่าการแต่งงานครั้งนี้คือบทลงโทษดัดนิสัยของเด็กสาวตรงหน้า
“เฮ้อ ถ้าเธอทำใจได้จริงก็ดีกับตัวเธอนะ” ซูเจินกล่าวลับหลัง มองสตรีร่างเล็กที่กำลังพลิกหน้าดินอยู่หลังบ้าน
.
.
.
ว่านเฟยเฟิ่งขุดหลุมลึกไว้ที่สองมุมตรงข้ามกันเป็นแนวทแยง เตรียมไว้เป็นพื้นที่ใส่เศษอาหารเพื่อหมักปุ๋ยในดิน ดึงดูดหนอนให้มากินอาหารและช่วยต้นผักของเธอให้เจริญเติบโต ส่วนดินที่ขุดออกมาถูกย้ายไปอยู่ในถาดอนุบาลต้นกล้า
ทว่าก่อนที่จะได้เริ่มจิ้มรูเพื่อหยอดเมล็ดพันธุ์ผัก เสียงที่เฟยเฟิ่งจำได้ไม่มีวันลืมก็ดังขึ้น “สหายว่าน”
“โถ่ ทำไมถึงมาจริงล่ะ” เฟยเฟิ่งหลับตารีบพนมมือขึ้น “นะโมตัสสะ”
“สหายว่านอย่าทำแบบนั้นเลย ผมมาดีนะ ผมแค่มีเรื่องให้ช่วยจริงๆ” ผีหนุ่มตนนั้นบอก
“ให้ช่วยอะไร อย่าทำหน้าตาน่ากลัวนะ ถ้าช่วยเสร็จแล้วสัญญาว่าจะไปฉันถึงจะช่วย” เฟยเฟิ่งยังคงยกมือไหว้และหลับตาปี๋อยู่
“สัญญาๆ ที่ผมติดอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้ก็เพราะเรื่องนี้ สหายยอมช่วยเหลือเถอะ”
“ก็ได้ๆ ช่วยก็ได้” เฟยเฟิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง เมื่อเห็นว่าผีหนุ่มตรงหน้าดูเหมือนคนปกติก็เริ่มหายกลัวไปสักหน่อย
“สหายจำแม่ค้าขายผักได้ใช่ไหม ผมมีบางอย่างที่รอบอกกับเธอคนนั้นมายี่สิบปีแล้ว สหายช่วยไปบอกเธอให้ไปที่บ้านก่งที่หมู่บ้านซานต้ง ในลิ้นชักลับของตู้ไม้สีดำมีจดหมายฉบับหนึ่งอยู่”
“ลิ้นชักเปิดยังไง แล้วรู้ได้ยังไงว่าคนบ้านก่งยังไม่ทิ้งลิ้นชักไปน่ะ” เฟยเฟิ่งที่ได้ยินว่าเป็นเรื่องที่รอคอยพยายามจะบอกกันมาถึงยี่สิบปีก็หูผึ่งอยากรู้ขึ้นมาจนลืมกลัว
“ไปให้ได้ก่อนแล้วผมจะบอก ส่วนลิ้นชักตอนนี้น่ะหลานชายใช้อยู่ ไม่มีใครทิ้งไปไหน เพียงแต่ยังไม่มีใครหาช่องลับเจอ” ผีหนุ่มอธิบายออกมา
“แล้วเป็นอะไรกับป้าเขาเหรอ สำคัญมากสินะ” เฟยเฟิ่งยิ้มกรุ่มกริ่ม
“น้าเฟิ่ง!” เสียงของเด็กทั้งสองดังประสานกันขึ้นมาเรียกความสนใจของเจ้าของชื่อให้หันไปมอง
“เด็กๆ ตื่นแล้วเหรอ มาดูนี่เร็ว” เฟยเฟิ่งกวักมือเรียกจื่อซวานและซูลี่ จากนั้นก็หันกลับมาจะทวงคำตอบจากผีที่เธอลืมถามชื่อก็เห็นว่าผีตนนี้หายไปเสียแล้ว
“อ้าวไปซะแล้ว”
“ใครไปเหรอน้าเฟิ่ง” ซูลี่ที่วิ่งมาถึงก่อนถามออกมา
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
บทที่ 39 เอาอาหารไปส่งสามีสองสัปดาห์ผ่านไปแปลงผักในพื้นที่หลังบ้านเริ่มที่จะเข้าที่แล้ว ช่วงแรกแม้จะทดลองปลูกกันไปแล้ว แต่การจัดสรรพื้นที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต้องลดปริมาณผักที่เก็บไปส่งให้ป้าจูด้วย แต่เมื่อตกลงกันกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองเดินหน้าเต็มกำลังหลังบ้านซีไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ พื้นที่จุดที่ได้รับเฉพาะแดดเช้าลงผักที่ไม่ต้องการแดดมาก ในโรงเรือนมีเห็ดหลากชนิดให้หมุนเวียนตัดไปกินและขาย เหนือพื้นดินด้านนอกมีราวไม้สำหรับแขวนกระถางปลูกผักเพิ่ม อีกแถวไว้ปลูกกล้วยไม้สวยงามจากในมิติที่เฟยเฟิ่งอ้างว่าพบเจอบนภูเขา หากขยายพันธุ์ให้ดีก็สามารถทำเงินได้ ด้วยผู้คนยังนิยมให้กันเป็นของขวัญนอกจากนั้นแล้วยังมีไก่ที่ซีจื่อซวาน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ







