ログイン“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”
“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”
“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกัน
มือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอเบาๆ ด้วยไม่ต้องการให้ตกใจ แต่ครู่เดียวเท่านั้นก็ชักมือกลับ
“ผมขอโทษที่เข้าใจผิด ผมกลัวจะเกิดเหตุการณ์อย่างเมื่อตอนแต่งภรรยาคนที่สอง เธอตีจื่อซวานจนเดินไม่ได้ไปหลายวัน อะไรที่เกี่ยวกับลูก ผม…ผมขอโทษ”
“ฉันเข้าใจและยอมรับว่าช่วงแรกฉันทำแบบนั้นจริง ฉันไม่เคยมีลูก ฉันไม่รู้ว่าจะเลี้ยงเด็กยังไง ไม่ชินสถานที่ ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง แม่คุณก็เกลียดฉัน ฉันไม่รู้ว่าทำไมคุณไม่อยู่รอให้ฉันปรับตัวได้ก่อน คุณควรจะอยู่เพื่อบอกฉันว่าฉันต้องทำอะไรบ้าง ไม่ใช่โยนฉันลงสระทั้งที่ฉันว่ายน้ำไม่เป็นแบบนี้”
“ผม…”
“ฉันยังพูดไม่จบ อย่ามาขัดนะ!”
“ครับ” จื่อหานพยักหน้า
จากที่เฟยเฟิ่งถูกขังดันตัวไว้ติดต้นไม้ กลายเป็นว่าตอนนี้เธอกำลังเดินหน้าใช้นิ้วจิ้มลงไปบนอกของซีจื่อหานในทุกพยางค์ที่พูด
“ฉันอายคนแค่ไหนรู้ไหม ฉันไม่เข้าใจว่าฉันมันแย่จนคุณไม่อยากจะเจอหน้าเลยรึไง ทั้งที่ฉันก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เลวร้ายอะไร ชาวบ้านอย่างคุณกล้าดียังไง ทิ้งให้ฉันเป็นเจ้าสาวที่เจ้าบ่าวไม่ต้องการ ฉันก็เลยพาลไปหมด ถ้าเรื่องนี้จะโทษใครก็โทษตัวเองเถอะ”
“ฉันลุกขึ้นมาทำตั้งหลายอย่าง หรือจะรอถามเด็กๆ ว่าฉันเป็นแบบนั้นอยู่รึเปล่าก็ยังได้ แต่นี่คุณลากฉันออกมากลางแดด ฉันนึกว่าคุณจะเป็นคนดีอย่างที่อาหญิงยืนยัน ที่ไหนได้!”
ว่านเฟยเฟิ่งอธิบายไปสะอึกสะอื้นไป เล่าทั้งความจริงที่ร่างเดิมรู้สึก และการแต่งเติมของเธอเอง เฟยเฟิ่งพอจะดูออกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนประเภทตัวเองเจ็บได้ แต่คนรอบข้างต้องไม่เจ็บ เลยคิดจะบิดพลิ้วให้เป็นความผิดของเขาไปแทน หากฟ้าดินจะคิดว่าเฟยเฟิ่งคนนี้นิสัยไม่ดี ปั่นหัวคนอื่นเล่น เธอก็จะสู้ขาดใจเหมือนกันว่าไม่ควรมีใครต้องมารับผิดในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
“ผมขอโทษครับ ที่หลังผมจะฟังคุณก่อน ที่คุณพูดมาผมเองก็ทำไม่ถูกจริงๆ”
“อย่าเอาเรื่องในอดีตมาตัดสินฉันอีก ฉันแก้ไขอะไรให้คุณไม่ได้ ขอโทษที่เคยตีลูกของคุณ ต่อไปจะไม่ทำอีกค่ะ” เฟยเฟิ่งพูดจบก็กลับไปนั่งใต้ต้นไม้
ซีจื่อหานยืนอยู่สักพักก็เดินไปที่กระสอบยกมาพิงไว้ข้างตัวเฟยเฟิ่ง “ผมขอไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องการไถหน้าดินก่อน แล้วจะพาคุณกลับบ้าน”
“ค่ะ ฉันนั่งรอที่นี่นะคะ” เฟยเฟิ่งปาดน้ำตาตอบจื่อหานออกไป
จื่อหานธงแตงโมไหมไม่รู้ แต่ฉันเนี่ยธงแดงแน่ๆ
ว่านเฟยเฟิ่งนั่งกอดเข่ารออยู่ใต้ต้นไม้ครู่หนึ่งก็รู้สึกเบื่อ เลยออกไปดูนาข้าวให้เห็นใกล้ๆ ชาติก่อนเธอมีพ่อแม่เป็นเกษตรกรก็จริง แต่เพราะเป็นชาวสวนจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการทำนาข้าวสักอย่างเดียว
“สหายว่าน วันนี้ถูกสามีบังคับให้มาลงนาเหรอ” ชาวบ้านหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าจื่อหานไม่อยู่ทำหน้าดุแถวนี้แล้ว
“ทำนองนั้น แต่ว่าคุยกันเข้าใจแล้ว ฉันไม่เคยทำนาเอาเวลาไปหาเงินอย่างอื่นคงเป็นประโยชน์กว่า” เมื่อตอบออกไปก็เริ่มรู้สึกร้อนเฟยเฟิ่งจึงถอดเสื้อคลุมแขนยาวที่มักจะใส่กันแดดออก และเอาพาดแขนไว้
“คนเมืองนี่ขาวจริงๆ” หญิงชาวบ้านคนนั้นเอ่ย “แต่ก็ดีแล้วล่ะที่เธอรู้จักหาเงิน สามีคนนี้น่ะ…เฮ้อ ฉันไม่พูดดีกว่า ไปล่ะ”
“อ้าวเดี๋ยวก่อนสิ ทำไมกัน เขาทำไมคะ” เฟยเฟิ่งจะเดินตามไป แต่เมื่ออีกฝ่ายเดินลัดไปในจุดที่มีวัชพืชมากมายเธอก็ไม่กล้าตามเข้าไป จึงได้แต่ยืนหงุดหงิดอยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นว่าซีจื่อหานยังคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านไม่จบ ว่านเฟยเฟิ่งก็เริ่มมองว่าพอจะมีคนรู้จักออกมานาบ้างไหม และแล้วก็หันไปเห็นเหมยหลันหิ้วตะกร้ามาไกลๆ จึงรีบวิ่งไปหา
“เหมยหลัน!”
“อ้าวเฟยเฟิ่งก็เอาข้าวมาส่งสามีเหรอนี่ น่าจะกลับมาแล้วใช่ไหม” เย่เหมยหลันยิ้มออกมาเมื่อเห็นสหายของตน
“อืมกลับมาแล้ว แต่ฉันเปล่าเอาข้าวมาส่งหรอก เพิ่งจะมาพร้อมกันน่ะ สามีเธอกลับมาหลายวันแล้วเหรอถึงมาลงนาแล้ว”
“อืมปีนี้เราทำแบบหมู่บ้านเสี่ยวกังเป็นปีแรก ที่ท่านผู้นำบอกว่าแมวดำหรือขาวขอให้จับหนูได้เป็นพออะไรทำนองนี้น่ะ พอไม่ทำนารวมก็เลยต้องตั้งใจหน่อย จะมีข้าวกินไหมก็อยู่ที่ตัวเอง” เหมยหลันอธิบายออกมา
“อ๋า นึกออกแล้วสองปีก่อนพวกเขาลักลอบทำสัญญากัน ถ้าทางการจับได้ถึงขั้นจะรับผิดชอบดูแลลูกๆ ของคนที่โดนจับเลยนะ แต่พอความแตกเพราะได้ผลผลิตมากผิดปกติ นอกจากจะไม่โดนจับแล้วยังถูกสรรเสริญลงหนังสือพิมพ์อีก สุดยอดไปเลยว่าไหม”
“ฉันรู้แค่ที่โดนสรรเสริญ แต่จะเลี้ยงลูกให้กันนี่ได้ยินจากเธอคนแรกเลย ความรู้รอบตัวเธอมีมากจริงๆ” เหมยหลันชมพลางจัดกับข้าวให้สามี
ว่านเฟยเฟิ่งเห็นอย่างนั้นก็ไม่อยู่ขัดจังหวะสามีภรรยาที่จะได้พูดคุย เฟยเฟิ่งเดินฝ่าแดดกลับไปรอใต้ต้นไม้ด้านหน้าที่นาของบ้านเธอ แต่ก่อนจะได้นั่งลงภาพที่เห็นก็พร่ามัว ในกายรู้สึกเบาหวิว เธอคิดเพียงแค่ว่าน้ำวิเศษนั่นคงโฆษณาเกินจริงแล้ว เพราะหากช่วยให้แข็งแรงได้ เหตุใดเธอจึงหน้ามืดอย่างนี้ โดยที่เธอไม่ได้คิดเลยว่าหลายวันมานี้ทำงานหนัก นอนน้อย ทั้งยังมีความเครียดสะสมมาก จนของวิเศษใดก็ไม่อาจช่วยได้ และเมื่อฝืนไม่ไหวแล้วเธอก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย
ซีจื่อหานที่คุยธุระเสร็จแล้ว วิ่งเข้ามารับคนตัวเล็กได้ทันก่อนที่หัวจะฟาดลงกับพื้นได้พอดี เขาเขย่าตัวเฟยเฟิ่งแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบโต้
“คุณหนูว่าน ว่านเฟยเฟิ่ง”
“ตายแล้ว! เมื่อกี้ฉันยังคุยกับเฟยเฟิ่งอยู่เลย เป็นลมไปซะแล้ว” เหมยหลันวิ่งตามมาเพราะเห็นสักพักแล้วว่าสหายของตนเดินโอนเอน
“ผมรีบพาเธอกลับบ้านก่อน” นี่ก็นับว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่คุณหนูผู้นี้หมดสติให้เขาต้องเข้ามาอุ้ม จนจื่อหานแอบคิดไปว่าร่างกายนี้คงจะอ่อนแอเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตในชนบทได้จริงๆ
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 33 คุณไม่มีสิทธิ์ตีลูกผมว่านเฟยเฟิ่งที่ยังตักของขายให้ลูกค้าในตลาดไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าตอนนี้เธอกลายเป็นผู้หญิงไวไฟที่เจอหน้าสามีแค่วันเดียวก็ยอมนอนด้วยไปเสียแล้ว“ฮัดชิ้ว ฮัดชิ้ว ฮัดชิ้ว” เสียงจามสามครั้งติดทำให้เฟยเฟิ่งต้องขมวดคิ้วแน่น“ตายจริง ทั้งฤดูหนาวไม่เป็นอะไร พออุ่นขึ้นดันมาไม่สบาย ขายหมดแล้วก็รีบกลับบ้านไปพักเถอะ” ป้าจูเหมยกล่าวด้วยความเอ็นดู ช่วงนี้เธอมีความสุขนักเพราะลูกชายคนเดียวกลับมาจากรับจ้างแล้ว ทั้งยังได้ไปจัดการเรื่องพ่อให้ถูกต้อง ทำให้จูเหมยสบายใจเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี“ให้ฉันไปส่งไหมสหายว่าน สหายมีบุญคุณต่อฉันกับแม่จนไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว” ลูกชายของป้าจูกล่าว บุญคุณนับว่าเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ส