LOGIN“จื่อซวานรู้รึเปล่าว่าทำไมรอบนี้พ่อเธอถึงให้แต่น้า แม่ตัวเองทำไมไม่แบ่งให้” เมื่อออกมาพ้นรั้วบ้านเฟยเฟิ่งก็เริ่มล้วงข้อมูลในทันที
“รอบก่อนลุงเข่อเอาเงินเดือนมาให้ย่าแล้ว วันที่น้ามาวันแรกนั่นแหละ ถ้าบ้านอันไม่มาขอไป…เจ็บใจนัก” เด็กชายวัยเจ็ดปีที่ดูพูดจาเกินวัยตามประสาคนที่ต้องรีบเติบโตกล่าวออกมา
“อืม…นึกไม่ออกเลยสักนิด” เฟยเฟิ่งพยายามค้นความทรงจำก็เจอเพียงภาพเฟยเฟิ่งคนเก่ายืนกระทืบเท้าอยู่ในห้อง
“น้าอย่าไปเดินกลางถนน มาเดินกับซูลี่”
“จริงด้วย น้าคิดเพลินไปหน่อย เด็กๆ รู้เรื่องเข้ามหาวิทยาลัยกันไหม” ว่านเฟยเฟิ่งตัดสินใจถามออกไป
“คืออะไร” จื่อซวานหยุดเดินเงยหน้ามองแม่เลี้ยงของตัวเอง
“คือที่เรียนหนังสือเหมือนโรงเรียน แต่ทุกคนที่เข้าไปเรียนจะต้องเรียนจบมาจากโรงเรียนก่อนแล้ว ต้องสอบแข่งกันเข้าไป พอไปเรียนจบออกมาก็จะหางานไม่ต้องเหนื่อยแรงกาย”
“ลูกชาวนาแค่ทำนาเป็นก็พอแล้ว” ซูลี่ยิ้มออกมาอย่างมุ่งมั่น
“คิดแบบนี้ไม่ได้ ถ้าซูลี่พูดแบบนี้อีก น้าจะให้ยืนขาเดียวจับหูตัวเองนะ”
“น้ากลับมาดุแล้ว ไม่เอา!” ซูลี่สะบัดมือเฟยเฟิ่งทิ้งแล้วไปเกาะแขนพี่ชายที่ยังขมวดคิ้วไม่เลิกแทน
“เฮ้อ…ซูลี่ การเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ไม่ใช่ว่าต้องไม่ดุ คนที่ตามใจเด็กไม่สอนอะไรเลยก็เป็นคนไม่ดีเหมือนกัน ดุพอดีตามใจก็ต้องพอดีด้วย จื่อซวานกับซูลี่ถึงจะโตไปเป็นคนดี”
“เหมือนไอ้อ้วนบ้านอันใช่ไหม ไม่มีใครดุเลยนิสัยไม่ดีชอบสั่งทุกคน ไม่มีใครเล่นด้วย” ซูลี่ถามตาใส
“น้าก็จำไม่ได้ด้วยสิว่าเด็กคนไหน ไว้เจอก็บอกน้าด้วยแล้วกัน แต่ต่อไปห้ามเรียกใครว่าไอ้อ้วน ไอ้ผอม ไอ้ดำ ไอ้สูง ต่อให้เขานิสัยไม่ดีก็ต้องเรียกชื่อ เพราะว่าซูลี่เป็นคนนิสัยดี ใช่ไหมจ๊ะ”
“ซูลี่เชื่อ” ซีซูลี่พยักหน้ารับพึมพำกับตัวว่าตนเองเป็นคนนิสัยดี
“น้าจะพูดอะไรเรื่องมหาวิทยาลัย ผมอยากรู้” จื่อซวานเข้ามาใกล้แล้วดึงเสื้อของเฟยเฟิ่ง
“อ๋อ ถ้าอยากเข้า น้าก็จะสนับสนุนทั้งคู่เลย หากว่าน้ากับพ่อของเธอสร้างตัวไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราก็จะมีทางเลือกมากขึ้น”
“ทางเลือก?” จื่อซวานเอียงหน้า
“อื้ม ทางเลือก ต่อให้เรียนแล้วมาเป็นชาวนา แต่เมื่อเราเป็นชาวนาที่มีความรู้ จะไม่มีใครกล้าดูถูก รู้ทันคนมาหลอก ต่อไปจะค้าขายกับคนมีความรู้มีเงิน เราก็จะพูดจาแบบเขาได้ คิดต่อยอดได้ แต่ถ้าไม่อยากเป็นชาวนาก็ได้เหมือนกัน ถ้าใครบังคับน้าจะช่วยพูดให้เอง”
“ไม่เป็นชาวนาแล้วจะเป็นอะไร” จื่อซวานส่ายหน้า
“เป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องเก่งที่สุดเท่าที่เก่งได้ ต้องตั้งใจไม่ยอมแพ้ อย่างพ่อของอาซวานก็ไม่ได้เป็นแค่ชาวนานี่นา ไปเป็นคนงานหาเงินเพิ่มมาให้ตั้งมากมาย”
“เข้าใจแล้ว”
“อาซวานอย่าพึ่งคิดมาก ยังมีเวลาเลือกอยู่ว่าโตไปจะทำอะไร รีบเดินกันเถอะ ซูลี่นำไปไกลแล้ว เรามัวแต่พูดกันเดินชักช้าเลยเห็นไหม”
ว่านเฟยเฟิ่งรีบสาวเท้าตามซูลี่ที่วิ่งนำไปเพราะเจอสหายวัยเดียวกันเดินตามคนที่บ้านไปตลาดเช่นกัน ยามนี้จึงคล้ายว่าเป็นคนขบวนใหญ่ร่วมทางกัน
“ลูกของฉันกวนรึเปล่าจ้ะสหาย” เฟยเฟิ่งเอ่ยเมื่อเดินตามทัน
“ไม่เลย พูดอะไรแบบนั้นทำไม เด็กสองคนสนิทกัน เป็นเพื่อนเล่นกันอยู่แล้ว” เย่เหมยหลันสะใภ้ของบ้านจงพูดตอบ แต่สีหน้ากลับดูไม่แน่ใจนัก
“โล่งใจไป เมื่อเช้ามีคนมาตีเด็กถึงหน้าบ้าน ว่าก็ว่าเถอะเกิดมาฉันไม่เคยเจอแบบนี้” เฟยเฟิ่งส่ายหน้า เด็กอายุเท่านี้ตัวเธอคิดว่ายังไงก็ควรจะพยายามบอกสอนกันก่อน
“บ้านอันน่ะสิ แยกบ้านมาก็นานแล้ว เธอก็ปรามแม่สามีไว้บ้าง ระวังของในบ้านจะไม่เหลือสักชิ้น”
“ฉันก็ยังไม่ได้เป็นสะใภ้เต็มตัว พูดได้เท่าที่พูดนี่แหละ ก็ไม่รู้จะตีให้เด็กมันเจ็บไปทำไม เด็กตัวเท่านี้อะไรก็เป็นบทลงโทษได้ ไม่เห็นต้องว่าให้เจ็บเลย”
“บทลงโทษถ้าไม่ตีไม่ดุแล้วจะให้ทำอะไร” เหมยหลันถาม
“ตอนเด็กๆ แม่ฉันให้ถือรองเท้า ไม่ต้องตีไม่ต้องด่าแค่ขู่ว่าจะให้ถือรองเท้าก็หยุดแล้ว โตมาถึงได้คิดได้ว่าถือไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร ไม่น่ากลัวสักนิด”
“ผู้หญิงในเมืองนี่ฉลาดจริง ไม่ต้องตีลูกให้เจ็บหัวใจก็ลงโทษได้ ไว้ฉันจะทำตามแม่ของสหายบ้าง”
“ฉันชื่อว่านเฟยเฟิ่งนะจ๊ะ ยินดีที่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ”
“อื้อ ฉันเย่เหมยหลัน เห็นคุยกับคนอื่นได้แบบนี้ก็ค่อยสบายใจหน่อย ทำใจเรื่องที่ต้องมาชนบทได้แล้วล่ะสิ” เหมยหลันยิ้มแย้มพร้อมพยักหน้าให้กำลังใจ
“ยังไงก็ต้องอยู่ ฉันแผลงฤทธิ์เป็นศัตรูกับทุกคนไม่ไหวหรอก” เฟยเฟิ่งตอบรับเลี้ยวตามจื่อซวานที่ย้ายไปเดินนำหน้าตั้งแต่เริ่มเห็นว่าผู้ใหญ่พูดคุยกัน
“กับคนในหมู่บ้านน่ะไม่เท่าไหร่หรอก พวกไปรุมอยากดูว่าเธอหน้าตายังไงก็ควรโดนด่าจริงๆ” เหมยหลันขบขันออกมาเบาๆ
“คงสงสัยแหละจ้ะ ฉันไม่คิดอะไรแล้ว”
“เอาเถอะแต่งมาทั้งที่สามีไม่อยู่ต้อนรับ เป็นใครก็คงต้องพาลไปทั่วนั่นแหละ”
เฟยเฟิ่งเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วดูเด็กทั้งสามพากันวิ่งแข่งเป็นช่วงๆ มีเสียงหัวเราะปะปนมาไม่ขาดสาย ส่วนคนด้านข้างอย่างเหมยหลันก็ชี้บอกว่าบ้านไหนเป็นของใคร และคบค้าได้หรือไม่ ตัวเธอในชีวิตเก่าก็ลอบสังเกตว่ายังไม่มีบ้านใดทำร้านขายของ หากว่าการเดินไปตลาดใช้เวลาอย่างน้อยสามสิบนาที ไม่แน่ว่าการทำร้านขายของจำเป็นเล็กน้อยหน้าบ้านอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับฤดูหนาวเช่นนี้
“เหมยหลัน ตลาดนี่ไกลไหมในความรู้สึกของเธอ” เฟยเฟิ่งถามต่อ
“ก็ไม่เชิง แต่ถ้ามีตลาดอยู่หน้าหมู่บ้านก็คงจะดี ยิ่งหมู่บ้านถัดจากเราไปยิ่งต้องเดินจนขาลาก ถามทำไมกัน เธอก็เคยไป”
“แหมก็ฉันว่ามันไกลมากน่ะสิ เลยอยากรู้ว่าคนอื่นคิดยังไง ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
ถ้า pain point คือความไกล แล้วเราตั้งขายหน้าบ้าน แล้วมีใส่รถเข็นไปขาย แบบรถกับข้าวตามต่างจังหวัดก็คงจะพอได้เงิน
เฟยเฟิ่งพยายามคิดได้อีกพักหนึ่งก็มาถึงตลาดพอดิบพอดี แต่จะให้คนจากแนาคตอย่างเธอเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าตลาดก็แอบจะลำบากใจ เพราะแผงขายของมีไม่มาก ร้านที่เป็นหน้าร้านจริงๆ มีเพียงสามร้าน ที่เหลือเป็นแผงลอยเรียงแถวอยู่ ส่วนสุดทางถนนมีร้านบะหมี่ตั้งอยู่
“แยกกันซื้อของแล้วกัน เสร็จแล้วก็มารอที่เดิมไว้กลับไปด้วยกัน” เหมยหลันลาพร้อมกับจูงลูกตรงไปยังร้านบะหมี่เป็นที่แรก
“เราเพิ่งจะกินกันมา ไว้รอกินก่อนกลับแล้วกันนะ ไปดูของเถอะ”
“ครับน้า น้าจะเอาอะไรผมไปซื้อให้ เพิ่งนึกได้ว่าคราวก่อน คือน้าก่อเรื่องไว้ในตลาด เข้าไปใกล้คงไม่ดีแน่” จื่อซวานพูดพลางจับหลังคอกลัวฤทธิ์เดชทั้งแม่ค้าและแม่เลี้ยง
“ฉันนิสัยไม่ดีมากเหรอ” เฟยเฟิ่งส่งยิ้มแห้งออกไปหาเด็กๆ
_______
Pain point หมายถึง ปัญหา อุปสรรค หรือความไม่สะดวกที่ลูกค้ากำลังประสบอยู่ และต้องการการแก้ไข
บทที่ 39 เอาอาหารไปส่งสามีสองสัปดาห์ผ่านไปแปลงผักในพื้นที่หลังบ้านเริ่มที่จะเข้าที่แล้ว ช่วงแรกแม้จะทดลองปลูกกันไปแล้ว แต่การจัดสรรพื้นที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต้องลดปริมาณผักที่เก็บไปส่งให้ป้าจูด้วย แต่เมื่อตกลงกันกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองเดินหน้าเต็มกำลังหลังบ้านซีไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ พื้นที่จุดที่ได้รับเฉพาะแดดเช้าลงผักที่ไม่ต้องการแดดมาก ในโรงเรือนมีเห็ดหลากชนิดให้หมุนเวียนตัดไปกินและขาย เหนือพื้นดินด้านนอกมีราวไม้สำหรับแขวนกระถางปลูกผักเพิ่ม อีกแถวไว้ปลูกกล้วยไม้สวยงามจากในมิติที่เฟยเฟิ่งอ้างว่าพบเจอบนภูเขา หากขยายพันธุ์ให้ดีก็สามารถทำเงินได้ ด้วยผู้คนยังนิยมให้กันเป็นของขวัญนอกจากนั้นแล้วยังมีไก่ที่ซีจื่อซวาน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ







