หลังจากลงความคิดเห็นกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนจึงได้ออกมาจากตลาดมืด แต่พอเดินมาถึงปากทางเข้า กลับพบกับชายหญิงชราคู่หนึ่งนั่งหมดแรงอยู่ที่นั่น หลินซินเยว่มองเห็นแล้วเกิดความสงสัยปนสงสาร จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามอย่างใส่ใจ
“ตายาย ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้คะ แล้วหน้าตายังดูอ่อนเพลียมากเลย” น้ำเสียงที่ถามนั้นมีความอ่อนโยนอยู่มาก
ทั้งโม่กวนหยางและหลินอี้เฉินที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มอย่างพอใจเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมาก ๆ เลย
“เราสองคนออกมาหาซื้ออาหารน่ะ แต่ระหว่างทางได้ทำกระเป๋าเงินหายที่ไหนก็ไม่รู้ จะกลับบ้านก็ไม่มีเงินค่ารถ เลยต้องนั่งอยู่ตรงนี้ เผื่อจะเจอคนหมู่บ้านเดียวกันให้หยิบยืมเงินค่ารถบ้าง”
ชายชราเป็นคนตอบกลับมาด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขาเองอายุก็ไม่น้อยแล้ว วันนี้ตั้งใจจะมาซื้ออาหารเข้าบ้าน จึงได้นั่งรถประจำทางมากับคู่ชีวิต แต่ไม่คิดว่าพอเข้ามาในตลาดมืดนี้แล้ว กลับทำกระเป๋าเงินที่นำมาหายไปเสียได้ เลยทำให้ไม่สามารถซื้ออาหารได้ แถมยังไม่สามารถกลับบ้านได้อีกด้วยเพราะไม่มีเงินค่ารถ หากจะเดินไปก็คงจะมืดค่ำพอดี จึงมานั่งรอที่นี่เผื่อจะเจอคนหมู่บ้านเดียวกัน
“แล้วบ้านตากับยายอยู่ไกลไหมคะ” หญิงสาวอีกครั้งและมองทั้งสองอย่างพิจารณา
“บ้านของพวกเราอยู่ถัดไปอีกสามหมู่บ้าน ถ้าจะให้เดินกลับไป ภรรยาของฉันก็แก่มากแล้ว คงจะเดินไม่ไหว คงต้องรอคนหมู่บ้านเดียวกันก่อน” ชายชรายังคงเป็นคนตอบและใช้กระดาษในมือพัดให้ภรรยาอย่างใส่ใจ
“อย่างนั้นเอาแบบนี้ไหมคะ ตากับยายอยากได้อาหารอะไรบ้าง บอกฉันมาเลย เดี๋ยวฉันจัดการให้” หญิงสาวได้ยินอย่างนั้น เธอจึงเสนอทางช่วยเหลืออย่างยินดีทันที เพราะสิ่งที่เธอจะให้ทั้งสองคนนี้นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาสาหัสอะไร อีกอย่างในเมื่อเธอมีมิติวิเศษ ก็ควรจะช่วยเหลือผู้ยากไร้ด้วยสิ
“ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไรหรอกแม่หนู อาหารมันมีค่ามากและต้องเสียเงินซื้อ อย่าเอามาให้พวกเราเลย แค่มีน้ำใจมาถามไถ่ก็ดีมากแล้ว” คราวนี้หญิงชราเป็นคนตอบกลับมา เพราะนางเป็นคนซื้ออาหารจึงรู้ว่าอาหารราคาแพงมาก
“แต่ฉันอยากให้ค่ะ”
หลินซินเยว่พูดอย่างไม่คิดอะไรมาก พูดจบเธอคว้าตะกร้าที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ชายชรามาถือไว้ แล้วเดินไปที่ลับตาคนโดยมีโม่กวนหยางเดินตามไปอย่างรู้หน้าที่ ส่วนหลินอี้เฉินอยู่กับหญิงชายวัยชรา
เมื่อเดินไปในที่ลับสายตาคนแล้ว โม่กวนหยางก็เป็นคนดูต้นทาง ส่วนหลินซินเยว่ก็ไปหยิบเอาอาหารต่าง ๆ ในมิติมาใส่ไว้จนเต็ม จนลืมไปว่าคนวัยชราทั้งสองคนจะแบกกลับได้ไหม
พอได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วก็รีบเดินกลับมาที่ทั้งสามคนรออยู่
“นี่คืออาหารที่ฉันมอบให้นะคะ แต่สงสัยฉันจะเอามาจนเต็มตะกร้าเกินไป ฉันลืมไปเลยว่าตากับยายจะแบกกลับไปอย่างไร เอาแบบนี้ดีกว่า เดี๋ยวฉันพาไปส่งขึ้นรถรับจ้างและให้เขาไปส่งที่หมู่บ้านเลย เดี๋ยวฉันจะจ่ายเงินให้เอง ส่วนนี่ซาลาเปาอุ่น ๆ ตากับยายเอาไว้กินรองท้องในตอนที่นั่งรถกลับนะคะ”
หลินซินเยว่พูดออกมาอย่างสดใส พร้อมกับยื่นซาลาเปาให้ สองผู้เฒ่า ซึ่งซาลาเปานี้เธอก็เอามาจากในร้านค้าจากในมิติ
พูดจบเธอก็ไม่รอคำตอบ แต่ส่งสายตาให้สามีและพี่ชายเพื่อที่จะให้ช่วยพยุง สองผู้เฒ่านี้ไปขึ้นรถรับจ้างที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไร
“ขอบใจมากนะแม่หนู ขอบคุณพ่อหนุ่มทั้งสองคนด้วยนะ ขอบคุณมากจริงๆ” สองผู้เฒ่ากล่าวขอบคุณอย่างจริงใจพวกเขาน้ำตาซึมกันจนแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว เพราะไม่คิดว่าจะมีคนช่วยเหลืออย่างนี้
“อย่าคิดมากเลยค่ะ นี่คงเป็นโชคชะตาที่ทำให้พวกเราได้เจอกัน ฉันหวังว่าคุณตาและคุณยายจะมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ พวกเราคงต้องลาก่อน”
เธอพูดจบก็โบกมือลาสองผู้เฒ่าที่อยู่บนรถรับจ้าง ซึ่งเธอก็ได้จ่ายค่าจ้างให้เรียบร้อยแล้ว แถมยังแอบใส่เงินไว้ในตะกร้าอีกด้วย เพราะรู้ดีว่าทั้งสองผู้เฒ่านี้คงจะไม่ได้กินดีอยู่ดีสักเท่าไรเนื่องจากสภาพร่างกายที่ดูซูบผอม แถมเสื้อผ้ายังเต็มไปด้วยรอยปะ เธออยากให้สิ่งของมากกว่านี้ แต่ก็อดใจไว้เพราะไม่อยากให้ผิดสังเกตจนเกินไป เลยใช้วิธีสอดไส้เงินไว้ให้ไปซื้อเอง
“พี่ไม่คิดว่าน้องสาวของพี่จะใจบุญขนาดนี้นะเนี่ย” หลินอี้เฉินภูมิใจในการกระทำของน้องสาวมากเหลือเกิน แต่ก็ไม่อยากจะชมเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายเหลิงจนเกินไป เลยพูดจาหยอกล้อออกมา
“นี่ก็คือสิ่งที่ท่านตาบอกไว้ด้วยค่ะ ท่านบอกว่าให้ฉันช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากบ้างถ้ามีโอกาส ต่อไปเดี๋ยวพี่ก็ชินค่ะ เพราะถ้าฉันเจอคนแบบตากับยายคู่นี้ ฉันก็คงต้องเข้าช่วยเหลือ แล้วฉันทำแบบนี้ไม่ดีเหรอคะพี่ใหญ่”
หญิงสาวตอบกลับไปอย่างสดใสและอ้างเรื่องที่ตกลงกับท่านตาคนนั้นไว้ และเธอก็ไม่ได้คิดมากอะไรกับคำพูดของพี่ชายเพราะรู้ดีว่าเขาแค่หยอกล้อเธอเล่นเท่านั้น ต่อจากนี้ไปการกระทำแบบนี้ก็คงจะมากขึ้น ในเมื่อทรัพย์สินที่อยู่ในมิติมีมากมายและเธอไม่ได้เสียเงินซื้อมา การที่จะแบ่งให้คนที่ลำบาก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
โม่กวนหยางมองการกระทำของภรรยาด้วยความซึ้งใจ ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าเธอนั้นเปลี่ยนไปจริง ๆ เพราะหากเป็นหลินซินเยว่คนก่อน อย่าหวังเลยว่าเธอจะแบ่งปันสิ่งของให้ใคร
ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าในเวลาที่มองภรรยา มุมปากของเขาได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา โดยที่เขาไม่รู้ตัวอีกเช่นเคย
จังหวะนั้นหญิงสาวก็หันมาสบตากับสามีโดยไม่ตั้งใจ เมื่อเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของเขา คงไม่มีใครทนสายตาของเขาได้แน่นอน เธอเองก็รู้สึกเขินเหมือนกัน จึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย
“เอาเถอะ อย่ามัวพูดกันอยู่ตรงนี้เลย ฉันคิดว่าพวกเราควรไปจัดการเรื่องจักรยานและอาหารกันเถอะ จะได้กลับบ้านกันเสียที”
โม่กวนหยางปั่นจักรยานคันใหม่เข้ามาในหมู่บ้านโดยมีภรรยาซ้อนท้ายมาด้วย และอีกคันที่ปั่นอยู่ใกล้เคียงกันก็เป็นหลินอี้เฉิน จักรยานทั้งสองคันผ่านหน้าชาวบ้านหลายคนที่มองอย่างตกตะลึงไป แต่ทั้งสามกลับไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร
และเมื่อมีจักรยานคันใหม่เข้ามาในหมู่บ้านถึงสองคัน มีหรือที่ชาวบ้านจะไม่สนใจและจับตามองเป็นพิเศษ
“นั่น ๆ พวกหล่อนดูสิ โม่กวนหยางมีจักรยานกลับมาด้วย แล้วนั่นทำไมบ้านหลินถึงมีจักรยานกับด้วยเขาล่ะ” หญิงวัยกลางคนที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่ ก็พูดขึ้นมาอย่างตกใจ
“เห้อ... หล่อนจะแตกตื่นทำไม มันก็แค่จักรยาน ใครก็ซื้อได้ไหม นี่คงเป็นหลินซินเยว่ที่ไปบังคับให้โม่กวนหยางซื้อให้ล่ะสิ” หญิงจากบ้านตู้ถอนหายใจออกมา และพูดเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจ
ทว่าในใจนั้นกลับร้อนรนและเดือดยิ่งกว่าน้ำต้มไก่เสียอีก เธอทั้งโมโหและทั้งอิจฉา
เพราะหากบ้านไหนในหมู่บ้านมีจักรยานใช้ นั่นคือการเชิดหน้าชูตาบ้านของตัวเอง ซึ่งในหมู่บ้านนี้ก็มีเพียงไม่กี่ครัวเรือนที่มีจักรยานใช้ และนี่กำลังจะเป็นบ้านของโม่กวนหยางและบ้านหลิน ที่มีใช้เพิ่มขึ้นมาอีกสองคัน
ยิ่งเห็นหลินซินเยว่นั่งซ้อนท้ายจักรยานของโม่กวนหยางมา ก็ยิ่งอิจฉามากกว่าเดิม
พอได้ยินคนจากบ้านตู้พูดอย่างนั้น หญิงวัยกลางคนก็ปรายตามองเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเยาะที่มุมปาก แล้วพูดออกมาอย่างรู้ทัน
“หล่อนคงอิจฉาสินะ เมื่อกลางวันฉันเห็นหลินซินเยว่เข้าเมืองไปกับพี่ชาย นี่คงเป็นธุระของสองพี่น้องละมั้ง เกิดมาเป็นหลินซินเยว่นี่ดีจริง ๆ เลยนะ ทำตัวร้ายกาจยังไงสามีก็ทั้งรักทั้งหลง”
“ใช่ ๆ น่าจะไปซื้อจักรยานกัน หรือว่าพอเห็นหลินอี้เฉินซื้อจักรยาน หลินซินเยว่ก็อยากได้บ้าง เลยรบเร้าให้โม่กวนหยางซื้อให้ โม่กวนหยางก็ทำงานมานานแล้ว น่าจะมีเงินเก็บซื้อของให้เมียบ้างล่ะ ว่าแต่เขาซื้อจักรยานให้เมีย หล่อนจะไปยุ่งอะไรด้วยล่ะ”
หญิงสูงวัยอีกคนพูดอย่างเห็นด้วย และมองหญิงจากบ้านตู้ไปด้วย
นี่จึงทำให้คนจากบ้านตู้กระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ แล้วรีบเดินกลับไปรายงานใครบางคน
บทส่งท้าย ความรักที่สมบูรณ์ของหลินซินเยว่ตอนที่ได้ยินว่าภรรยาตั้งท้อง โม่กวนหยางก็ตกใจและดีใจมากแล้ว แต่พอรู้ว่าเธอตั้งท้องแฝด เขากลับยิ่งทั้งดีใจและเริ่มเป็นกังวล เพราะกลัวจะดูแลเธอไม่ดี“ซินเยว่ได้ยินที่คุณหมอบอกแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ไม่ต้องทำงานอะไรอีกแล้วนะ เดี๋ยวพี่จะทำทุกอย่างแทนซินเยว่เอง เรากลับบ้านกันเถอะ ส่วนที่ร้านก็ให้โม่เจิ้งฉีกับน้องสะใภ้ดูแลไปก่อน” โม่กวนหยางพูดกับภรรยาอย่างอ่อนโยน“ก็ได้ค่ะ” หลินซินเยว่ตอบรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเพราะเธอก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่เมื่อเดินออกมาจากห้องตรวจ ก็พบเข้ากับพ่อแม่จากทั้งสองบ้านมารอถามข่าว เมื่อทุกคนได้รับรู้ข่าวดีก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ“ดีจริง ๆ ต่อไปเจ้าสามจะต้องดูแลสะใภ้สามให้ดี ๆ นะ งานขายของก็พักไว้ก่อน เดี๋ยวพ่อแม่จะมาช่วยดูแลร้านให้เอง แถมตอนนี้ยังมีโม่เจิ้งฉีกับเซี่ยเป้ยนีมาช่วยดูแลด้วย ซินเยว่ก็ไม่ต้องห่วงนะ” ฟางเหนียงพูดกับลูกชายของตนเองกับสะใภ้“นั่นสิ ซินเยว่ต้องพักผ่อนเยอะๆ นะลูก ท้องแรกแถมยังเป็นท้องแฝดด้วย ต้องระวังตัวให้มากๆ เดี๋ยวแม่จะอยู่ช่วยดูแลซินเยว่เองนะลูก เราจะต้องเริ่มบำรุงด้วยอาหารที่เพิ่มน้ำนมแล้วนะฟางเหนียง
บทที่ 59 งานแต่งของหลินอี้เฉินเมื่อวันที่บ้านหลินมาสู่ขอคุณหนูหวาง แม้ว่าทั้งสองคนจะฐานะต่างกัน แต่บ้านหลินทำเต็มที่ จนชาวบ้านที่รู้ข่าวตกตะลึงไม่น้อย แล้วยังมีของขวัญจากน้องสาวและน้องเขยคือตึกในแหล่งการค้าอีกด้วย“หลังจากนี้ฉันฝากหลิงหลิงไว้กับนายด้วยนะ ต่อจากนี้ฉันก็กล้าที่จะวางมือแล้ว” นายท่านหวางเอ่ยขึ้นมาอย่างอ่อนโยนเขาไม่ได้สนใจว่าสินสอดที่อีกฝ่ายให้มานั้นจะมากน้อยแค่ไหน เพราะเขาตั้งใจว่ายื่นคืนกลับให้ว่าที่ลูกเขยและลูกสาวไว้ทำทุน เพราะอย่างไรหลินอี้เฉินย่อมก็ต้องเข้ามาช่วยดูแลกิจการของครอบครัวหวางอยู่แล้ว“ครับนายท่าน ผมจะดูแลคุณหนูและกิจการของตระกูลหวางให้ดี” หลินอี้เฉินรับปากอย่างหนักแน่นจริงจัง“ยังจะมาเรียกนายท่าน เรียกคุณหนูอยู่อีก เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ นายก็ควรเรียกฉันว่าพ่อได้แล้ว ส่วนหลิงหลิงนายจะเรียกชื่อเธอหรือจะเรียกภรรยาก็ตามใจนาย” นายท่านหวางพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี“ครับคุณพ่อ ผมจะดูแลหลิงหลิงกับตระกูลหวางให้ดีครับ” หลินอี้เฉินตอบใหม่อีกครั้ง“และเราสองคนจะกลับไปดูแลพ่อกับแม่ที่บ้านหลินบ่อยๆ นะคะ” หวางหลิงหลิงเองก็หันไปพูดกับหลินไป๋หานและจางฮุ่ยอี อย่างนอ
บทที่ 58 ซื้อที่ดินสร้างกิจการของตัวเอง“นายมาหาฉันทำไม” หญิงสาวถามหลวนหมิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพราะเธอพอจะสืบเรื่องนี้มาได้เหมือนกัน“ผมมีเรื่องมาสารภาพครับ” หลวนหมิงพูดออกมาด้วยท่าทางนอบน้อมจากนั้นชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีคำไหนตกหล่นเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้เขาก็ไม่รู้ว่าหน้าที่การงานจะยังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมาทั้งหมดเพื่อรักษาชีวิต“ฉันดีใจนะหลวนหมิง ที่นายมาสารภาพด้วยตนเองแบบนี้ ครั้งนี้ฉันถือว่านายได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่นายทำตามคำขอของหญิงคนนั้น หน้าที่การงานรวมถึงชีวิตของนายก็จะไม่เหลือ เพราะฉันเองก็คงจะต้องตามล่านายเหมือนกัน นายรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ตระกูลหลินกับตระกูลหวางมีความเกี่ยวดองกันแล้ว”หวางหลิงหลิงพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกยินดี ที่ลูกน้องของคุณพ่อคนนี้กล้ามาพูดตรงๆ และกล้ายอมรับความผิดทั้งหมดด้วยตัวเอง เธอจึงพร้อมที่จะให้อภัย และให้เขาทำหน้าที่เดิมต่อไป “ครับคุณหนู” หลวนหมิงตอบกลับมาเพียงเท่านี้ ก่อนจะก้มหน้ารู้สึกผิดอีกครั้ง“ถ้าอย่างนั้นนายก็ทำหน้าที่ของนายต่อไป และเมื่อไรที่นายพบผู้หญิงที่อยากจะ
บทที่ 57 จบสิ้นเรื่องวุ่นวายส่วนทางด้านหลินอี้เฉิน เขาได้พาหวางหลิงหลิงมาเดินเล่นในหมู่บ้านโดยมีสายตาของชาวบ้าน ต่างก็มองอย่างอยากรู้อยากเห็น“ทำไมคุณต้องเดินห่างฉันขนาดนี้ หรือว่าคุณมีคนรักอยู่ในหมู่บ้านนี้ เลยกลัวว่าเธอจะเห็นเราสองคนเดินด้วยกันเหรอ” หญิงสาวถามขึ้นมาคล้ายกับจะหยอกล้อ แต่ความจริงเธอต้องการคำตอบนี้อย่างมาก“ผมยังไม่มีคนรักครับ แต่ที่ผมต้องเดินเว้นระยะห่างกับคุณเพราะกลัวชาวบ้านจะเอาไปนินทา แล้วจะทำให้คุณเสียหาย”หลินอี้เฉินตอบกลับอย่างจริงจัง ขณะที่ตอบก็สบตาหญิงสาวอย่างไม่หลบเลี่ยง เพราะกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้บอกไป“เป็นไปได้เหรอที่คุณจะไม่มีคนรัก ดูจากอายุแล้วน่าจะเลยวัยที่จะต้องแต่งงานแล้วนะ” เธอแสร้งถามอย่างหยอกล้ออีกครั้ง ทั้งที่หัวใจนั้นพองโตไม่น้อยกับคำตอบที่ได้รับรู้“เมื่อก่อนบ้านผมจนน่ะ ไม่มีใครอยากให้ลูกสาวต้องมาลำบากหรอกครับ” คราวนี้เขาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ๆ เพราะนึกถึงฐานะของตนเองกับหญิงสาวที่แตกต่างกันมาก“แต่ตอนนี้บ้านของคุณมีฐานะดีขึ้นแล้วนี่ จะกลัวการแต่งงานทำไม ถ้าอย่างนั้นคุณลองมาคบหากับฉันไหม แต่คุณจะรับความเสี่ยงได้หรือเปล่าล่ะ เพร
บทที่ 56 ไม่หาเรื่อง เรื่องก็มาหา“พี่คิดว่าฉันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่าคะ ที่ตัดสินใจทำตามแผนการนี้”“ไม่เลย ในเมื่อลูกสาวบ้านตู้คิดจะเล่นงานน้องก่อน อย่างไรเธอก็ควรจะได้บทเรียนในครั้งนี้”โม่กวนหยางรีบตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนทันที เขาไม่ได้มองว่าภรรยาตนเองนั้นโหดร้าย และไม่ว่าเธอตัดสินใจจะทำอย่างไร เขาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกอย่าง แม้ว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาทำนั้น จะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม “ขอบคุณมากนะคะที่เข้าใจฉัน” หลินซินเยว่พูดขอบคุณและยิ้มให้สามีอย่างอ่อนโยน“ถ้าอย่างนั้นเราทำตามแผนการที่วางไว้เลยนะคะ กลับไปฉันจะได้สั่งให้คนดำเนินการเลย ส่วนคุณ เมื่อถึงเวลานั้นก็แสร้งทำทีพาคนไปพบ เรื่องนี้ตู้หลินเซียนไม่อาจหนีชะตากรรม ที่เธอได้ทำไว้ในตอนแรกแน่” หวางหลิงหลิงพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าหลินซินเยว่มีความเด็ดขาด ไม่ยอมให้คนที่ทำร้ายตนเองลอยนวล“ขอบคุณมากนะคะคุณหนูหวางที่ช่วยในเรื่องนี้ ฝากขอบคุณไปถึงนายท่านหวางด้วย จริงสิ รอสักครู่นะคะ” หลินซินเยว่ยิ้มและเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ห้องตัวเอง แล้วหยิบเอารังนกออกมาชุดใหญ่“นี่ฉันฝากไปให้นายท่านหวางด้วยนะคะ ฉันไม่รู้ว่าจ
บทที่ 55 ต้องจัดการให้เด็ดขาด“ครับ แต่อย่างไรเรื่องนี้ผมจะต้องไปคุยกับซินเยว่และพี่กวนหยางดูก่อน แต่เชื่อว่าทั้งสองคนน่าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ และหากจะหาใครสักคนให้แต่งงานกับตู้หลินเซียน ก็น่าเป็นชายหนุ่มจากหมู่บ้านอื่น หรือไม่ก็คงจะเป็นพวกพรานป่า หรือไม่ต้องเป็นคนที่โหดสักหน่อย เพื่อที่จะจัดการให้เธออยู่ในโอวาทได้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงจะเอาผู้หญิงคนนี้ไม่อยู่”หลินอี้เฉินพูดขึ้นมาตามความคิดของเขา โดยที่เขายังไม่มีใครอยู่ในใจ แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็คงจะต้องไปคุยกับน้องสาวและน้องเขยให้ชัดเจนเสียก่อนว่า จะจัดการลูกสาวบ้านตู้อย่างไร“แต่ฉันเห็นต่างเล็กน้อย เรื่องอื่นไม่มีปัญหา แต่ชายที่จะมาแต่งงานกับตู้หลินเซียนนั้น จะต้องเป็นคนที่ยากจนเพิ่มขึ้นมาด้วย ผู้หญิงคนนั้นจะได้เลิกเชิดหน้าชูคอสักที”หวางหลิงหลิงพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง ใครจะคิดว่าเธอนั้นจะโหดร้ายเกินไปก็ช่าง แต่เพราะผู้หญิงร้ายกาจแบบตู้หลินเซียน จะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดแบบนี้เท่านั้นพอได้ยินอย่างนั้น หลินอี้เฉินก็หันไปมองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากออกมาอย่างพึงพอใจ เขาไม่มองเลยว่าเธอนั้นโหดร้ายกับผู้หญิงด้วยกัน เพราะคนอย่างตู้ห