ตายแล้วแทนที่จะได้เกิดใหม่ กลับต้องมาอยู่ในร่างของสตรีร้ายกาจที่ใครต่างก็เบือนหน้าหนี แบบนี้ขอตายอีกสักครั้งได้ไหมนะ ยังไงฉันจะเปลี่ยนแปลงต้วเองให้ดู แต่ใครร้ายมาก็ร้ายกลับไม่โกงนะคะ!!
View Moreเมืองหลิงโจว หมู่บ้านไผ่เขียว ปี 1981
“ฮือ ๆ ซินเยว่ ตื่นมาเถิดลูกแม่ อย่าทำให้แม่กลัวแบบนี้สิ รู้ไหมว่าใจแม่จะขาดแล้ว ตื่นเถอะลูก” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยออกมาพร้อมกับร้องไห้เสียใจปานใจจะขาด นางมองบุตรสาวที่นอนไร้สติด้วยสายตาเป็นห่วง
“สมน้ำหน้าแล้ว หาเรื่องเขาไปทั่วแบบนี้ก็สมควรแล้ว นี่คงเป็นผลพวงจากที่ผู้คนสาปแช่งสินะ”
เสียงหญิงชราคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเย้ยหยัน นางไม่ชอบหญิงสาวที่นอนสลบอยู่เลยแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายมักจะหาเรื่องคนไปทั่ว ใครมองหน้าเข้าหน่อยก็ชี้หน้าด่าอย่างไร้เหตุผล จึงทำให้มีแต่คนสาปแช่งเธอมากมาย
“นั่นสิ หาเรื่องคนอื่นก่อนแล้วตัวเองล้มหัวฟาดพื้นจนหมดสติ แล้วอย่างนี้จะเอาผิดใครกันล่ะ แบบนี้ก็สมน้ำหน้าแล้ว” ชาวบ้านอีกคนที่มุงดูอยู่พูดขึ้นอย่างเหลืออด เพราะหล่อนก็ไม่ค่อยชอบหญิงสาวที่ชื่อหลินซินเยว่คนนี้สักเท่าไร เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยถูกอีกฝ่ายชี้หน้าด่า โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย
“ทำไมถึงพูดกันแบบนี้ ต่อให้มีเรื่องหรือไม่ชอบใจกัน เห็นคนล้มหัวฟาดพื้นสลบไปแบบนี้ ทำไมถึงไม่เรียกหมอหรือให้ใครมาช่วยพาเธอไปโรงพยาบาล นี่ไม่เท่ากับต้องการให้ซินเยว่ของฉันตายหรือ”
จางฮุ่ยอีที่เป็นแม่ของหลินซินเยว่ ยังคงร้องไห้ฟูมฟายพร้อมกับพูดไปด้วย ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวคนหนึ่งอย่างมีความหมาย
“มองอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนะ นังซินเยว่มันลื่นล้มของมันเอง ไม่เชื่อก็ถามคนพวกนี้ดูสิ”
หญิงสาวที่มีชื่อว่าตู้หลินเซียนพยายามพูดปัดให้พ้นผิด เธอรู้ดีว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีใครชอบหลินซินเยว่เลย และเธอก็เกลียดอีกฝ่ายมากที่มาแย่งชายที่เธอชอบไป พอเจอหน้ากันในวันนี้จึงมีปากเสียงกันจนลุกลามถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่ใครจะคิดกันเล่าว่าหลินซินเยว่จะเหยียบไปโดนตะไคร่น้ำจนล้มหัวฟาดกับปูนแล้วสลบไปแบบนี้
พอชาวบ้านได้ยินว่าลูกสาวบ้านตู้ต้องการพยาน ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ ก็พยักหน้ารับกันรัว ๆ
“มาเถอะแม่ เดี๋ยวผมพาน้องไปโรงพยาบาลเอง หัวไม่แตกแต่สลบไปแบบนี้ ผมกลัวเลือดคั่งในสมองเหลือเกิน”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกังวลใจ เขาคือหลินอี้เฉินพี่ชายของหญิงสาวที่กำลังนอนสลบไสลอยู่นั้นเอง
ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาหลังจากมีคนไปแจ้งข่าวว่าน้องสาวตนเองนั้นลื่นล้มหัวฟาดพื้นจนหมดสติ ก่อนจะรีบอุ้มร่างของหลินซินเยว่ แล้วรีบพาไปที่รถสามล้อที่ได้ว่าจ้างมา เพื่อจะได้พาน้องสาวไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน โดยมีผู้เป็นแม่ติดตามไปด้วยอย่างห่วงใย
โรงพยาบาลในเมือง
หลังจากส่งน้องสาวเข้าห้องฉุกเฉินแล้ว หลินอี้เฉินและแม่ก็นั่งรออยู่ที่หน้าห้องด้วยความร้อนใจ เนื่องจากกลัวว่าหลินซินเยว่จะเป็นอันตรายกว่าที่เห็นจากการหกล้มหัวฟาดพื้นในครั้งนี้
เวลาผ่านไปราว ๆ หนึ่งชั่วโมง ร่างของหญิงสาวก็ถูกพามาไว้ที่ห้องพักของผู้ป่วย
“พยาบาล ลูกสาวของฉันเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมเธอยังไม่ฟื้นอีกล่ะ” จางฮุ่ยอีถามพยาบาลที่มาดูแลอย่างร้อนใจ
“อย่ากังวลไปเลยค่ะ หมอบอกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้นอนพักอีกสักหน่อยก็คงจะฟื้นแล้ว” พยาบาลสาวตอบกลับอย่างใส่ใจ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องพักคนป่วย
เมื่อได้ยินพยาบาลพูดอย่างนั้น ทั้งสองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นหลินอี้เฉินจึงพูดขึ้นมาว่า
“แม่ครับ เดี๋ยวผมกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อส่งข่าวให้พ่อได้รับรู้ก่อนนะครับ พ่อจะได้ไม่เป็นห่วง”
“ดี ๆ ลูกรีบไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้แม่จะอยู่เฝ้าซินเยว่เอง”คนเป็นแม่รีบตอบกลับอย่างเห็นด้วย นั่นเพราะอยากอยู่เฝ้าลูกสาวที่โรงพยาบาลด้วยตนเอง
“ซินเยว่ลูกแม่ ตื่นมาเถอะนะลูกรัก แม่เป็นห่วงลูกมากเหลือเกิน อ้อ..จริงสิ เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมาไว้ให้ลูกดีกว่า ตื่นมาลูกคงจะหิวน้ำ”
จางฮุ่ยอีมานั่งข้างเตียงแล้วจับมือลูกสาวไว้อย่างห่วงใยพร้อมกับพร่ำบอกให้เธอตื่นขึ้นมาเสียที ก่อนจะนึกได้ว่าลูกสาวคงจะหิวน้ำหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา จึงเดินออกไปหาน้ำมาไว้ให้เธอ
‘ใครคือซินเยว่’ คนที่หลับอยู่คิดในใจอย่างสงสัย
ความจริงเรื่องที่คนอื่นคิดว่าเธอกำลังสลบอยู่นั้น กลับฟื้นคืนสติมาได้สักพักแล้ว แต่พอรู้สึกหนักศีรษะก็เลือกที่จะไม่ลืมตาขึ้นมา ในใจนึกสงสัยว่า ‘ซินเยว่คือใครกันนะ แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมมีแต่คนพูดภาษาจีนกันล่ะ แล้วทำไมฉันถึงฟังรู้เรื่องทุกคำแบบนี้ ’
หญิงสาวนอนคิดไปคิดมาอย่างไม่เข้าใจ แต่ยังไร้เรี่ยวแรงที่จะลืมตาขึ้นมา จึงคิดไปเรื่อย ๆ
‘เท่าที่จำได้ก่อนหน้านี้ฉันอยู่ในงานรับรางวัลนักธุรกิจมือทอง ซึ่งฉันได้รับรางวัลนี้หกปีซ้อนนี่น่า แล้วเท่าที่จำได้ฉันก็กลับมาถึงที่พัก ก็รู้สึกเหนื่อยล้าและหลับไป แล้วเสียงการพูดจาของคนจีนพวกนี้เป็นใคร คนพวกนี้ไม่น่าจะมาอยู่ในห้องพักของฉันเลยนะ’
ขณะที่ความคิดของเธอกำลังตบตีกันอยู่นั้น หญิงสาวจึงตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นมาเพื่อจะได้รู้ว่าใครกันที่มาอยู่ในห้องนอนของตัวเอง แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาจริง ๆ กลับพบว่าบรรยากาศโดยรอบไม่เป็นเหมือนเดิม ‘สถานที่ตรงนี้ไม่ใช่ห้องของเธอ’
หญิงสาวคิดอย่างตกใจ จากนั้นจึงได้ลุกพรวดขึ้นมานั่ง แล้วหันมองรอบ ๆ จึงได้รู้ว่าตนเองนั้นน่าจะอยู่ที่ห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลสักแห่ง แต่ที่น่าแปลกใจเพราะที่นี่ดูเก่าและโทรมมากในสายตาเธอ
“เอ๊ะ นี่มันที่ไหนกัน” เธอพูดขึ้นเสียงเบา
แต่แล้วจู่ ๆ เธอกลับปวดหัวรุนแรง ก่อนจะมีความทรงจำต่าง ๆ ของใครบางคนฉายให้เห็นไม่ต่างจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง จนทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง
ซึ่งเจ้าของร่างนี้มีชื่อว่า “หลินซินเยว่” เธอเป็นหญิงร้ายกาจประจำหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังเป็นหญิงขี้เกียจมาก และไม่ชอบทำงานอะไรเลย วัน ๆ เอาแต่แต่งตัวสวยแล้วเดินเที่ยวเล่น ใครเห็นก็เอาแต่ส่ายหน้าและไม่คิดแต่งเธอเข้าบ้านมาให้ลำบากทั้งกายใจ
ไม่ว่าเธอจะขี้เกียจและมักจะหาเรื่องคนไปทั่วยังไง แต่ก็ยังเป็นที่รักของครอบครัวหลิน
วันหนึ่งหลินซินเยว่เกิดถูกใจลูกชายคนที่สามของบ้านโม่ โม่กวนหยาง จึงได้วางแผนผิดผีกับเขา เพื่อให้เขาแต่งงานด้วย และแล้วเธอก็ทำสำเร็จ
แต่เพราะขี้เกียจความ เลยมักจะมีปากเสียงกับคนที่บ้านสามีอยู่แทบทุกวัน แม่สามีอย่างฟางเหนียงจึงให้ลูกชายแยกบ้าน โดยให้เงินจำนวนหนึ่งมาสร้างบ้าน ซึ่งหลินซินเยว่เลือกจะสร้างในที่ดินของครอบครัวตนเอง
เมื่อแยกบ้านมาอยู่ด้วยตัวเอง งานทุกอย่างในบ้านจึงตกเป็นหน้าที่ของสามีอย่างโม่กวนหยาง แม้ว่าเขาจะทำงานนอกบ้านด้วยก็ตาม ไม่ว่าจะเหนื่อยอย่างไรเขาก็ไม่เคยบ่น
“โอ๊ย..อะไรกันเนี่ย อยากจะบ้าตาย ทำไมฉันถึงต้องมาอยู่ในร่างของหญิงร้ายกาจคนนี้ได้ ฉันขอตายอีกรอบได้ไหม ทำไมสวรรค์ถึงกลั่นแกล้งฉันแบบนี้ล่ะ” หญิงสาวพูดออกมาอย่างขัดใจ หลังจากทบทวนความทรงจำทั้งหมดแล้ว
“ไม่คิดว่าจะต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหญิงที่ร้ายกาจแบบนี้ ขนาดฉันเองยังเกลียดร่างนี้เลย แล้วคนอื่นจะไม่เกลียดได้อย่างไรกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม โอ๊ย..ปวดหัว”
ขณะที่พูดก็ยกมือขึ้นกุมหัวเพราะทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้
ขณะเดียวกันจางฮุ่ยอีก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าลูกสาวฟื้นแล้ว จึงยิ้มทั้งน้ำตาและพูดขึ้นมาด้วยความดีใจว่า
“ซินเยว่ ลูกฟื้นแล้ว รู้ไหมว่าทำให้แม่กลัวขนาดไหนที่เห็นลูกสลบไปแบบนั้น” เธอลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยน
“เอ่อ..ฉันฟื้นแล้วค่ะแม่” หญิงสาวตอบกลับเบา ๆ แม้จะไม่คุ้นชินเรียกคนตรงหน้าว่าแม่ก็ตาม แต่คิดว่าคงจะต้องสร้างความเคยชินได้แล้ว เพราะเธอคงจะอยู่ในร่างนี้ไปอีกนาน
‘เอาเถอะ ยังไงก็มาอยู่ในร่างนี้แล้ว คงจะต้องทำความสนิทสนมไว้ ฉันคงจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างของหญิงสาวร้ายกาจคนนี้ต่อไปสินะ แต่คนอย่างฉันจะไม่ทำตัวแบบเธอหรอกนะ หลินซินเยว่'
หญิงสาวคิดในใจอย่างจำยอมและตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่
“ลูกอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวแม่ไปหาซื้อให้ ตอนมาแม่เห็นที่หน้าโรงพยาบาลพอจะมีอาหารขายอยู่” จางฮุ่ยอีพูดอย่างกระตือรือร้น
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ ตอนนี้ฉันยังไม่หิว อีกอย่าง อาการฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว พวกเรากลับไปกินข้าวที่บ้านกันดีกว่าไหมคะ อยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเปลืองเงินเปล่า ๆ ” หญิงสาวตอบอย่างอ่อนโยนพร้อมกับชักชวนกันกลับบ้าน ก่อนจะทำท่าจะลุกจากเตียง
นั่นเพราะจากความทรงจำของร่างเดิม ทำให้เธอรู้ว่าบ้านหลินไม่ได้มีเงินมากมาย การที่เธอต้องนอนอยู่โรงพยาบาลแบบนี้ ย่อมต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็นอยู่แล้ว
“นอนพักสักวันคงไม่เป็นไรหรอกลูก ตอนนี้พี่ชายของลูกก็ไปบอกพ่อ กับลูกเขยแล้ว สักพักก็คงจะพากันมาที่นี่” จางฮุ่ยอีบอกและกดให้เธอนอนลงที่เตียงเหมือนเดิม
เพราะคำว่า ‘ลูกเขย’ ทำให้หลินซินเยว่นึกขึ้นมาได้ว่าร่างนี้นั้นแต่งงานแล้ว และจากความทรงจำ หลินซินเยว่คนเดิมก็ไม่ได้ทำดีกับผู้เป็นสามีเลย
'โอ๊ย...ฉันอยากจะบ้าตาย ทำไมนอกจากเธอจะเป็นลูกและน้องที่แย่แล้ว ยังเป็นเมียที่ไม่ได้เรื่องอีกเหรอเนี่ย หลินซินเยว่'หญิงสาวได้แต่บ่นร่างเดิมในใจ แต่ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเธอก็คือหลินซินเยว่ หญิงร้ายกาจคนนี้
แม้ว่าจะได้ยินแม่พูดมาอย่างนั้น แต่เธอก็ไม่อยากอยู่โรงพยาบาลต่อแล้ว เพราะรู้ดีว่าร่างกายตนเองไม่ได้เป็นอะไร เลยคิดว่ากลับไปบ้านน่าจะดีกว่า และที่สำคัญจะไม่ได้เปลืองเงินด้วย
“ฉันคิดว่าเรากลับบ้านกันดีกว่าค่ะแม่ ถ้าเรารีบหน่อยน่าจะทันก่อนที่กับพี่ใหญ่จะมาที่นี่ อยู่ที่โรงพยาบาลนี้ก็ไม่มีอะไร รังแต่จะทำให้เสียเงินเพิ่มเสียเปล่า ๆ ค่ะ เราเก็บเงินไว้ใช้อย่างอื่นดีกว่านะคะ” หญิงสาวจับมือของแม่ไว้และพูดกลับไปอย่างจริงจัง
“ได้ ๆ อย่างนั้นแม่จะไปถามพยาบาลก่อนนะ”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวยืนยันหนักแน่น จางฮุ่ยอีก็ไม่อยากจะขัดเธออีก จึงได้บอกไปอย่างนั้น ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพักฟื้น แล้วตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่พยาบาลอยู่ เพื่อสอบถามว่ากลับบ้านได้หรือไม่
‘ทำไมฉันต้องมาอยู่ในยุคนี้ด้วย อะไรก็ไม่มีติดตัวมาสักอย่าง แล้วแบบนี้จะอยู่ได้ยังไงกัน' หญิงสาวก็ได้แต่นั่งบ่นในใจ แต่บ่นไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ ก็คือทำใจ และทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเท่านั้น!!
จางฮุ่ยอีหายไปไม่นานก็กลับมาบอกกับลูกสาวว่า
“ไปกันเถอะ ลูกสามารถออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านได้ตามที่ร้องขอกับหมอแล้ว”
“จริงเหรอคะ ดีจังเลย อย่างนั้นเรากลับกันเถอะค่ะ” เมื่อได้ยินอย่างนั้น เลยทำให้หลินซินเยว่พูดออกมาอย่างดีใจมาก เพราะจะได้ไม่ต้องนอนติดเตียงอยู่ที่นี่
จากนั้นสองแม่ลูกก็เตรียมตัวกันเพื่อกลับบ้าน
‘เอาล่ะ ต่อไปนี้ฉันคือหลินซินเยว่ และฉันจะทำชีวิตนี้ให้ดีที่สุด’ หญิงสาวคิดในใจโดยที่สายตานั้นมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องพักฟื้น
บทส่งท้าย ความรักที่สมบูรณ์ของหลินซินเยว่ตอนที่ได้ยินว่าภรรยาตั้งท้อง โม่กวนหยางก็ตกใจและดีใจมากแล้ว แต่พอรู้ว่าเธอตั้งท้องแฝด เขากลับยิ่งทั้งดีใจและเริ่มเป็นกังวล เพราะกลัวจะดูแลเธอไม่ดี“ซินเยว่ได้ยินที่คุณหมอบอกแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ไม่ต้องทำงานอะไรอีกแล้วนะ เดี๋ยวพี่จะทำทุกอย่างแทนซินเยว่เอง เรากลับบ้านกันเถอะ ส่วนที่ร้านก็ให้โม่เจิ้งฉีกับน้องสะใภ้ดูแลไปก่อน” โม่กวนหยางพูดกับภรรยาอย่างอ่อนโยน“ก็ได้ค่ะ” หลินซินเยว่ตอบรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเพราะเธอก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่เมื่อเดินออกมาจากห้องตรวจ ก็พบเข้ากับพ่อแม่จากทั้งสองบ้านมารอถามข่าว เมื่อทุกคนได้รับรู้ข่าวดีก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ“ดีจริง ๆ ต่อไปเจ้าสามจะต้องดูแลสะใภ้สามให้ดี ๆ นะ งานขายของก็พักไว้ก่อน เดี๋ยวพ่อแม่จะมาช่วยดูแลร้านให้เอง แถมตอนนี้ยังมีโม่เจิ้งฉีกับเซี่ยเป้ยนีมาช่วยดูแลด้วย ซินเยว่ก็ไม่ต้องห่วงนะ” ฟางเหนียงพูดกับลูกชายของตนเองกับสะใภ้“นั่นสิ ซินเยว่ต้องพักผ่อนเยอะๆ นะลูก ท้องแรกแถมยังเป็นท้องแฝดด้วย ต้องระวังตัวให้มากๆ เดี๋ยวแม่จะอยู่ช่วยดูแลซินเยว่เองนะลูก เราจะต้องเริ่มบำรุงด้วยอาหารที่เพิ่มน้ำนมแล้วนะฟางเหนียง
บทที่ 59 งานแต่งของหลินอี้เฉินเมื่อวันที่บ้านหลินมาสู่ขอคุณหนูหวาง แม้ว่าทั้งสองคนจะฐานะต่างกัน แต่บ้านหลินทำเต็มที่ จนชาวบ้านที่รู้ข่าวตกตะลึงไม่น้อย แล้วยังมีของขวัญจากน้องสาวและน้องเขยคือตึกในแหล่งการค้าอีกด้วย“หลังจากนี้ฉันฝากหลิงหลิงไว้กับนายด้วยนะ ต่อจากนี้ฉันก็กล้าที่จะวางมือแล้ว” นายท่านหวางเอ่ยขึ้นมาอย่างอ่อนโยนเขาไม่ได้สนใจว่าสินสอดที่อีกฝ่ายให้มานั้นจะมากน้อยแค่ไหน เพราะเขาตั้งใจว่ายื่นคืนกลับให้ว่าที่ลูกเขยและลูกสาวไว้ทำทุน เพราะอย่างไรหลินอี้เฉินย่อมก็ต้องเข้ามาช่วยดูแลกิจการของครอบครัวหวางอยู่แล้ว“ครับนายท่าน ผมจะดูแลคุณหนูและกิจการของตระกูลหวางให้ดี” หลินอี้เฉินรับปากอย่างหนักแน่นจริงจัง“ยังจะมาเรียกนายท่าน เรียกคุณหนูอยู่อีก เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ นายก็ควรเรียกฉันว่าพ่อได้แล้ว ส่วนหลิงหลิงนายจะเรียกชื่อเธอหรือจะเรียกภรรยาก็ตามใจนาย” นายท่านหวางพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี“ครับคุณพ่อ ผมจะดูแลหลิงหลิงกับตระกูลหวางให้ดีครับ” หลินอี้เฉินตอบใหม่อีกครั้ง“และเราสองคนจะกลับไปดูแลพ่อกับแม่ที่บ้านหลินบ่อยๆ นะคะ” หวางหลิงหลิงเองก็หันไปพูดกับหลินไป๋หานและจางฮุ่ยอี อย่างนอ
บทที่ 58 ซื้อที่ดินสร้างกิจการของตัวเอง“นายมาหาฉันทำไม” หญิงสาวถามหลวนหมิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพราะเธอพอจะสืบเรื่องนี้มาได้เหมือนกัน“ผมมีเรื่องมาสารภาพครับ” หลวนหมิงพูดออกมาด้วยท่าทางนอบน้อมจากนั้นชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีคำไหนตกหล่นเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้เขาก็ไม่รู้ว่าหน้าที่การงานจะยังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมาทั้งหมดเพื่อรักษาชีวิต“ฉันดีใจนะหลวนหมิง ที่นายมาสารภาพด้วยตนเองแบบนี้ ครั้งนี้ฉันถือว่านายได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่นายทำตามคำขอของหญิงคนนั้น หน้าที่การงานรวมถึงชีวิตของนายก็จะไม่เหลือ เพราะฉันเองก็คงจะต้องตามล่านายเหมือนกัน นายรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ตระกูลหลินกับตระกูลหวางมีความเกี่ยวดองกันแล้ว”หวางหลิงหลิงพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกยินดี ที่ลูกน้องของคุณพ่อคนนี้กล้ามาพูดตรงๆ และกล้ายอมรับความผิดทั้งหมดด้วยตัวเอง เธอจึงพร้อมที่จะให้อภัย และให้เขาทำหน้าที่เดิมต่อไป “ครับคุณหนู” หลวนหมิงตอบกลับมาเพียงเท่านี้ ก่อนจะก้มหน้ารู้สึกผิดอีกครั้ง“ถ้าอย่างนั้นนายก็ทำหน้าที่ของนายต่อไป และเมื่อไรที่นายพบผู้หญิงที่อยากจะ
บทที่ 57 จบสิ้นเรื่องวุ่นวายส่วนทางด้านหลินอี้เฉิน เขาได้พาหวางหลิงหลิงมาเดินเล่นในหมู่บ้านโดยมีสายตาของชาวบ้าน ต่างก็มองอย่างอยากรู้อยากเห็น“ทำไมคุณต้องเดินห่างฉันขนาดนี้ หรือว่าคุณมีคนรักอยู่ในหมู่บ้านนี้ เลยกลัวว่าเธอจะเห็นเราสองคนเดินด้วยกันเหรอ” หญิงสาวถามขึ้นมาคล้ายกับจะหยอกล้อ แต่ความจริงเธอต้องการคำตอบนี้อย่างมาก“ผมยังไม่มีคนรักครับ แต่ที่ผมต้องเดินเว้นระยะห่างกับคุณเพราะกลัวชาวบ้านจะเอาไปนินทา แล้วจะทำให้คุณเสียหาย”หลินอี้เฉินตอบกลับอย่างจริงจัง ขณะที่ตอบก็สบตาหญิงสาวอย่างไม่หลบเลี่ยง เพราะกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้บอกไป“เป็นไปได้เหรอที่คุณจะไม่มีคนรัก ดูจากอายุแล้วน่าจะเลยวัยที่จะต้องแต่งงานแล้วนะ” เธอแสร้งถามอย่างหยอกล้ออีกครั้ง ทั้งที่หัวใจนั้นพองโตไม่น้อยกับคำตอบที่ได้รับรู้“เมื่อก่อนบ้านผมจนน่ะ ไม่มีใครอยากให้ลูกสาวต้องมาลำบากหรอกครับ” คราวนี้เขาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ๆ เพราะนึกถึงฐานะของตนเองกับหญิงสาวที่แตกต่างกันมาก“แต่ตอนนี้บ้านของคุณมีฐานะดีขึ้นแล้วนี่ จะกลัวการแต่งงานทำไม ถ้าอย่างนั้นคุณลองมาคบหากับฉันไหม แต่คุณจะรับความเสี่ยงได้หรือเปล่าล่ะ เพร
บทที่ 56 ไม่หาเรื่อง เรื่องก็มาหา“พี่คิดว่าฉันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่าคะ ที่ตัดสินใจทำตามแผนการนี้”“ไม่เลย ในเมื่อลูกสาวบ้านตู้คิดจะเล่นงานน้องก่อน อย่างไรเธอก็ควรจะได้บทเรียนในครั้งนี้”โม่กวนหยางรีบตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนทันที เขาไม่ได้มองว่าภรรยาตนเองนั้นโหดร้าย และไม่ว่าเธอตัดสินใจจะทำอย่างไร เขาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกอย่าง แม้ว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาทำนั้น จะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม “ขอบคุณมากนะคะที่เข้าใจฉัน” หลินซินเยว่พูดขอบคุณและยิ้มให้สามีอย่างอ่อนโยน“ถ้าอย่างนั้นเราทำตามแผนการที่วางไว้เลยนะคะ กลับไปฉันจะได้สั่งให้คนดำเนินการเลย ส่วนคุณ เมื่อถึงเวลานั้นก็แสร้งทำทีพาคนไปพบ เรื่องนี้ตู้หลินเซียนไม่อาจหนีชะตากรรม ที่เธอได้ทำไว้ในตอนแรกแน่” หวางหลิงหลิงพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าหลินซินเยว่มีความเด็ดขาด ไม่ยอมให้คนที่ทำร้ายตนเองลอยนวล“ขอบคุณมากนะคะคุณหนูหวางที่ช่วยในเรื่องนี้ ฝากขอบคุณไปถึงนายท่านหวางด้วย จริงสิ รอสักครู่นะคะ” หลินซินเยว่ยิ้มและเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ห้องตัวเอง แล้วหยิบเอารังนกออกมาชุดใหญ่“นี่ฉันฝากไปให้นายท่านหวางด้วยนะคะ ฉันไม่รู้ว่าจ
บทที่ 55 ต้องจัดการให้เด็ดขาด“ครับ แต่อย่างไรเรื่องนี้ผมจะต้องไปคุยกับซินเยว่และพี่กวนหยางดูก่อน แต่เชื่อว่าทั้งสองคนน่าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ และหากจะหาใครสักคนให้แต่งงานกับตู้หลินเซียน ก็น่าเป็นชายหนุ่มจากหมู่บ้านอื่น หรือไม่ก็คงจะเป็นพวกพรานป่า หรือไม่ต้องเป็นคนที่โหดสักหน่อย เพื่อที่จะจัดการให้เธออยู่ในโอวาทได้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงจะเอาผู้หญิงคนนี้ไม่อยู่”หลินอี้เฉินพูดขึ้นมาตามความคิดของเขา โดยที่เขายังไม่มีใครอยู่ในใจ แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็คงจะต้องไปคุยกับน้องสาวและน้องเขยให้ชัดเจนเสียก่อนว่า จะจัดการลูกสาวบ้านตู้อย่างไร“แต่ฉันเห็นต่างเล็กน้อย เรื่องอื่นไม่มีปัญหา แต่ชายที่จะมาแต่งงานกับตู้หลินเซียนนั้น จะต้องเป็นคนที่ยากจนเพิ่มขึ้นมาด้วย ผู้หญิงคนนั้นจะได้เลิกเชิดหน้าชูคอสักที”หวางหลิงหลิงพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง ใครจะคิดว่าเธอนั้นจะโหดร้ายเกินไปก็ช่าง แต่เพราะผู้หญิงร้ายกาจแบบตู้หลินเซียน จะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดแบบนี้เท่านั้นพอได้ยินอย่างนั้น หลินอี้เฉินก็หันไปมองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากออกมาอย่างพึงพอใจ เขาไม่มองเลยว่าเธอนั้นโหดร้ายกับผู้หญิงด้วยกัน เพราะคนอย่างตู้ห
Comments