ในห้องน้ำ สองแม่ลูกผลัดกันถูหลังให้แก่กัน แล้วร้องเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข
เป็นครั้งแรกที่เยี่ยซิ่วอิงอาบน้ำอย่างมีความสุขมากขนาดนี้ ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าวันที่เธอรอคอยได้มาถึงแล้ว
“แม่คะ หนูมีความสุขมากเลย”
“แม่ก็มีความสุข” จางซูเจินยอมรับในสถานะแม่ของตน จากนั้นก็สอนลูกสาวร้องเพลงเด็กอนุบาลในยุคของตน แล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
เยี่ยหงที่ยื่นหูฟังก็รู้สึกหมั่นไส้ จางซูเจินเป็นอย่างนี้เสมอ พอทำให้ลูกสาวร้องไห้ก็มักจะแสดงความรักออกมาเพื่อไม่ให้เด็กเอาความไปฟ้องบิดา
จางซูเจินสังเกตว่าผมหน้าม้าของเด็กหญิงเริ่มยาวปิดตาแล้ว เธอเอากรรไกรมาเล็มผมหน้าม้าให้แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจในฝีมือของตน
จะว่าไปแล้วเธอก็ตอนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอก็เคยทำงานพิเศษเป็นลูกมือในร้านเสริมสวยพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง
ทำอาหารไม่ได้ ปลูกผักไม่เป็น อนาคตอาจถูกสามีขอหย่า ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้เธอก็จะไปรับจ้างในร้านเสริมสวยก็น่าจะดี
‘ถ้าหย่าแล้วเสี่ยวอิงล่ะ’ จางซูเจินนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า พลันสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวเมื่อดวงตากลมโตมองมาด้วยแววตาที่รักและเทิดทูน
“เราไปแต่งตัวกันเถอะ” เธอบอกเด็กหญิงแล้วพากลับไปแต่งตัวที่ห้องนอน
เลือกชุดออกมาให้เด็กน้อยสวมใส่ แล้วเลือกเสื้อผ้าสีพื้นมาสวมใส่จนเยี่ยซิ่วอิงเอียงคอมองมารดาด้วยความสงสัย
“แม่ไม่ใส่ชุดสวยๆ เหรอคะ”
“แม่ไม่ได้ออกไปไหนนี่”
“ปกติแม่ไม่ไปไหนแม่ก็แต่งตัวสวย เสื้อผ้าพวกเป็นเสื้อผ้าที่พ่อซื้อให้แต่แม่บอกไม่ชอบเลยไม่เคยใส่” เสียงพูดเจื้อยแจ้วนั้นน่าเอ็นดูมาก
ประโยคนี้ทำให้จางซูเจินรู้จักจางซูเจินคนเดิมมากขึ้น และพอเข้าใจได้ว่าทำไมแม่สามีมีถึงไม่ชอบใจสะใภ้คนนี้
เธอนั่งมัดผมเกล้าเป็นจุกซาลาเปาเล็กๆ สองข้างให้แก่ลูกสาว จากนั้นก็พาออกไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เยี่ยหงกำลังเตรียมอาหารเย็น
“ให้ฉันช่วยหั่นผักนะคะ” เธอไม่รอฟังคำอนุญาตแล้วเดินเข้าไปจะหยิบผักมาช่วยหั่น
“ไม่ต้อง” นางเยี่ยบอกปัดอย่างไม่พอใจ
“แม่ต้องให้ฉันทำช่วยบ้างนะคะ หากฉันไม่หัดทำต่อไปจะช่วยเบาแรงแม่ได้อย่างไร” เธอบอกด้วยความใจเย็น พยายามอดทนให้ได้มากที่สุด
เยี่ยหงได้ยินดังนั้น พลันเกิดอยากรู้ว่าคนอย่างจางซูเจินจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงหรือ ในเมื่อก็ให้โอกาสมาหลายปีแล้ว ให้โอกาสอีกสักวันคงไม่เป็นไร
“หั่นผักยาวสักสองชุ่น (สองนิ้ว) จะได้กินง่ายๆ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ แล้วมองวิธีหั่นผักที่ดูเก้กังนั้นด้วยรอยยิ้มที่เหยียดหยัน
“แม่คะ หนูกินลูกกวาดได้ไหม” เยี่ยซิ่วอิงถามขึ้น พร้อมกับในมือที่ถือลูกกวาดเดินเข้ามาหา
“แม่ให้กินลูกกวาดเม็ดเดียวก็พอนะ วันนี้ค่ำแล้วลูกต้องกินข้าวก่อน พรุ่งนี้ค่อยกินอีก” จางซูเจินบอกลูกสาว แล้วช่วยแม่สามีทำอย่างอื่นต่อ
เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ไม่ได้ดุด่าหลานสาวต่อหน้า เยี่ยจงจึงไม่ได้บ่นว่าอะไรออกมา เธอสอนวิธีปรุงอาหารอย่างง่ายให้แก่จางซูเจิน เพื่อที่จะรอซ้ำเติมตอนที่ทำพลาด แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจมาก
‘ทำตัวดีหนึ่งวันหรือจะทดแทนความเลวร้ายตลอดห้าปีที่ผ่านมาได้’ เยี่ยหงยังคงถืออคติ พลางคิดว่าสะใภ้ดอกบัวขาวคนนี้อาจกำลังทำให้ตายใจ แล้วจะมีแผนการอะไรในภายหลังแน่นอน
เมื่ออาหารเย็นทำเสร็จแล้ว เยี่ยหลี่เฉียงก็มาถึงบ้าน เขาเดินเข้าในด้วยท่าทางที่เหน็ดเหนื่อย พอเห็นว่าลูกสาวตัดผมหน้าม้าแล้วและทำทรงผมมัดจุกสองข้างน่าเอ็นดูก็ยิ้มอย่างชื่นชม “เสี่ยวอิงของพ่อวันนี้น่ารักมาก”
“แม่ทำค่ะ แม่ตัดผมและมัดผมให้หนู เหมือนซาลาเปาใช่ไหมล่ะ” เด็กน้อยพูดเสียงใสด้วยความร่าเริง และดูมีความสุขมาก
เยี่ยหลี่เฉียงมองหน้าภรรยาที่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ เธอช่วยมารดาของเขาและทำดีกับลูกย่อมมีเหตุผลแน่ และเยี่ยหงก็รู้ทันความคิดลูกชาย
“ตอนบ่ายเสี่ยวอิงฉี่ราดใส่ชุดของซูเจินน่ะ คงถูกด่ามา แม่ได้ยินแต่เสียงร้องไห้” เธออธิบายให้ลูกชายรู้ว่าที่จางซูเจินทำไปเพื่อปกปิดความผิดของตน
“แม่ไม่ได้ด่าหนูนะคะ แม่บอกรักหนูค่ะพ่อ ที่หนูร้องไห้เพราะหนูดีใจ แม่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เสี่ยวอิงรักแม่ที่สุดเลย” เด็กหญิงรีบปกป้องแม่
แต่ไม่มีใครเชื่อเธอ ปกติแล้วเวลาที่ถูกมารดาดุด่าและต่อว่า จางซูเจินก็จะทำให้ลูกสาวออกมาปกป้องเธอแบบนี้เสมอ ดังนั้นคำพูดที่อธิบายในครั้งนี้จึงไม่มีใครใส่ใจนัก
“กลับมาเหนื่อยๆ ไปล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยมากินข้าวสิอาหลี่”
“ครับแม่” เขาตอบรับคำมารดาแล้วเดินถือกระเป๋าเอกสารเข้าไปยังห้องนอนส่วนตัวเพื่อถอดเสื้อสูทแขวนเอาไว้
พอเยี่ยหลี่เฉียงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร มารดาก็คีบอาหารให้ลูกชายอย่างเอาใจ
“ทำงานมาเหนื่อยๆ ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน ลูกต้องกินเยอะๆ นะอาหลี่ น่าจะปล่อยให้ตำรวจจับไปเข้าคุก บ้านเราจะได้เอาตัวเสนียดนี่ออกจากบ้านเสียที ไม่รู้รอดมาได้อย่างไร” ประโยคนั้นตั้งใจเหน็บแนมลูกสะใภ้ให้เธอรู้สึกผิด
เยี่ยหลี่เฉียงชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่ามารดารู้เรื่องบ่อนนั้นถูกบุกค้นได้อย่างไร พลางคิดว่าอาจได้ยินมาจากคุณนายเฉินที่มักเอาเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังเสมอ
จางซูเจินไม่สนใจคำพูดว่าร้ายนั่น เธอไม่ได้ทำเสียหน่อยทำไมจะต้องรู้สึกผิด แค่เธอทะลุมิติมาโผล่ที่นี่ก็ปวดสมองจะแย่แล้ว ไม่อยากสร้างศัตรูที่ไหน แต่อยากอยู่อย่างสงบสุขรอวันกลับไปเท่านั้น
“เสี่ยวอิง กินนี่เยอะๆ นะ ไข่ตุ๋นนี่ย่าสอนให้แม่ทำ ดูสิว่าพอกินได้ไหม” จางซูเจินตักไข่ตุ๋นให้ลูกสาว อย่างเอาใจ
น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าเดิมมาก
“เธอทำแค่หน้าที่คนผสม เครื่องปรุงฉันตวงให้ทุกอย่าง หากอร่อยก็ต้องเป็นฝีมือฉันจะอวดอ้างไปทำไมกัน”
‘ครั้งที่สองแล้วนะ อดทนเอาไว้ซูเจิน อดทนเอาไว้’ เธอนับเอาไว้หลังจากที่ถูกแม่สามีเหน็บแนมไม่หยุด ซึ่งเธอก็พยายามอดทนมากแล้ว
“แต่มันอร่อยขึ้นกว่าทุกครั้งค่ะ เพราะว่าแม่เป็นคนตักให้หนู” เจ้าเสี่ยวอิงตัวน้อยยังคงเข้าข้างผู้เป็นมารดา
จางซูเจินอดสะท้อนใจไม่ได้ เพราะวีรกรรมที่ซูเจินคนนั้นทำกับลูกเอาไว้ไม่สมควรได้รับความรักจากเยี่ยซิ่วอิงมากขนาดนี้
ตอนนี้เธอทำหน้าที่แม่แล้ว แต่หากประตูมิติเปิดอีกครั้งแล้วต้องสลับมิติกันอีกรอบแล้วซูเจินคนนั้นกลับมาล่ะ เด็กหญิงคนนี้จะต้องเจอแม่ใจร้ายคนนั้นอีก เธอจะผิดหวังมากแค่ไหน
“หากลูกชอบ แม่จะให้ย่าสอนให้แม่ทำ แล้วแม่จะทำให้เสี่ยวอิงกินบ่อยๆ ดีหรือไม่” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เยี่ยหลี่เฉียงมองแววตาที่อ่อนโยนไร้มารยานั้นก็คิดว่านี่ใช่ภรรยาแสนร้ายกาจของตนจริงๆ นะหรือ แล้วหากเธอจะเสแสร้งว่าทำดีกับทุกคน เธอจะแกล้งทำไปเพื่ออะไรกัน
แต่อย่างไรก็ช่างเขาก็จะปล่อยให้เธอทำมันต่อไป เพราะคนที่จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็คือเยี่ยซิ่วอิง เพราะตอนนี้ลูกสาวของตนดูมีความสุขมาก
ดวงตาที่เป็นประกายสุกใสระยิบระยับดั่งดวงดาวบนท้องฟ้านั้น บ่งบอกถึงความสุขที่ออกมาจากความรู้สึกของเด็กหญิงอย่างแท้จริง ซึ่งเขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว
‘ผมภาวนาให้คุณทำดีให้ตลอดรอดฝั่ง เพราะคนที่จะมีความสุขที่สุดก็คือลูกของเรา’
เขามองเธอกับลูกสาวผลัดกันตักอาหารให้กัน แล้วส่งยิ้มให้กันอยู่เป็นระยะ และแปลกตรงที่ว่าวันนี้จางซูเจินไม่ได้ตักอาหารเอาใจเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
************************
ความฝันประหลาดได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคืนนี้ จางซูเจินรู้ได้ทันที และไปที่ตรอกนั้นเพื่อที่จะขอร้องให้จางซูเจินคนนั้นให้เธอได้อยู่ต่อที่นี่เธอเดินทางไปยังตอกที่คับแคบนั้นด้วยชุดเดิมที่เหมือนในความฝัน จากนั้นเมื่อถึงเวลาประตูก็ค่อยๆ ปรากฏแก่สายตามือเรียวค่อยๆ ยื่นออกไปเพื่อที่จะเปิดประตู แต่ว่าจางซูเจินอีกคนเปิดประตูออกมาก่อน แล้วทั้งสองก็มองหน้ากันราวกับว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ฝัน“ซูเจิน” ทั้งสองเรียกชื่อของกันและกัน แล้วจางซูเจินที่ยืนในฝั่งปัจจุบันได้เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน“ซูเจิน ฉันไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ให้ฉันอยู่ที่นี้ในฐานะของเธอได้หรือไม่” เธอกล่าวด้วยนำเสียงที่สั่นเครือ ไม่อยากสูญเสียเยี่ยหลี่เฉียงที่รักตัวเองไปเลยสักนิด และที่สำคัญไม่อยากกลับไปที่สกุลเยี่ยอีกแล้ว“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกเธอ ว่าฉันก็ไม่อยากกลับไป ฉันอยากอยู่ที่นี่ต่อในฐานะของเธอเช่นเดียวกัน” จางซูเจินอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่ยินดี เมื่ออีกฝ่ายมีความคิดที่ตรงกันต่างคนต่างโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้อยากกลับไปยังที่ของตน“ฉันไม่มีอะไรต้องห่วง แม่สามีกดขี่ข่มเหงฉันเหลือเกิน หลี่เฉียงก็เย็นชาและใจร้าย มีเพีย
นับวันจางซูเจินก็ยิ่งไม่มีความสุขที่อยู่ในบ้านสกุลเยี่ย เธอต้องแบกรับความกดดันทั้งจากเยี่ยหงและสามีของตนเองแม่สามีที่ร้ายกาจทั้งการกระทำและคำพูด จ้องจะกำจัดเธอออกไปจากลูกชายสามีที่เย็นชาและไม่เคยปกป้องตนเลยสักครั้ง เย็นชา ไร้ความรู้สึก ตลอดห้าปีที่แต่งงานกับเขาเธอไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน“วันนี้แม่จะออกไปข้างนอก ลูกอยู่กับย่านะ” เธอบอกลูกสาวแล้วหยิบเงินในลิ้นชักที่สามีซ่อนไว้ออกมาจำนวนหนึ่ง“แม่คะ...” เยี่ยซิ่วอิงอยากห้าม แต่ก็กลัวว่ามารดาจะต่อว่าจึงไม่ได้พูดอะไร“เด็กดี อย่าบอกพ่อกับย่านะว่าแม่เอาเงินไป หากวันนี้โชคดีแม่จะซื้อลูกกวาดและเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้” น้ำเสียงนั้นพูดแล้วลูบศีรษะของเด็กหญิงวัยสี่ขวบอย่างรักใคร่เมื่อคืนนี้เธอฝันแปลกๆ แต่ไม่ใช่ฝันร้ายแต่อย่างใด ฝันว่ามีตัวเองอีกคนในกระจกในชุดที่สวยงาม วันนี้จึงเลือกชุดที่คล้ายกับในความฝันแล้วแต่งหน้าเพื่อให้แม่สามีเข้าใจว่าเธอมีธุระ“นั่นจะไปไหน” เยี่ยหงถามอย่างรู้ทัน“ฉันนัดเพื่อนเอาไว้ค่ะ” เธอโกหกแล้วหลบสายตาของหญิงวัยห้าสิบ รีบเดินออกจากประตูบ้านแล้วจูงจักรยานออกไปวันนี้มั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องได้ไม่มากก็น้อย แล้วปั่นจักรยานไ
ในตอนเย็นเธอพยายามจะเข้าไปช่วยแม่สามีในครัว แต่ก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาจึงมานั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นเยี่ยหลี่เฉียงกลับมาเห็นว่าภรรยานั่งเล่นอยู่อย่างสุขสบาย ในขณะที่มารดาของเขากำลังอยู่ในครัว เขาก็ยิ่งรู้สึกชิงชังภรรยาของตนเป็นอย่างมากในสายตาเขา เธอเป็นผู้หญิงที่เกียจคร้านไม่ทำอะไร ใช้แผนสกปรกเข้าหาผู้ชาย สองเดือนที่ผ่านมาเขาให้โอกาสเธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ก็ยังคงเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ปล่อยให้แม่ของเขาทำงานบ้านแบบนี้แล้วจะให้เขาเปิดใจยอมรับเธอ แล้วรักเธอลงได้อย่างไร“กลับมาแล้วเหรอคะ”เมื่อรู้ว่าสามีมาถึงแล้ว จางซูเจินก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเขา“วันนี้คุณกลับค่ำกว่าปกติ งั้นกินข้าวก่อนค่อยอาบน้ำดีหรือไม่” เธอถามสามีด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นสายตาที่เย็นชาของเขาเธอจึงเดินเข้าไปช่วยแม่สามียกอาหารออกมา พร้อมกับเตรียมถ้วยข้าวเพื่อที่จะตักข้าวให้แก่ทุกคนจากนั้นกลิ่นของอาหารก็ทำให้เธอรู้สึกคลื่นเหียน หญิงสาววิ่งออกไปที่หลังบ้านแล้วโก่งคออาเจียนกับกลิ่นที่เหม็นหืนนั้น“เป็นอะไรไปอีกล่ะ วันๆ เอาแต่เรียกร้องความสนใจ” เยี่ยหงพูดขึ้นมา ไม่ได้ส
“เมื่อคืนคุณขืนใจฉัน คุณต้องรับผิดชอบ” เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ได้ยินประโยคแรกจากปากของเธอร่องรอยหย่อมเลือดที่อยู่บนเตียงนั้นเป็นหลักฐานได้กว่าเขาได้ล่วงล้ำเธอไปแล้ว“แต่เท่าที่จำได้ คุณเป็นฝ่ายขึ้นมาอยู่บนตัวผม” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ และเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธเคืองผู้หญิงตรงหน้าเป็นอย่างมาก“คุณทำอย่างนั้นไปแล้ว หากไม่รับผิดชอบฉันจะต้องเข้าแจ้งความที่โรงพัก” เธอขู่เขา ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงยิ่งรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมากเกิดเรื่องเช่นนี้เขาจะต้องถูกไล่ออกจากงานและหมดอนาคตเลยทีเดียวหลังจากพูดคุยกันแล้ว เขาพาเธอกลับไปส่งที่บ้านสกุลจาง ไป่ลิ่วเมื่อรู้ว่าลูกเลี้ยงหายไปกับผู้ชายทั้งคืนก็ถึงกับโกรธจนตัวสั่นแล้วบอกให้เยี่ยหลี่เฉียงรีบมาสู่ขอหลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ งานแต่งงานเล็กๆ ก็ถูกจัดขึ้นที่บ้านสกุลจาง สินสอดก็ไม่ได้มากมายอย่างที่ไป่ลิ่วขอเอาไว้ตนไม่สามารถขายเธอให้กับเศรษฐีแก่ที่นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว จึงจำใจรับสินสอดเล็กน้อยเท่านั้นเยี่ยหงมองลูกสะใภ้ของตนด้วยความเกลียดชัง ยิ่งรู้ว่าการแต่งงานนี้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดก็ยิ่งรังเกียจและต่อต้านอยู่ในใจ แต่หาทำอะไรได้ไม่หากไม่
คุณหนูสกุลจางที่เคยมีบิดากางปีกปกป้อง เมื่อสิ้นบิดาไปแล้วจางซูเจินกลายเป็นคุณหนูตกอับที่ถูกแม่เลี้ยงยักยอกทรัพย์สมบัติทุกอย่างไปเป็นของตน แล้วให้เธออยู่ที่บ้านคอยรับใช้เยี่ยงทาสหญิงสาวไม่เคยเข้าครัวมาก่อนก็ต้องเข้าไปฝึกฝน แต่ด้วยความไม่ชำนาญจึงไม่ได้ทำอาหารให้รสชาติออกมาดี จนถูกแม่เลี้ยงต่อว่าและถูกตีอยู่เสมอไป่ลิ่วในวัยสี่สิบยังสวยสะพรั่ง เธอเป็นแม่เลี้ยงที่ไร้ความเมตตาต่อจางซูเจิน เพราะตอนที่สามียังมีชีวิตอยู่ให้ท้ายลูกเลี้ยงคนนี้มากจึงไม่กล้าแตะต้องแต่เมื่อสามีตายไป ความแค้นที่ถูกสามีละเลยจึงนำมาลงที่จางซูเจิน จนหญิงสาวแทบทนไม่ไหวแต่ก็ต้องอยู่ที่สกุลจางต่อไป เพราะที่นี่เป็นบ้านของเธอในช่วงสามเดือนแรกหลังจากที่บิดาของเธอจากไป ไป่ลิ่วครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดและใช้เงินเป็นว่าเล่น ซื้อข้าวของเครื่องประดับไม่เว้นแต่ละวันจนในที่สุดเงินที่มีก็เริ่มร่อยหรอลง จึงหันไป ลงทุนปล่อยเงินกู้ร่วมกับผู้ชายที่เข้ามาติดพันหวังจะเป็นคนร่ำรวย สุดท้ายก็ถูกโกงผู้ชายคนนั้นเอาเงินหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ไป่ลิ่ว จึงต้องขายของมีค่าเหล่านั้นที่ตนซื้อมาด้วยความจำใจ ระบายอารมณ์ด้วยการด่าทอและทุบตีจางซูเจิ
“เธอรู้เรื่องหลานคุณนายเฉินหรือยัง เฉินอี้หรูคนนั้น” หยางซินและซ่งเหลียนแวะมานั่งคุยที่ร้านเสริมสวยของจางซูเจิน แล้วนำข่าวลือมาเล่าให้ฟัง“ไม่เลย ตั้งแต่วันที่เจอกันตอนให้ปากคำที่โรงพักครั้งก่อน เห็นว่าแตกหักกับคุณนายเฉินและตัดสัมพันธ์กันไปแล้ว จากนั้นก็ไม่เห็นเธออีกเลย”จางซูเจินไม่ได้เล่าว่าตนได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายไปยั่วยวนนายลิ่วที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน“เฉินอี้หรูถูกนักเลงแถวนั้นตบตี ใครๆ ต่างก็บอกว่าเป็นฝีมือสะใภ้ลิ่ว สาเหตุเพราะเธอไปยุ่งเกี่ยวกับลิ่วเซียงเลยถูกภรรยาของเขาจ้างนักเลงไปตบตี แต่ก็ไม่มีพยานและหลักฐาน” ซ่งเหลียนเล่าเรื่องที่ตนได้ยินมา“พอทำอะไรไม่ได้ เฉินอี้หรูจึงคับแค้นใจ แล้วดักทำร้ายสะใภ้ลิ่วเพื่อแก้แค้น แต่โชคร้ายที่มีคนมาเห็นและช่วยเหลือเอาไว้ เธอจึงพลาดท่าแล้ว...แท้งลูก” หยางซินกระซิบเสียงเบาในประโยคท้าย“แท้งลูกอย่างนั้นหรือ” จางซูเจินตกใจ เพราะก่อนหน้านี้เฉินอี้หรูพยายามยั่วยวนสามีของตนแต่ก็ไม่ได้ผล พอเกิดเรื่องกับเฉินเหม่ยก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาลิ่วเซียง เรื่องเพิ่งเกิดไม่ถึงเดือนจะท้องแล้วแท้งอะไรรวดเร็วเช่นนั้น“พ่อแม่ของเฉินอี้หรูเค้นถามบุตรสาวของตน จนรู้ว่าจ