“แม่ วันนี้พวกมันไปกันหมดบ้านเลย แบบนี้ก็ทางสะดวกแล้วสินะ” หลี่เชี่ยนหยู่ที่รอคอยอยู่ เมื่อเห็นพวกบ้านสามออกนอกบ้านแล้ว จึงรีบวิ่งมาบอกแม่ตนเอง วันนี้โอกาสของเธอมาถึงแล้ว
“แกว่าอะไรนะเชี่ยนหยู่ บ้านสามน่ะหรือเข้าเมืองกันหมดบ้านแล้ว” ซ่งเจียฮุยเอ่ยถามด้วยความสนใจ เพราะหล่อนเองก็รอเวลานี้มาหลายวันแล้วเหมือนกัน
“ไปกันหมดเลยแม่ ในบ้านสามไม่เหลือใครเลย เรารีบไปดูกันดีกว่าว่ามีของอะไรที่จะเอามาเป็นของเราได้บ้าง เดี๋ยวจะไม่มีโอกาสหากพวกนั้นกลับมา” หญิงสาวพยายามเร่งแม่ตนเอง เพื่อให้ไปค้นบ้านใหญ่ เพื่อจะเอาของในบ้านนั้นมาเป็นของตัวเอง
“รอฉีหลินมาก่อนเถอะ แล้วค่อยไปพร้อมกัน” หล่อนบอกกับลูกสาว เพราะแผนการพวกนี้หลี่ฉีหลินเป็นคนบอกก่อน ฉะนั้นจึงต้องคอยก่อน
สะใภ้รองของบ้านมองสองแม่ลูกพร้อมกับส่ายหน้าอย่างระอา เวลานี้หลานสะใภ้จากบ้านสามอย่างฟางเจียวเหมย ดูจะมีเงินและดูจะฉลาดขึ้นกว่าเมื่อก่อน แถมความร้ายกาจก็ไม่ลดลงเลยมีแต่จะมากขึ้น การที่พี่สะใภ้และหลานสาวคอยจะแย่งชิงของจากบ้านสามแบบนี้ เธอมองว่ามันไม่สมควร เพราะคราวนี้หากเกิดอะไรขึ้น บ้านสามคงไม่เอาไว้แน่ ดูจากครั้งก่อนสิ
เพราะพี่สะใภ้ของเธอแย่งชิงเอาเงินค่าเล่าเรียนของหลี่เหว่ยเหลียนมาเพียงเล็กน้อย แต่กลับต้องชดใช้ด้วยการถูกตัดเงินที่บ้านสามจะต้องให้
บ้านใหญ่ครึ่งปี
ไม่แน่ว่าเรื่องราวในครั้งนี้ อาจจะร้ายแรงกว่าครั้งนั้นหลายเท่าตัว
ติงเหวินหลี่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย แม้ว่าเธอไม่ชอบบ้านสาม แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดชัง แต่ถ้าไม่ทำตามที่แม่สามีสั่ง เธอก็อยู่บ้านนี้ในฐานะสะใภ้ลำบากเหมือนกัน!!
สองแม่ลูกคุยกันไม่นานหลี่ฉีหลินก็มาถึง จากนั้นทั้งสามคนจึงพากันไปบ้านสามเพื่อเอาของที่มีค่าและอาหารมาเป็นของตัวเองทันที
“แม่ มาดูนี่สิ ตรงนี้มันห่อเสื้อผ้า มีแต่ของใหม่ ๆ ทั้งนั้นเลย”
หลี่เชี่ยนหยู่พูดด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นห่อเสื้อผ้ามากมายที่บ้านสามมี รวมถึงเครื่องประดับน่ารักอีกหลายอย่าง
“นั่นสิ ของแบบนี้เราเอาไปหมดเลยก็แล้วกัน เพราะอย่างไรก็ไม่เหมาะกับพวกบ้านสามหรอก” หลี่ฉีหลินรีบคว้าเอาถุงเสื้อผ้าหอบหิ้วเอาไว้โดยยังไม่แกะ และตั้งใจว่าจะเอาไปลองใส่ที่บ้าน
ซ่งเจียฮุยมองลูกสาวทั้งสองคนด้วยความระอา ที่เห็นแค่เสื้อผ้าและเครื่องประดับกลับมีท่าทีอยากได้ขนาดนั้น ส่วนหล่อนนั้นกลับค้นหาหีบใส่เงินมากกว่า จึงเอ่ยปากบอกกับลูกสาวทั้งสองคน
“พวกแกช่วยฉันหาหีบใส่เงินของบ้านสามก่อนเถอะ ฉันเชื่อว่าพวกมันมีเงินกันไม่น้อยเลยล่ะ”
“แม่คิดว่าเงินพวกนี้มันจะเก็บไว้ที่บ้านหรือไง ไม่ใช่ว่าออกจากบ้านกันหมด แล้วหอบเอากล่องเงินไปด้วยหรอกนะ ได้แค่เสื้อผ้า เครื่องประดับและอาหารพวกนี้ก็น่าจะพอแล้วนะแม่” หลี่ฉีหลินพูดขึ้นมา เธอเชื่อว่า
อาสะใภ้อาจจะเอาหีบเงินติดตัวไปด้วย
แต่ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังคุยกันอยู่นั้น ลูกสาวคนเล็กอย่าง
หลี่เชียนหยู่กลับพบเจอหีบเหล็กอันเล็ก ก่อนจะร้องเรียกเสียงดังให้แม่กับพี่สาวมาดูกล่องที่เธอค้นพบ
“แม่ พี่รอง มาดูนี่ว่าฉันเจออะไร”
“น่าจะเป็นหีบใส่เงินนะแม่ เชี่ยนหยู่เอามานี่” หลี่ฉีหลินเดินมาถึงคว้าเอาหีบเหล็กอันนี้มาดูทันทีพร้อมกับพูดขึ้น ซึ่งเธออดแปลกใจไม่ได้เลยว่าทำไมถึงไม่มีการใส่กุญแจไว้
“โอ้โห บ้านสามมีเงินเป็นร้อยหยวนเลยหรือ แบบนี้มันต้องยึดไปให้หมด” ซุ่งเจียฮุยเห็นเงินในกล่องก็ส่งเสียงตกใจปนดีใจออกมา เพราะไม่คิดว่าบ้านสามจะมีเงินเก็บเป็นร้อยหยวนแบบนี้
“อาสะใภ้น่ะหรือแม่จะมีเงินเก็บมากขนาดนี้ ฉันคิดว่าไม่ใช่หรอก น่าจะเป็นเงินสินเดิมของนังเจียวเหมยมากกว่า มันเที่ยวประกาศไม่ใช่หรือไงว่า มันมีสินเดิมจากแม่ของมันจำนวนไม่น้อย ทางที่ดีเงินนี้แม่ไม่ควรให้ย่ารู้ เพราะไม่อย่างนั้นย่าคงยึดเอาเข้ากองกลางไปจนหมด แล้วอย่าลืมว่ากองกลางไม่ใช่แค่บ้านใหญ่ แต่ยังมีบ้านรองด้วยนะแม่”
หลี่เชียนหยู่เอ่ยขึ้นมา เธอมองว่าเงินนี้น่าจะเป็นเงินสินเดิมของฟางเจียวเหมยมากกว่า ด้วยฐานะของบ้านสามไม่น่าจะมีเงินแบบนี้และต่อให้หลี่อี้ข่ายจะส่งเงินมาให้ทุกเดือน แต่อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้บ้านสามยังส่งเงินเข้ากองกลาง จึงเป็นไปไม่ได้ว่าเงินส่วนนี้จะเป็นเงินของบ้านสาม
“ฉันคิดเหมือนเชียนหยู่นะแม่ว่าเราไม่ควรเอาเงินส่วนนี้ส่งเข้า
กองกลาง” หลี่ฉีหลินพูดขึ้นอย่างเห็นด้วย
เมื่อสองเสียงเสนอมาแบบนี้ และเพราะความอยากได้เงินทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง ซ่งเจียฮุยจึงทำตามที่ลูกสาวทั้งสองเสนอมาโดยแบ่งให้ลูกสาวคนละสิบหยวน ส่วนที่เหลือเก็บไว้เอง จากนั้นเมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว สามคนแม่ลูกจึงรีบออกมา โดยเอาอาหารที่ฟางเจียวเหมยทำไว้ รวมถึงเนื้อหมูติดมือมาด้วย
สามแม่ลูกเดินออกมาจากบ้านสามอย่างสบายใจ ก่อนจะหลบมุมเพื่อแบ่งของให้กัน หลี่ฉีหลินเองก็ขอแบ่งอาหารเพื่อนำกลับบ้านสามีด้วยเหมือนกัน
ย้อนกลับมาทางด้านฟางเจียวเหมย หลังจากที่นั่งเกวียนเข้าเมืองมา หญิงสาวยังเหมาเกวียนเพื่อไปบ้านใหม่อีกทอดหนึ่ง เมื่อมาถึง หนิงหงชุนจึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เมื่อลูกสะใภ้นั้นไขกุญแจรั่วเข้าไปเหมือนกับเป็นบ้านตัวเอง
“เจียวเหมย พวกเราเข้ามาแบบนี้เจ้าของบ้านไม่ว่าหรอกหรือ”
“ไม่หรอกแม่ ในเมื่อบ้านนี้ฉันซื้อแล้ว มันจึงเป็นบ้านของฉันใครมันจะมาด่ากันล่ะ รีบเข้าบ้านเถอะนะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ก่อนจะเดินนำเข้าบ้าน
เมื่อเข้ามาด้านใน ฟางเจียวเหมยจึงเดินพาแม่และน้องสามีเข้าไปดูห้องที่เธอจัดเตรียมไว้ให้ทั้งสองคน รวมถึงบอกด้วยว่ามีห้องของฟางหลู่เฉินด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้สองแม่ลูกแปลกใจ เพราะคุยกันแล้วว่าถ้าเข้ามาอยู่ในเมืองเมื่อไร ฟางหลู่เฉินจะตามมาอยู่ด้วยกัน แต่ที่หนิงหงชุนแปลกใจคือลูกสะใภ้ของเธอนั้นเอาเงินจากไหนมาซื้อบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้
“เจียวเหมย แม่ขอถามได้ไหมว่าลูกเอาเงินที่ไหนมาซื้อบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้ แม่คิดว่าคงหลายพันหยวนแน่ ๆ” เมื่อเกิดความสงสัย
หนิงหงชุนจึงเอ่ยถามขึ้นตรงๆ
“เรื่องนั้นน้าหงชุนไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เราสองพี่น้องยังมี
สินเดิมที่แม่ทิ้งไว้ให้จำนวนหนึ่ง หากจะรอให้ได้กำไรแล้วค่อยมาซื้อบ้านคงใช้เวลาหลายเดือน เราสองพี่น้องจึงตัดสินใจขายสินเดิมที่มีราคาไปชิ้นสองชิ้น แล้วเอาเงินมาซื้อบ้านหลังนี้ น้าอย่าคิดมากเลยนะครับ” ฟางหลู่เฉินเลือกที่จะเป็นคนตอบข้อสงสัยนี้เอง เขามองว่าแม่สามีของน้องสาวน่าจะเชื่อถือในคำพูดของเขามากกว่า
“แต่อย่างไรมันก็ไม่สมควรทำอย่างนั้น แม่ของทั้งสองคนเลือกที่จะทิ้งสินเดิมไว้ให้ ก็ไม่ควรเอาออกมาขายเพื่อนำเงินมาใช้แบบนี้” หนิงหงชุนพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยปนกังวลใจ
“แม่เคยสั่งไว้ครับ ว่าหากจำเป็นต้องใช้เงินให้เอาของพวกนี้ออกมาขาย ดีกว่าต้องทนลำบากครับ เวลานี้ทั้งผมและบ้านสามหลี่ควรจะออกมาใช้ชีวิตเป็นของตัวเองเสียที ผมและเจียวเหมยเลยตัดสินใจขายครับ จริงสิ อีกไม่นานน้องเขยก็กลับมาแล้ว นอกจากบ้านหลังนี้แล้ว เจียวเหมยยังซื้อร้านขายข้าวสารและอาหารแห้งด้วยนะครับ ตอนนี้รอเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ในใบอนุญาตครับ
และเมื่อน้องเขยกลับมา พวกเราจะมีกิจการค้าขายเป็นของตัวเองแล้ว แต่ทั้งเรื่องบ้านและเรื่องร้านค้า น้าหงชุนรับปากได้ไหมครับ ว่าจะยังไม่บอกใครจนกว่าจะแยกบ้านได้ เพราะหากบ้านหลี่รู้ว่าน้องมีทรัพย์สินและร้านค้า พวกคนเห็นแก่ตัวคงอยากมามีส่วนร่วมด้วยและไม่ยอมให้แยกบ้านแน่ ๆ ครับ”
สุดท้ายแล้ว ฟางหลู่เฉินไม่วายที่จะขอคำมั่นสัญญาจากหนิงหงชุนเรื่องที่จะไม่แพร่งพรายเรื่องบ้านและร้านค้าให้ใครรับรู้ โดยยกเอาความ เห็นแก่ตัวของบ้านหลี่ขึ้นมาอ้าง
“ได้สิ น้ารับปาก” หนิงหงชุนรีบรับปากทันที แม้เธอไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นเงินสินเดิม เพราะทั้งบ้านและร้านค้ารวมกันคงเป็นหมื่นหยวน
แต่ก็ยินดีรับปากที่จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเพราะกลัวจะมีเรื่องยุ่งยากตามมา
“วันนี้เราอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับ รอจัดการบ้านใหญ่แล้วพวกเราก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองกันแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยมาเดินดูรอบๆ ก็ยังได้” ฟางเจียวเหมยไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว เวลานี้เธอมั่นใจว่าคนพวกนั้นน่าจะเข้าไปขโมยของที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะพูดกับแม่สามีด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง
“แม่ค่ะ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่จะต้องไม่ยอมบ้านใหญ่นะคะ แม่จะต้องตัดสินใจว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และจะแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วย หากแม่อยากให้พี่อี้ข่ายกลับมา และไม่อยากให้บ้านใหญ่ฉกชิงบ้านและร้านค้าไป แม่ต้องเด็ดขาด แม่ทำเพื่อพวกเราได้ไหมคะ เพราะเวลานี้แม่คือหัวหน้าครอบครัว”
“นะคะแม่ แม่ต้องทำตามอย่างพี่สะใภ้บอกนะคะ ฉันอยากหลุดพ้นจากบ้านใหญ่ อยากทำงานและเรียนต่อมหาวิทยาลัย จะได้มาช่วยพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้หลังเรียนจบ”
หลังจากที่ฟังพี่สะใภ้บอกกล่าวกับแม่ หลี่เหว่ยเหลียนจึงย้ำเตือนและบอกถึงความต้องการเรื่องการเรียนต่อของเธอให้แม่รับรู้
“ได้สิ แม่จะทำเพื่อทุกคน และเราจะได้หลุดพ้นจากบ้านใหญ่เสียที อาหมิงและหนิงหนิงจะต้องเติบโตมาด้วยสังคมที่ดี เรากลับบ้านกันเถอะ”
หนิงหงชุนตอบกลับด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว เพราะที่ผ่านมาเธออ่อนแอจนบ้านสามต้องถูกเอารัดเอาเปรียบแทบจะไม่มีกิน แต่วันนี้เพื่ออนาคตของลูกและหลาน เธอจะไม่มีวันยอมหรือว่าอ่อนแอให้กับบ้านใหญ่อีกแล้ว!!
“กรี๊ดดดดดดด คัน คันเหลือเกิน”
เสียงกรีดร้องของหลี่เชียนหยู่ดังขึ้นจนคนในบ้านพากันตกใจ ก่อนจะมีเสียงร้องของซ่งเจียฮุยดังขึ้นมาอีกคน
“กรี๊ดดดดด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมฉันถึงได้คันแบบนี้”
สองแม่ลูกต่างพากันกรีดร้องด้วยความทรมานที่เกิดจากอาการคันที่ไม่รู้สาเหตุ
“เกิดอะไรขึ้น แล้วนั่นหล่อนเป็นอะไรสะใภ้ใหญ่ ใส่เสื้อผ้าไม่ซักหรืออย่างไร แต่เอ๊ะ...” ย่าหลี่ได้ยินเสียงกรีดร้องก็เดินเข้ามาดูแล้วเอ่ยถาม แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าลูกสะใภ้ใหญ่กับหลานสาวใส่เสื้อผ้าใหม่ จึงเงียบไปก่อนจะครุ่นคิดบางอย่าง
“สงสัยพี่สะใภ้จะเข้าไปขโมยของบ้านสามมาหรือเปล่าคะ แบบนี้ไม่ใช่ว่าโดนหลานสะใภ้เล่นงานมาหรอกหรือ” สะใภ้รองเอ่ยขึ้นมาเพราะหล่อนได้ยินสามแม่ลูกวางแผนกันก่อนหน้านี้ นี่แสดงว่าโดนฟางเจียวเหมยเล่นงานเข้าแล้วสินะ
“นังเจียวเหมย!!” ซ่งเจียฮุยเมื่อคิดตามคำพูดของน้องสะใภ้ก็
กรีดร้องเรียกชื่อหลานสะใภ้ด้วยความแค้น เพราะเชื่อว่าที่เป็นแบบนี้เพราะการกระทำของฟางเจียวเหมยนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน ฟางเจียวเหมยและทุกคนที่กลับมาถึงหมู่บ้าน
แล้วก็ตรงดิ่งเข้าบ้านใหญ่ทันที และได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของคนที่โดนหมามุ่ย ก็ยกยิ้มออกมาอย่างสะใจ
“ป้าสะใภ้เรียกฉันทำไม หรือว่าคิดถึงหลานสะใภ้คนนี้”
ฟางเจียวเหมยถามออกไปอย่างไร้เดียงสา แต่แววตามีความสะใจอยู่เต็มเปี่ยม
บทส่งท้าย ครอบครัวอบอุ่นหลี่อี้ข่ายเมื่อรู้เรื่องว่าภรรยาเหมือนจะคลอดแล้วจึงรีบตามไปที่โรงพยาบาลทันที พอมาถึงก็รู้ว่าภรรยาได้เข้าไปในห้องคลอดแล้ว เขาได้แต่เดินไปเดินมาที่หน้าห้องคลอด จนทุกคนเวียนหัวไปหมดแล้วในตอนนี้“อาข่ายหยุดเดินแล้วมานั่งก่อนเถอะ ตาเวียนหัวไปหมดแล้ว” นายท่านผู้เฒ่ากงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นเพราะเขาเวียนหัวไปหมดแล้วจากการเดินของหลานเขย“ครับ คุณตา”แต่ถึงแม้จะบอกอย่างนั้น หลี่อี้ข่ายก็ไม่ยอมนั่ง เขาเดินไปยืนเอาหน้าแนบประตูห้องคลอด เหมือนกับว่าจะมองให้ทะลุเข้าไปในห้องให้ได้ นั่นจึงทำให้ทุกคนส่ายหัวให้กับความตื่นเต้นของเขา ทั้ง ๆ ที่เคยมีลูกมาก่อนแล้วสองคนไม่นานประตูก็เปิดออกและมีคุณหมอก็ออกมาแจ้งข่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มว่า“ยินดีด้วยนะคะ คุณเจียวเหมยคลอดลูกแฝดชายหญิงค่ะ”“ภรรยาผมเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ” ชายหนุ่มรีบถามถึงอาการของภรรยาก่อนจนคุณหมอต้องอมยิ้ม เพราะเขาไม่ถามเลยว่าแฝดกี่คน‘ดูท่าว่าคนนี้จะรักภรรยามากจริง ๆ’ หมอคิดในใจ“ภรรยาคุณหลังจากที่คลอดลูกก็เพลียจนตอนนี้หลับไปแล้วค่ะ อาการปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกเลยค่ะ ว่าแต่คุณพ่อไม่ถามเหรอคะ ว่าคราวนี้ลูกแฝ
บทที่ 74 รับปู่กับย่ามาอยู่ด้วย“ฮือ ๆ ๆ ตาแก่นั่นตอนนี้ป่วยหนัก แต่ย่าไม่มีเงินพาไปหาหมอเพราะสะใภ้ใหญ่แอบเอาเงินที่มีไปให้บ้านเดิมยืม จนตอนนี้บ้านซ่งก็ยังไม่คืน แถมเมียอาจงพอเห็นสามีติดคุกก็หอบเงินที่มีหนีไปอีก ตอนนี้บ้านหลี่เราลำบากมาก แทบไม่มีอะไรกิน ตาแก่ทำงานหนักจนร่างกายไม่ไหวสะดุดล้มหน้าบ้าน จากนั้นก็เดินไม่ได้อีกและนอนป่วยอยู่ที่บ้าน กินน้ำต้มข้าวประทังชีวิตไปวัน ๆ ”ย่าหลี่พูดออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ นางเคยบากหน้าไปขอจากลูกคนรอง แต่บ้านนั้นแทบจะไม่เปิดประตูต้อนรับนางเช่นกันหลี่อี้ข่ายได้ฟังอย่างนั้นก็หันไปสบสายตากับฟางเจียวเหมย เมื่อเธอพยักหน้าให้ เขาก็ออกคำสั่งกับคนที่เป็นทั้งสหายและลูกน้องคนสนิทของตนเองทันที“เผิงหยู่ นายเอารถฉันพาย่าไปรับปู่แล้วรีบไปส่งโรงพยาบาล ค่ารักษาฉันจะจ่ายเองทั้งหมด อ้อ เอาอาหารแล้วก็ของใช้ไปให้เพียงพอสำหรับปู่กับย่าด้วยนะ คนอื่นไม่เกี่ยว” ชายหนุ่มไม่อยากคิดถึงความร้ายกาจที่บ้านใหญ่มีต่อบ้านสามของเขา ครั้งนี้เขาขอทำเพื่อพ่อที่จากไป อย่างน้อยก็ได้กตัญญูแทนท่าน และเขาทำให้ปู่กับย่าเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์“ครับเถ้าแก่” เผิงหยู่ขานรับทันที เขารู้สิ่
บทที่ 73 ความสุขที่ได้แบ่งปันข่าวเรื่องที่ร้านหลี่ฟางจะตั้งโรงทานเพื่อแจกอาหารและของใช้ให้ชาวบ้าน ต่างกระจายไปทั่ว ไม่ว่าหมู่บ้านนั้นจะอยู่ลึกและกันดารแค่ไหน สามล้อพุ่มพวงก็เดินทางไปส่งข่าวหลังจากขายของหมดแล้ว ชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็ตื่นเต้นดีใจ ทุกคนได้แต่อวยพรให้ร้านหลี่ฟางขายดีและร่ำรวยยิ่งกว่าเดิม พอนายท่านกงและนายท่านผู้เฒ่ากงทราบเรื่อง ทั้งสองก็มาช่วยลงขันด้วย โดยการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่ยากไร้ ไม่มีทุนทรัพย์ในการเรียนต่อเบื้องต้นจำนวน 50 ทุนและจะพิจารณาทุนให้เป็นการเฉพาะรายที่อยากเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย โดยจะคัดเลือกจากคนเรียนดีแต่ยากจนจริงๆ อีกครั้งในภายหลัง พอเรื่องนี้เข้าหูชาวบ้าน ทุกคนก็ยิ่งดีใจมาก เพราะหลายครอบครัวที่อยากส่งลูกหลานเรียนแต่ไม่มีเงิน“ขอบคุณตระกูลหลี่ ตระกูลฟาง และตระกูลกง นอกจากฉันจะไม่อดตายในหน้าหนาวปีนี้แล้ว หลานของฉันมีโอกาสได้เรียนต่อตามที่เขาตั้งใจไว้อีกด้วยขอบคุณจริงๆ”ยายเฒ่าคนหนึ่งหลั่งน้ำตาออกมา เมื่อได้ยินประกาศจากรถสามล้อพุ่มพวง เนื่องจากเธออาศัยอยู่กับหลานชายและลูกชาย ซึ่งตอนนี้หลานชายเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เนื่องจากบ้านพวกเธอต่างยอม
บทที่ 72 คืนกำไรให้ชาวบ้าน“เป็นอย่างไรบ้าง อย่างที่คิดไหม” นายท่านผู้เฒ่ากงสอบถามทันทีด้วยสีหน้าร้อนรนปนตื่นเต้น เมื่อหลานทั้งสองคนกลับมาถึงบ้าน“เป็นอย่างที่คิดครับคุณตา เจียวเหมยตั้งท้องแล้วครับ แปดสัปดาห์แล้วครับคุณตา” หลี่อี้ข่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เพราะเวลานี้เขากำลังดีใจที่จะมีลูกเพิ่ม“จริงหรือ” หนิงหงชุนพอได้ยินว่าลูกสะใภ้ตั้งท้องอีกครั้งก็รีบวางหลานสาวเข้าคอกกั้น ก่อนจะวิ่งออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจส่วนนายท่านผู้เฒ่ากงปรากฏรอยยิ้มดีใจบนใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่“จริงครับแม่”หลี่อี้ข่ายตอบกลับผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน เนื่องจากเวลานี้เขากำลังดีใจกว่าทุกคนในเรื่องนี้ ส่วนฟางเจียวเหมยนั้นไม่ต้องห่วง เธอนั้นมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งอบอุ่นหัวใจและดีใจก่อนจะเดินไปหาลูกน้อยทั้งสองคนที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในคอก“อาหมิง หนิงหนิง เราสองคนกำลังมีน้องแล้วนะ ดีใจไหม” ความดีใจนี้เธออยากจะบอกให้ลูกทั้งสองคนรับรู้“น้อนเหยอ” หลี่ลี่หนิงละทิ้งของเล่นในมือพร้อมกับเอียงคอถามด้วยท่าทีที่น่ารัก“ค่ะลูก หนูกำลังจะมีน้องรู้ไหม” หญิงสาวตอบกลับพร้อมกับลูบหัวลูกสาวตัวน้อยด้วยความอ่อนโยน ส่วนหลี่ชุน
บทที่ 71 ตั้งท้องแล้วหลังจากเปิดใจกันวันนั้นฟางหลู่เฉินและหลี่เหว่ยเหลียนก็ได้เปิดตัวกับทุกคน ซึ่งทั้งสองครอบครัวต่างก็ยินดีกับทั้งสองคนด้วย รวมถึงนายท่านผู้เฒ่ากงด้วย วันเวลาล่วงเลยจนอี้เสี่ยวม่านใกล้คลอดแล้ว ส่วนกงเฉิงเสวียนก็เดินทางไปกลับระหว่างสองเมืองเพื่อดูแลงานเองทุกที่ รวมถึงร้านรับซื้อหยกของเขาด้วย มีบางครั้งที่ฟางเจียวเหมยและสามีตามไปด้วยเพื่อหาซื้อหยกแล้วขายต่อให้พี่ชายอีกทั้งเวลานี้โรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ก็คืบหน้าไปมาก เพราะฟางเจียวเหมยทุ่มเงินไปกับส่วนนี้ไม่น้อย แม้การก่อสร้างจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ประสิทธิภาพและความคงทนแข็งแรงนั้นไม่ด้อยไปกว่าใคร เพราะทรัพย์สินพวกนี้เป็นอะไรที่สามารถเก็บกินระยะยาวหลายสิบปีและเธอตั้งใจจะทำเพื่อมอบไว้ให้ลูก ๆฟางเจียวเหมยและหลี่อี้ข่าย ตอนนี้ทั้งสองคนมีอิทธิพลในเมืองแห่งนี้และเมืองใกล้ ๆ ไม่น้อย เพราะกิจการที่เจริญรุ่งเรืองไม่หยุดของทั้งคู่ ทำให้เป็นที่นับหน้าถือตาของกลุ่มนักธุรกิจด้วยกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าชาวบ้านธรรมดา จะกลายเป็นผู้มีเงินได้มากขนาดนี้อีกทั้งคุณนายหลี่อย่างฟางเจียวเหมย ยังมีฐานะเป็นหลานสาวของตระกูลกงที่มั่งคั่งและร่ำรวยระ
บทที่ 70 คำสารภาพของฟางหลู่เฉินหลังจากส่งนายท่านกงขึ้นรถแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง รวมถึงกงเฉิงเสวียนที่เปิดกิจการใหม่ที่นี่ด้วยนั่นก็คือโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ตามคำแนะนำของน้องสาวอย่างฟางเจียวเหมย ซึ่งเธอก็สร้างด้วยเหมือนกัน เพราะกิจกรรมพวกนี้ มันไม่ได้แย่งชิงลูกค้ากันอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นที่ต้องการของคนที่อยากมีบ้านแต่ทุนน้อยและไม่มีที่ดินของตนเอง ซึ่งการที่ฟางเจียวเหมยให้พี่ชายคนนี้มาทำกิจการนี้ นั่นก็เพราะว่ากงเฉิงเสวียนมีเส้นสายในการขออนุญาตกับภาครัฐอย่างไรล่ะ หากเป็นตาสีตาสาเช่นเธอ ทุกอย่างคงจะยากน่าดูพอทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว นายท่านผู้เฒ่ากงก็หันมาเล่นกับสองแฝดด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของชายชราปรากฏให้เห็นแล้วว่าเขานั้นมีความสุขที่จะอยู่ตรงนี้ ซึ่งเด็กน้อยแม้จะพูดไม่ค่อยชัดเพราะเริ่มหัดพูด แต่ก็พยายามโต้ตอบสื่อสารกับผู้เป็นทวดของทั้งสองคนอย่างร่าเริง“ฉันฝากสองแฝดหน่อยนะคะนายท่านผู้เฒ่า เดี๋ยวจะไปเตรียมอาหารไว้สำหรับมื้อเที่ยงของเด็กๆ วันนี้นายท่านต้องการรับประทานอาหารชนิดไหนคะ ฉันจะได้เตรียมไว้ให้” หนิงหงชุนพอเห็นว่าทุกคนไปหมดแล้ว เลยฝากหลานทั้งสองไว้ให้นายท่านผู้