แชร์

บทที่ 19 จับโจรอย่างสะใจ

ผู้เขียน: sanvittayam
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-25 11:55:57

บทที่ 19 จับโจรอย่างสะใจ

“แม่ วันนี้พวกมันไปกันหมดบ้านเลย แบบนี้ก็ทางสะดวกแล้วสินะ” หลี่เชี่ยนหยู่ที่รอคอยอยู่ เมื่อเห็นพวกบ้านสามออกนอกบ้านแล้ว จึงรีบวิ่งมาบอกแม่ตนเอง วันนี้โอกาสของเธอมาถึงแล้ว

“แกว่าอะไรนะเชี่ยนหยู่ บ้านสามน่ะหรือเข้าเมืองกันหมดบ้านแล้ว” ซ่งเจียฮุยเอ่ยถามด้วยความสนใจ เพราะหล่อนเองก็รอเวลานี้มาหลายวันแล้วเหมือนกัน

“ไปกันหมดเลยแม่ ในบ้านสามไม่เหลือใครเลย เรารีบไปดูกันดีกว่าว่ามีของอะไรที่จะเอามาเป็นของเราได้บ้าง เดี๋ยวจะไม่มีโอกาสหากพวกนั้นกลับมา” หญิงสาวพยายามเร่งแม่ตนเอง เพื่อให้ไปค้นบ้านใหญ่ เพื่อจะเอาของในบ้านนั้นมาเป็นของตัวเอง

“รอฉีหลินมาก่อนเถอะ แล้วค่อยไปพร้อมกัน” หล่อนบอกกับลูกสาว เพราะแผนการพวกนี้หลี่ฉีหลินเป็นคนบอกก่อน ฉะนั้นจึงต้องคอยก่อน

สะใภ้รองของบ้านมองสองแม่ลูกพร้อมกับส่ายหน้าอย่างระอา เวลานี้หลานสะใภ้จากบ้านสามอย่างฟางเจียวเหมย ดูจะมีเงินและดูจะฉลาดขึ้นกว่าเมื่อก่อน แถมความร้ายกาจก็ไม่ลดลงเลยมีแต่จะมากขึ้น การที่พี่สะใภ้และหลานสาวคอยจะแย่งชิงของจากบ้านสามแบบนี้ เธอมองว่ามันไม่สมควร เพราะคราวนี้หากเกิดอะไรขึ้น บ้านสามคงไม่เอาไว้แน่ ดูจากครั้งก่อนสิ

เพราะพี่สะใภ้ของเธอแย่งชิงเอาเงินค่าเล่าเรียนของหลี่เหว่ยเหลียนมาเพียงเล็กน้อย แต่กลับต้องชดใช้ด้วยการถูกตัดเงินที่บ้านสามจะต้องให้

บ้านใหญ่ครึ่งปี

ไม่แน่ว่าเรื่องราวในครั้งนี้ อาจจะร้ายแรงกว่าครั้งนั้นหลายเท่าตัว

ติงเหวินหลี่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย แม้ว่าเธอไม่ชอบบ้านสาม แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดชัง แต่ถ้าไม่ทำตามที่แม่สามีสั่ง เธอก็อยู่บ้านนี้ในฐานะสะใภ้ลำบากเหมือนกัน!!

สองแม่ลูกคุยกันไม่นานหลี่ฉีหลินก็มาถึง จากนั้นทั้งสามคนจึงพากันไปบ้านสามเพื่อเอาของที่มีค่าและอาหารมาเป็นของตัวเองทันที

“แม่ มาดูนี่สิ ตรงนี้มันห่อเสื้อผ้า มีแต่ของใหม่ ๆ ทั้งนั้นเลย”

หลี่เชี่ยนหยู่พูดด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นห่อเสื้อผ้ามากมายที่บ้านสามมี รวมถึงเครื่องประดับน่ารักอีกหลายอย่าง

“นั่นสิ ของแบบนี้เราเอาไปหมดเลยก็แล้วกัน เพราะอย่างไรก็ไม่เหมาะกับพวกบ้านสามหรอก” หลี่ฉีหลินรีบคว้าเอาถุงเสื้อผ้าหอบหิ้วเอาไว้โดยยังไม่แกะ และตั้งใจว่าจะเอาไปลองใส่ที่บ้าน

ซ่งเจียฮุยมองลูกสาวทั้งสองคนด้วยความระอา ที่เห็นแค่เสื้อผ้าและเครื่องประดับกลับมีท่าทีอยากได้ขนาดนั้น ส่วนหล่อนนั้นกลับค้นหาหีบใส่เงินมากกว่า จึงเอ่ยปากบอกกับลูกสาวทั้งสองคน

 “พวกแกช่วยฉันหาหีบใส่เงินของบ้านสามก่อนเถอะ ฉันเชื่อว่าพวกมันมีเงินกันไม่น้อยเลยล่ะ”

“แม่คิดว่าเงินพวกนี้มันจะเก็บไว้ที่บ้านหรือไง ไม่ใช่ว่าออกจากบ้านกันหมด แล้วหอบเอากล่องเงินไปด้วยหรอกนะ ได้แค่เสื้อผ้า เครื่องประดับและอาหารพวกนี้ก็น่าจะพอแล้วนะแม่” หลี่ฉีหลินพูดขึ้นมา เธอเชื่อว่า

อาสะใภ้อาจจะเอาหีบเงินติดตัวไปด้วย

แต่ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังคุยกันอยู่นั้น ลูกสาวคนเล็กอย่าง

หลี่เชียนหยู่กลับพบเจอหีบเหล็กอันเล็ก ก่อนจะร้องเรียกเสียงดังให้แม่กับพี่สาวมาดูกล่องที่เธอค้นพบ

“แม่ พี่รอง มาดูนี่ว่าฉันเจออะไร”

“น่าจะเป็นหีบใส่เงินนะแม่ เชี่ยนหยู่เอามานี่” หลี่ฉีหลินเดินมาถึงคว้าเอาหีบเหล็กอันนี้มาดูทันทีพร้อมกับพูดขึ้น ซึ่งเธออดแปลกใจไม่ได้เลยว่าทำไมถึงไม่มีการใส่กุญแจไว้

“โอ้โห บ้านสามมีเงินเป็นร้อยหยวนเลยหรือ แบบนี้มันต้องยึดไปให้หมด” ซุ่งเจียฮุยเห็นเงินในกล่องก็ส่งเสียงตกใจปนดีใจออกมา เพราะไม่คิดว่าบ้านสามจะมีเงินเก็บเป็นร้อยหยวนแบบนี้

“อาสะใภ้น่ะหรือแม่จะมีเงินเก็บมากขนาดนี้ ฉันคิดว่าไม่ใช่หรอก น่าจะเป็นเงินสินเดิมของนังเจียวเหมยมากกว่า มันเที่ยวประกาศไม่ใช่หรือไงว่า มันมีสินเดิมจากแม่ของมันจำนวนไม่น้อย ทางที่ดีเงินนี้แม่ไม่ควรให้ย่ารู้ เพราะไม่อย่างนั้นย่าคงยึดเอาเข้ากองกลางไปจนหมด แล้วอย่าลืมว่ากองกลางไม่ใช่แค่บ้านใหญ่ แต่ยังมีบ้านรองด้วยนะแม่”

หลี่เชียนหยู่เอ่ยขึ้นมา เธอมองว่าเงินนี้น่าจะเป็นเงินสินเดิมของฟางเจียวเหมยมากกว่า ด้วยฐานะของบ้านสามไม่น่าจะมีเงินแบบนี้และต่อให้หลี่อี้ข่ายจะส่งเงินมาให้ทุกเดือน แต่อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้บ้านสามยังส่งเงินเข้ากองกลาง จึงเป็นไปไม่ได้ว่าเงินส่วนนี้จะเป็นเงินของบ้านสาม

“ฉันคิดเหมือนเชียนหยู่นะแม่ว่าเราไม่ควรเอาเงินส่วนนี้ส่งเข้า

กองกลาง” หลี่ฉีหลินพูดขึ้นอย่างเห็นด้วย

เมื่อสองเสียงเสนอมาแบบนี้ และเพราะความอยากได้เงินทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง ซ่งเจียฮุยจึงทำตามที่ลูกสาวทั้งสองเสนอมาโดยแบ่งให้ลูกสาวคนละสิบหยวน ส่วนที่เหลือเก็บไว้เอง จากนั้นเมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว สามคนแม่ลูกจึงรีบออกมา โดยเอาอาหารที่ฟางเจียวเหมยทำไว้ รวมถึงเนื้อหมูติดมือมาด้วย

สามแม่ลูกเดินออกมาจากบ้านสามอย่างสบายใจ ก่อนจะหลบมุมเพื่อแบ่งของให้กัน หลี่ฉีหลินเองก็ขอแบ่งอาหารเพื่อนำกลับบ้านสามีด้วยเหมือนกัน

ย้อนกลับมาทางด้านฟางเจียวเหมย หลังจากที่นั่งเกวียนเข้าเมืองมา หญิงสาวยังเหมาเกวียนเพื่อไปบ้านใหม่อีกทอดหนึ่ง เมื่อมาถึง หนิงหงชุนจึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เมื่อลูกสะใภ้นั้นไขกุญแจรั่วเข้าไปเหมือนกับเป็นบ้านตัวเอง

“เจียวเหมย พวกเราเข้ามาแบบนี้เจ้าของบ้านไม่ว่าหรอกหรือ”

“ไม่หรอกแม่ ในเมื่อบ้านนี้ฉันซื้อแล้ว มันจึงเป็นบ้านของฉันใครมันจะมาด่ากันล่ะ รีบเข้าบ้านเถอะนะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

ก่อนจะเดินนำเข้าบ้าน

เมื่อเข้ามาด้านใน ฟางเจียวเหมยจึงเดินพาแม่และน้องสามีเข้าไปดูห้องที่เธอจัดเตรียมไว้ให้ทั้งสองคน รวมถึงบอกด้วยว่ามีห้องของฟางหลู่เฉินด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้สองแม่ลูกแปลกใจ เพราะคุยกันแล้วว่าถ้าเข้ามาอยู่ในเมืองเมื่อไร ฟางหลู่เฉินจะตามมาอยู่ด้วยกัน แต่ที่หนิงหงชุนแปลกใจคือลูกสะใภ้ของเธอนั้นเอาเงินจากไหนมาซื้อบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้

“เจียวเหมย แม่ขอถามได้ไหมว่าลูกเอาเงินที่ไหนมาซื้อบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้ แม่คิดว่าคงหลายพันหยวนแน่ ๆ” เมื่อเกิดความสงสัย

หนิงหงชุนจึงเอ่ยถามขึ้นตรงๆ

“เรื่องนั้นน้าหงชุนไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เราสองพี่น้องยังมี

สินเดิมที่แม่ทิ้งไว้ให้จำนวนหนึ่ง หากจะรอให้ได้กำไรแล้วค่อยมาซื้อบ้านคงใช้เวลาหลายเดือน เราสองพี่น้องจึงตัดสินใจขายสินเดิมที่มีราคาไปชิ้นสองชิ้น แล้วเอาเงินมาซื้อบ้านหลังนี้ น้าอย่าคิดมากเลยนะครับ” ฟางหลู่เฉินเลือกที่จะเป็นคนตอบข้อสงสัยนี้เอง เขามองว่าแม่สามีของน้องสาวน่าจะเชื่อถือในคำพูดของเขามากกว่า

“แต่อย่างไรมันก็ไม่สมควรทำอย่างนั้น แม่ของทั้งสองคนเลือกที่จะทิ้งสินเดิมไว้ให้ ก็ไม่ควรเอาออกมาขายเพื่อนำเงินมาใช้แบบนี้” หนิงหงชุนพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยปนกังวลใจ

“แม่เคยสั่งไว้ครับ ว่าหากจำเป็นต้องใช้เงินให้เอาของพวกนี้ออกมาขาย ดีกว่าต้องทนลำบากครับ เวลานี้ทั้งผมและบ้านสามหลี่ควรจะออกมาใช้ชีวิตเป็นของตัวเองเสียที ผมและเจียวเหมยเลยตัดสินใจขายครับ จริงสิ อีกไม่นานน้องเขยก็กลับมาแล้ว นอกจากบ้านหลังนี้แล้ว เจียวเหมยยังซื้อร้านขายข้าวสารและอาหารแห้งด้วยนะครับ ตอนนี้รอเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ในใบอนุญาตครับ

และเมื่อน้องเขยกลับมา พวกเราจะมีกิจการค้าขายเป็นของตัวเองแล้ว แต่ทั้งเรื่องบ้านและเรื่องร้านค้า น้าหงชุนรับปากได้ไหมครับ ว่าจะยังไม่บอกใครจนกว่าจะแยกบ้านได้ เพราะหากบ้านหลี่รู้ว่าน้องมีทรัพย์สินและร้านค้า พวกคนเห็นแก่ตัวคงอยากมามีส่วนร่วมด้วยและไม่ยอมให้แยกบ้านแน่ ๆ ครับ”

สุดท้ายแล้ว ฟางหลู่เฉินไม่วายที่จะขอคำมั่นสัญญาจากหนิงหงชุนเรื่องที่จะไม่แพร่งพรายเรื่องบ้านและร้านค้าให้ใครรับรู้ โดยยกเอาความ เห็นแก่ตัวของบ้านหลี่ขึ้นมาอ้าง

“ได้สิ น้ารับปาก” หนิงหงชุนรีบรับปากทันที แม้เธอไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นเงินสินเดิม เพราะทั้งบ้านและร้านค้ารวมกันคงเป็นหมื่นหยวน

แต่ก็ยินดีรับปากที่จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเพราะกลัวจะมีเรื่องยุ่งยากตามมา

“วันนี้เราอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับ รอจัดการบ้านใหญ่แล้วพวกเราก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองกันแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยมาเดินดูรอบๆ ก็ยังได้” ฟางเจียวเหมยไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว เวลานี้เธอมั่นใจว่าคนพวกนั้นน่าจะเข้าไปขโมยของที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะพูดกับแม่สามีด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง

“แม่ค่ะ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่จะต้องไม่ยอมบ้านใหญ่นะคะ แม่จะต้องตัดสินใจว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และจะแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วย หากแม่อยากให้พี่อี้ข่ายกลับมา และไม่อยากให้บ้านใหญ่ฉกชิงบ้านและร้านค้าไป แม่ต้องเด็ดขาด แม่ทำเพื่อพวกเราได้ไหมคะ เพราะเวลานี้แม่คือหัวหน้าครอบครัว”

“นะคะแม่ แม่ต้องทำตามอย่างพี่สะใภ้บอกนะคะ ฉันอยากหลุดพ้นจากบ้านใหญ่ อยากทำงานและเรียนต่อมหาวิทยาลัย จะได้มาช่วยพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้หลังเรียนจบ”

หลังจากที่ฟังพี่สะใภ้บอกกล่าวกับแม่ หลี่เหว่ยเหลียนจึงย้ำเตือนและบอกถึงความต้องการเรื่องการเรียนต่อของเธอให้แม่รับรู้

“ได้สิ แม่จะทำเพื่อทุกคน และเราจะได้หลุดพ้นจากบ้านใหญ่เสียที อาหมิงและหนิงหนิงจะต้องเติบโตมาด้วยสังคมที่ดี เรากลับบ้านกันเถอะ”

หนิงหงชุนตอบกลับด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว เพราะที่ผ่านมาเธออ่อนแอจนบ้านสามต้องถูกเอารัดเอาเปรียบแทบจะไม่มีกิน แต่วันนี้เพื่ออนาคตของลูกและหลาน เธอจะไม่มีวันยอมหรือว่าอ่อนแอให้กับบ้านใหญ่อีกแล้ว!!

“กรี๊ดดดดดดด คัน คันเหลือเกิน”

เสียงกรีดร้องของหลี่เชียนหยู่ดังขึ้นจนคนในบ้านพากันตกใจ ก่อนจะมีเสียงร้องของซ่งเจียฮุยดังขึ้นมาอีกคน

“กรี๊ดดดดด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมฉันถึงได้คันแบบนี้”

สองแม่ลูกต่างพากันกรีดร้องด้วยความทรมานที่เกิดจากอาการคันที่ไม่รู้สาเหตุ

“เกิดอะไรขึ้น แล้วนั่นหล่อนเป็นอะไรสะใภ้ใหญ่ ใส่เสื้อผ้าไม่ซักหรืออย่างไร แต่เอ๊ะ...” ย่าหลี่ได้ยินเสียงกรีดร้องก็เดินเข้ามาดูแล้วเอ่ยถาม แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าลูกสะใภ้ใหญ่กับหลานสาวใส่เสื้อผ้าใหม่ จึงเงียบไปก่อนจะครุ่นคิดบางอย่าง

“สงสัยพี่สะใภ้จะเข้าไปขโมยของบ้านสามมาหรือเปล่าคะ แบบนี้ไม่ใช่ว่าโดนหลานสะใภ้เล่นงานมาหรอกหรือ” สะใภ้รองเอ่ยขึ้นมาเพราะหล่อนได้ยินสามแม่ลูกวางแผนกันก่อนหน้านี้ นี่แสดงว่าโดนฟางเจียวเหมยเล่นงานเข้าแล้วสินะ

“นังเจียวเหมย!!” ซ่งเจียฮุยเมื่อคิดตามคำพูดของน้องสะใภ้ก็

กรีดร้องเรียกชื่อหลานสะใภ้ด้วยความแค้น เพราะเชื่อว่าที่เป็นแบบนี้เพราะการกระทำของฟางเจียวเหมยนั่นเอง

ในขณะเดียวกัน ฟางเจียวเหมยและทุกคนที่กลับมาถึงหมู่บ้าน

แล้วก็ตรงดิ่งเข้าบ้านใหญ่ทันที และได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของคนที่โดนหมามุ่ย ก็ยกยิ้มออกมาอย่างสะใจ

“ป้าสะใภ้เรียกฉันทำไม หรือว่าคิดถึงหลานสะใภ้คนนี้”

ฟางเจียวเหมยถามออกไปอย่างไร้เดียงสา แต่แววตามีความสะใจอยู่เต็มเปี่ยม

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ทะลุมิติมาเป็นสะใภ้ร้ายกาจ (ยุค80)    บทที่ 31 รับเป็นน้องบุญธรรม

    บทที่ 31 รับเป็นน้องบุญธรรม“แล้วถ้าเป็นหยกล่ะ เธอมีราคาในใจหรือเปล่า” กงเฉินเสวียนพูดสวนขึ้นมา ‘ในเมื่อสิบสองก้อนล้วนแต่ผ่าออกมาเป็นหยกทั้งนั้น แล้วก้อนใหญ่จะไม่ใช่หยกได้อย่างไร และถ้าเป็นหยกจักรพรรดิขึ้นมา ราคาของมันจะอยู่ที่หลายสิบล้านหยวน ซึ่งถ้าเขาสามารถขอซื้อมาได้ นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวคนนี้จะสร้างเม็ดเงินให้เขาได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว’ เขาคิดคำนวณในใจพร้อมกับรอคำตอบฟางเจียวเหมยนั้นยังไม่ตอบ แต่หันมาสบตากับสามีอีกครั้งเพื่อขอปรึกษา เนื่องจากเธอเองก็ไม่รู้ค่าของเงินในยุคนี้เท่าไรนัก ถ้าถามว่าเธออยากได้เงินมากหรือไม่นั้น ก็ตอบได้เลยว่าอยากได้ เนื่องจากเธอคิดจะทำธุรกิจมากมาย แต่สิ่งที่เธอขาดอย่างเดียวก็คือเงิน ต่อให้จะขายหยกก่อนหน้านี้ไปแล้ว มันก็ได้แค่ไม่กี่แสนหยวนเท่านั้น มันยังไม่เพียงพอตามที่เธอต้องการ“ราคาในใจฉันมีอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่ว่านายท่านกงจะสู้ราคาฉันไว้หรือเปล่า” ฟางเจียวเหมยมองสบตากับสามีครู่หนึ่ง เมื่อเขายิ้มให้เธอจึงหันกลับมาตอบ นั่นจึงทำให้นายท่านกงอมยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ“ถ้าอย่างนั้นเธอให้เขาผ่าหินก้อนนี้เลยดีหรือไม่ เราจะได้มาดูกันว่าด้านในเป็นอะไร เมื่อ

  • ทะลุมิติมาเป็นสะใภ้ร้ายกาจ (ยุค80)    บทที่ 30 สร้างเม็ดเงินมหาศาล

    บทที่ 30 สร้างเม็ดเงินมหาศาลเจ้าของร้านมองก้อนหินที่หญิงสาวชี้แล้วได้แต่แปลกใจเนื่องจากหินก้อนนี้วางอยู่ที่ร้านมานานแล้วแต่ไม่เคยมีใครสนใจเลย ซึ่งเขาเองก็คิดว่าหินก้อนนี้มันเป็นเพียงหินธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งมันยังดูเกะกะอีกด้วย แต่ก็ยังโก่งราคาตามแบบพ่อค่า“ฉันขายให้หนึ่งพันหยวน” พ่อค้าบอกราคาขึ้นมา“ตกลงฉันซื้อในราคาหนึ่งพันหยวน และเอาหินก้อนนี้ นี่ด้วย” ฟางเจียวเหมยตอบกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเลือกหินที่เธอต้องการ ซึ่งในก้อนเล็กพวกนี้มีหยกจักรพรรดิถึงสามก้อน ยังไม่รวมก้อนใหญ่ก้อนนั้น ส่วนก้อนอื่น ๆ เป็นหยกสีเขียวซึ่งราคาก็แพงอยู่พอสมควรนี่จึงทำให้เจ้าของร้านและคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะบ้าถึงขนาดซื้อก้อนหินก้อนโตที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีหยกอยู่ด้านใน แถมราคาที่เธอซื้อนั้นก็แพงมากด้วยเวลานี้ทั้งพ่อค้าและคนที่มาเสี่ยงโชคหาซื้อหยกต่างก็มารุมล้อมร้านนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนของนายท่านกงอยู่ด้วย เพราะต้องการมาดูสินค้าให้กับเจ้านาย ขนาดชายคนนี้อยู่วงการค้าหยกมานาน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครตัดสินใจแบบนี้มาก่อน เขาจึงยืนมองดูสถานการณ์อย่างสนใจ“ทั้งหมดสองพันสอง

  • ทะลุมิติมาเป็นสะใภ้ร้ายกาจ (ยุค80)    บทที่ 29 ตลาดค้าหยก

    บทที่ 29 ตลาดค้าหยกเมื่อได้รับคำที่สนับสนุนตนเองจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงมีความมั่นใจมากขึ้นและจะตั้งใจทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ภรรยาผิดหวัง“เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ แล้วเถ้าแก่เฉาเป็นหนี้คนพวกนั้นเท่าไร” ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที“ฉันกู้ยืมเงินคนพวกนั้นหลายเดือนแล้ว ฉันเองก็จ่ายดอกเบี้ยตรงมาทุกเดือนแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนั้นถึงมาทวงโดยบอกว่าฉันไม่เคยจ่ายดอกเบี้ยเลย พอฉันโต้แย้งไปเขาก็ไม่พอใจและพังร้านจนเละไปหมด แล้วบอกว่าฉันต้องคืนเงินทั้งหมดภายในสามวัน ไม่อย่างนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัยของคนในบ้าน เงินตั้งสี่หมื่นหยวน ฉันจะเอามาจากไหนมาคืนในเวลาแค่สามวัน ต่อให้ขายร้านก็ไม่พออยู่ดี” เถ้าแก่เฉาพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา ก่อนจะมองหลี่อี้ข่ายกับสหายอีกสามคนด้วยสายตาที่สงสัย ว่าทำไมอยู่ดี ๆ คนงานของร้านเถ้าแก่เฉินต่างก็ดูเปลี่ยนไป แถมยังใส่เสื้อผ้าใหม่ดูจะมีราคาอีกด้วยหลี่อี้ข่ายได้ฟังก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเจ้าหนี้ของเถ้าแก่เฉาถึงได้มาทวงเงินเอาวันนี้ ซึ่งทุกคนก็คิดเหมือนกัน“หรือว่า...” ฉีฮุ่ยพูดขึ้น ก่อนจะหันมามองหน้าสหายอีกสามคน “ฉันคิดว่าใช่นะ อย่าลืมสิว่าฉันประกา

  • ทะลุมิติมาเป็นสะใภ้ร้ายกาจ (ยุค80)    บทที่ 28 ช่วยเหลือร้านค้าที่ถูกกดขี่

    บทที่ 28 ช่วยเหลือร้านค้าที่ถูกกดขี่หลังจากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงโน้มตัวคว้าร่างของภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น เหมือนเขากลัวจะสูญเสียเธอไปจริงๆ ภายในใจนั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจปกป้องเธอและทุกคนในครอบครัวได้“พี่ขอโทษนะเจียวเหมย ที่ไม่อาจปกป้องน้องและทุกคนได้ เลยทำให้น้องและทุกคนต้องเจอกับความลำบากมากมายกับบ้านใหญ่ และขอบคุณน้องมากที่ดูแลแม่และทุกคนจนหลุดพ้นจากที่นั่นออกมาได้ ขอบคุณจริง ๆ”หลี่อี้ข่ายกอดภรรยาไว้แน่นแล้วเอ่ยขอโทษออกมาอย่างรู้สึกผิด“ไม่ต้องขอบคุณแล้วค่ะ แล้วก็อย่าคิดมากเลยนะคะ อย่างไรเราก็คือสามีภรรยาและครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ฉันซื้อบ้านและพาพี่ใหญ่ฉันมาอยู่ด้วยนะ พี่จะว่าอะไรไหม”ฟางเจียวเหมยบอกถึงเรื่องที่เธอซื้อบ้านและให้พี่ชายมาอยู่บ้านเดียวกันให้สามีฟัง“พี่ภรรยาก็คือครอบครัวเรา อย่าคิดมากเลยนะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลฟางเจียวเหมยยิ้มกว้าง ในใจนั้นคิดไม่ผิดที่บอกความลับแก่สามีและสาเหตุหลักที่เธอบอก เพราะหากเธอต้องส่งสินค้าให้คู่ค้าตอนอยู่ที่เมืองนี้ เธอจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างที่ชวนปวดหัวให้กับสามี การที่หลี่อี้ข่ายรับรู้เรื่องมิติของ

  • ทะลุมิติมาเป็นสะใภ้ร้ายกาจ (ยุค80)    บทที่ 27 ความจริงที่เล่าไม่หมด

    บทที่ 27 ความจริงที่เล่าไม่หมด“พี่อี้ข่าย พี่อี้ข่ายฟังฉันอยู่ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยขยับตัวมาใกล้ ๆ แล้วเรียกพร้อมกับโบกมือไปตรงหน้าสามีที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างแปลกใจ“เอ่อ..คะ ครับ พี่จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ครับ” หลี่อี้ข่ายได้เรียกสติตัวเองกลับมาก็ตอบอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู มีการผลักประตูห้องน้ำเข้าไปด้วย ทั้งที่หน้าห้องเขียนไว้ว่า ‘โปรดดึง’“น่ารักเหมือนกันแฮะ” ฟางเจียวเหมยมองภาพนั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในใจนั้นคิดว่าสามีคนนี้น่ารักน่าแกล้งดีเหมือนกัน แต่พอก้มมองชุดนอนที่ตัวเองใส่ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสามีถึงหน้าแดงและยืนตัวแข็งทื่อแบบนั้น จากนั้นก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์ พร้อมกับพูดออกมาว่า “โป้แล้วไง ใส่ให้สามีมองนะไม่ใช่ใส่ให้คนอื่นมองสักหน่อย”แต่พอหลี่อี้ข่ายออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น เธอถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเพราะรูปร่างกำยำที่เย้ายวนใจของเขา“เอ่อ...พี่ไม่ใส่เสื้อผ้าหน่อยเหรอ” ฟางเจียวเหมยเอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าสามีเดินขึ้นมานอนบนเตียงด้วยร่างกายที่ไม่ต่างกับเปล่าเปลือย เพราะเขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวไว้เท่านั้น“ใส่ทำไมล่ะ

  • ทะลุมิติมาเป็นสะใภ้ร้ายกาจ (ยุค80)    บทที่ 26 เจ้าของร้านหลี่ฟาง

    บทที่ 26 เจ้าของร้านหลี่ฟางฟางเจียวเหมยเห็นท่าทางของพนักงานคนหนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าต่อให้เธอและสามีแจ้งความก็ไม่สามารถเอาผิดคุณหนูเฉินได้ แต่เธอเป็นแม่ค้าย่อมไม่ยอมเสียเปรียบแน่ อย่างนี้ต้องหาทางเอาคืนอย่างสาสม อย่าลืมสิว่าเธอคือโกดังเคลื่อนที่ การที่จะหาคู่ค้าจากเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนจะเดินมากระซิบบางอย่างข้างหูสามี ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตาม เขาเองก็ไม่อยากทำร้ายสหายในร้านเหมือนกัน เขาเชื่อเต็มร้อยว่าสหายไม่ใช่คนที่เอาพัสดุของเขาไป แต่อาจจะเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น“ว่าแต่พี่ลาออกได้เลยใช่ไหม เราจะได้ไปหาโรงแรมที่พักกัน ฉันลงรถไฟมาก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก” ฟางเจียวเหมยพูดกับสามีด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เรื่องเอาคืนผู้หญิงคนนี้นั้นเธอคิดในใจไว้แล้ว อย่างไรวันนี้ก็พักเอาแรงก่อนดีกว่า“ครับ พี่ลาออกได้เลย เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันนะ พี่ขอไปเก็บของก่อน” ชายหนุ่มตอบกลับภรรยาทันทีและเตรียมหมุนตัวออกไปจากร้านเพื่อจะไปที่พักเก็บของ แต่ทว่าฟางเจียวเหมยกลับห้ามไว้เสียก่อน“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่อี้ข่าย ของที่พี่มีมันคงเก่าหมดแล้ว ฉันได้เตรียมเสื้อผ้ามาให้พี่แล้วล่ะ ของที่มีอยู่ที่นี

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status