ซึ่งพวกนางจะไม่ยอมรับเรื่องสกปรกๆแบบนี้อย่างเด็ดขาด!
เหล่าบรรดาผู้คนที่มามุงดูต่างก็รับรู้นิสัยใจคอของแม่เฒ่าเซี่ยงเป็นอย่างดี และแววตาก็เผยการเยาะเย้ยถากถางออกมาอย่างชัดเจน
แม่เฒ่าเซี่ยงยังคงหน้าด้านหน้าทน พร้อมกับพูดด้วยไหวพริบที่ฉับไวขึ้นมาว่า“เจ้าทำร้ายลุงสามจนบาดเจ็บ เงินห้าตำลึงนั่นก็ถือว่าเป็นค่าหยูกยาก็แล้วกัน นังเด็กนี่ใจดำเสียจริงๆ กล้าที่จะถือมีดมาฟันลุงของตัวเองได้ นี่ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ!”
และซูหวั่นก็รู้ดีว่าตัวเองจะต้องอาศัยตอนที่มีคนอยู่มากๆในการอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ชัดเจน“มีดเล่มนั้นมันไม่มีตาตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ลุงสามถือเชือกเข้ามาจะมัดข้า ข้าก็ไม่รู้ว่ามันไปทำร้ายโดนลุงสามได้ยังไงเหมือนกัน ฮือฮือ!”
จะแข่งร้องไห้กันใช่ไหม นางก็ทำเป็นเหมือนกันนะ!
เมื่อเห็นว่าซูหวั่นร้องไห้คร่ำครวญออกมา ซูลิ่วหลางก็ร้องไห้ตามไปด้วย และนางหลี่ก็ร้องไห้แทบขาดใจขึ้นมาเหมือนกัน
โดยที่เพื่อนบ้านที่มามุงดูต่างก็รู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างจับใจ
ดูสิ พวกนี้บีบบังคับทั้งสามคนขนาดนี้เลยเหรอ!
ซึ่งหลี่เจิ้งก็ต้องเอนเอียงไปทางคู่แม่ลูกที่น่าสงสารคู่นี้เป็นธรรมดา เขาถลึงตาใส่แม่เฒ่าเซี่ยง แล้วพูดว่า“ใครเป็นคนที่เอาเงินห้าตำลึงไปก็ต้องชดใช้คืนเขา ต่อไปอย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก มันจะกระทบกับชื่อเสียงของหมู่บ้านได้ ลูกสาวลูกชายบ้านไหนๆก็ต้องตบแต่งออกเรือนกันทุกคนนะ!”
และขอถามหน่อยว่า ใครจะยอมให้ลูกสาวของตัวเองแต่งเข้าหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่แบบนี้ด้วย?
เหล่าบรรดาเพื่อนบ้านยังคงพูดวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปอีกว่า“หลี่เจิ้งพูดถูก แม่เฒ่าเซี่ยง เจ้าคืนเงินห้าตำลึงนั่นให้สกุลเจิ้งไปเถอะนะ อาการบาดเจ็บที่มือของฉางโซว่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลย ทาเขม่าขี้เถ้าสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”
แค่บาดแผลเล็กๆน้อยๆแบบนั้น หายาสมุนไพรทาสักหน่อยก็หายดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เงินถึงห้าตำลึงมารักษาหรอกนะ
ใครที่มีความคิดต่างก็สามารถมองออกว่าแม่เฒ่าเซี่ยงอยากที่จะฮุบเงินห้าตำลึงนั้นเอาไว้เสียเองต่างหาก
มันก็ใช่ ใครให้บ้านสองไม่เป็นที่โปรดปรานแบบนี้ล่ะ
แม่เฒ่าเซี่ยงในใจโกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟ แต่นางรู้ดีว่า หากขืนยังทำให้เรื่องนี้บานปลายต่อไป หลี่เจิ้งจะต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่อย่างแน่นอน
ซึ่งมันก็จะทำให้เรื่องบานปลายใหญ่โต และลูกหลานบ้านนี้ยังจะต้องใช้ชื่อเสียงในการหาคู่ครองอยู่นะ
ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
“รู้แล้วล่ะ อย่ามาเป็นกังวลแทนข้าหน่อยเลย เวลานี้บ้านของพวกเจ้าไม่ทำกับข้าวกันเหรอไง อย่ามายืนออกันอยู่ที่ประตูบ้านข้าแบบนี้ ไปไปไป รีบออกไปเร็วเข้า!”
“พวกข้าก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องของเจ้าหรอกนะ!”
จากนั้นทุกคนก็บ่นพึมพำและแยกย้ายกลับไปที่บ้านของตัวเอง
หลังจากที่พูดไล่คนพวกนั้นออกไปแล้ว แม่เฒ่าเซี่ยงถึงได้เดินกลับมายังห้องหลักอย่างหงุดหงิดเต็มที่
และซูหวั่นก็คุกเข่าจนขาชาไปหมดแล้ว
นางเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ร่างกายจึงไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก หากไม่ได้ซูลิ่วหลางมาประคองเอาไว้นางก็คงล้มกับพื้นไปแล้ว
นางโค้งตัวไปทางหลี่เจิ้งเพื่อแสดงการขอบคุณ“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านลุง หากไม่ได้ท่านลุง วันนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเช่นกัน”
โดยที่นางหลี่ก็ปาดน้ำตาตามไปด้วย
หลี่เจิ้งโบกมือ และมองไปยังอีกด้านหนึ่งของห้องหลัก“เฮ้อ เจ้าคงต้องรีบบอกให้เหลียนเฉิงกลับมาให้เร็วที่สุดแล้วนะ ท่านป้าไม่เหมือนคนที่จะพูดด้วยง่ายๆ ข้ายังมีธุระอื่นต้องทำ ขอตัวกลับก่อนละนะ”
“ลิ่วหลาง รีบไปส่งท่านลุงเร็วเข้า”นางหลี่เป็นหญิงที่มีคู่ครอง จึงไม่สามารถพูดอะไรกับหลี่เจิ้งได้มากนัก ดังนั้นนางจึงเข้าไปประคองซูหวั่นแทนลิ่วหลาง
ซูลิ่วหลางเดินไปส่งแขกจนถึงประตู แล้วจึงได้เดินกลับมาที่ห้อง
......
ห้องหลัก
แม่เฒ่าเซี่ยงโกรธจัดจนคิ้วแทบจะชนกัน“นางหลี่ตัวดียังรู้จักให้ลิ่วหลางไปพาหลี่เจิ้งเข้ามาแบบนี้ได้ ฉลาดกับเขาเป็นแล้วงั้นเหรอ มันน่าเจ็บใจเสียจริงๆ!”
นางเคาะโต๊ะที่มีเพียงตัวเดียวในห้องจนเกิดเสียงดังสนั่น
และซูฉางฝูก็หน้าดำทะมึนขึ้นมาด้วยเช่นกัน“ท่านแม่ ข้าว่านังหนูหวั่นนั่นก็คงบ้าไปแล้วเช่นกันนะ”
ส่วนซูฉางโซว่ก็กุมบาดแผลเอาไว้เพื่อเรียกร้องความเห็นใจ“ไม่บ้าก็คงไม่ลุกขึ้นมาฟันคนอื่นแบบนี้หรอก ถึงตอนนี้ข้ายังเจ็บแขนอยู่เลยนะ”
“พวกเจ้ามายืนเซ่ออยู่ที่นี่ทำไมกัน!”แม่เฒ่าเซี่ยงรู้สึกหงุดหงิดใจ ถลึงตาใส่นางหวางและนางจาง“ยังไม่รีบไปหุงหาอาหารอีก หรือจะรอให้ข้าอดตายไปเสียก่อน!”
และนางหวางและนางจางก็รีบยิ้มอย่างประจบขึ้นมาทันที“เจ้าค่ะท่านแม่ พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ทันทีที่เดินออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งสองก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง
จากนั้นนางหวางก็เดินไปข้างหน้า แล้วถามว่า“พี่ใหญ่ พี่ว่าพี่รองเสียสติไปแล้วหรือเปล่า เพื่อนังเด็กนั่นถึงกับกล้าต่อปากต่อคำกับท่านแม่เลยนะ?”
นางจางเก็บซ่อนความดูแคลนต่อนางหวางเอาไว้ในสายตา มองไปยังห้องรองที่อยู่ทางตะวันออกอย่างครุ่นคิด แล้วพูดว่า“ใครจะไปรู้ล่ะ”