ในขณะที่นลินสลบนั้น ภาพความทรงจำพวกนั้นของหญิงสาวคนหนึ่งยังคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน คล้ายความฝันและมันเป็นฝันร้าย หญิงสาวในความทรงจำคนนี้มีชื่อว่า หลินเพ่ยหลัน ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์ เนื่องจากเธอสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากนั้นไม่นานพ่อของเธอก็แต่งงานใหม่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีนิสัยร้ายกาจแถมยังใจแคบอีกด้วย
ชีวิตของหลินเพ่ยหลันหลังจากนั้นจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก พ่อของเธอเอาแต่ทำงาน ทำให้แทบไม่มีเวลาให้กับลูกสาวคนนี้ สถานะของหลินเพ่ยหลันในบ้านหลินจึงน่าเวทนามาก
แม่เลี้ยงของเธอมักจะอารมณ์ร้อนและรังแกเธออยู่เสมอ หล่อนมองเห็นลูกสาวกับภรรยาเก่าของสามี เป็นเหมือนหนามยอกอก ความรักและการเอาใจใส่ที่ควรจะได้รับ กลับกลายเป็นความเกลียดชังที่เข้ามาแทน
เมื่อพ่อของเธอกับแม่เลี้ยงมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน หลินเพ่ยหลันก็ถูกทิ้งให้กลายเป็นเพียงเงาที่ไร้ค่าในบ้าน จากลูกสาวคนโตตอนนี้มีสถานะไม่แตกต่างไปจากคนรับใช้ในบ้านหลิน
วันหนึ่งหลินเพ่ยหลันนั่งอยู่มุมห้องครัว เธอพยายามขัดถูพื้นด้วยความเหนื่อยล้า เหงื่อไหลซึมผ่านหน้าผากและเสื้อผ้าของเธอเปียกชุ่ม นางหลิวอี้แม่เลี้ยงเดินเข้ามาพร้อมกับลูกสาวคนเล็ก ทำให้หลินเพ่ยหลันหยุดมือชั่วขณะและเงยหน้าขึ้นมอง เด็กหญิงพยายามส่งยิ้มให้ทั้งสอง แต่กลับพบเพียงสายตาเหยียดหยามจากแม่เลี้ยงกลับมา
ทุกวันหลินเพ่ยหลันต้องทนทุกข์กับการถูกแม่เลี้ยงทุบตีอย่างไร้เหตุผล รอยแผลและรอยฟกช้ำที่ปรากฏอยู่ร่างกายของเธอ บางครั้งก็มีเลือดซึมออกมา แต่ก็ไม่กล้าแสดงความเจ็บปวดให้ใครเห็น พ่อของเธอแม้จะเห็นรอยแผลพวกนั้น แต่กลับไม่ได้สนใจหรือสงสัยอะไร ด้วยคำพูดของภรรยาใหม่ที่บอกว่าหลินเพ่ยหลันดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง จึงจำเป็นต้องอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด
เพียงคำพูดไม่กี่คำจากปากของแม่เลี้ยง พ่อของหลินเพ่ยหลันก็เชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง เขาเชื่อภรรยาใหม่อย่างหมดใจ และปล่อยให้เธอทำการอบรมบุตรสาวตามใจชอบ แม่เลี้ยงใช้โอกาสนี้รังแกหลินเพ่ยหลัน ทุกครั้งที่เธอทำงานบ้านไม่ถูกใจ หรือทำงานไม่ทันตามที่แม่เลี้ยงกำหนด เธอก็จะถูกตีด้วยไม้เรียวหรือมือแข็งกร้าวของแม่เลี้ยง
จนวันหนึ่งเมื่อหลินเพ่ยหลันอายุครบ 11 ปี เธอถูกกลั่นแกล้งจากน้องสาวต่างมารดา ที่เดินเข้ามาหาเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“นี่ เพ่ยหลัน มายกของให้หน่อยสิ” หลินเสี่ยวหรงสั่งเสียงแข็งไม่ต่างจากสั่งงานสาวใช้เลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะเด็กหญิงคนนี้ไม่เคยมองหลินเพ่ยหลันเป็นพี่สาวเลยอย่างไรล่ะ
แต่เพราะไม่อยากถูกทุบตีอย่างที่แล้วมา หลินเพ่ยหลันจึงรีบเดินไปทำตามคำสั่งทันที แต่ขณะที่เธอกำลังยกของหนักอยู่นั้น หลินเสี่ยวหรงก็แอบยื่นเท้ามาขัดขาของเธอทำให้เสียการทรงตัวแล้วล้มลง โดยที่ศีรษะของเธอกระแทกพื้นอย่างแรงจนเสียงดัง
“โอ๊ย!” หลินเพ่ยหลันร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือเลย
หลินเสี่ยวหรงยืนอยู่ข้าง ๆ มองเธอด้วยสายตาเย้ยหยัน “นี่เพ่ยหลัน ทำไมไม่ดูทางให้ดีๆ หน่อยล่ะ ลุกขึ้นสิ หรือว่าจะนอนอยู่ตรงนี้ทั้งวัน ทางก็มีแค่นี้แต่กลับทำตัวอ่อนแอแข้งขาอ่อน”
ได้ยินอย่างนั้นแม้จะเจ็บปวดแค่ไหน แต่เด็กหญิงอย่างหลินเพ่ยหลันก็พยายามลุกขึ้น แต่เพราะความเจ็บปวดรุนแรงที่ศีรษะ ทำให้เธอลุกไม่ไหว จึงได้นอนอยู่ตรงนั้นเพื่อรอคอยความช่วยเหลือจากใครสักคน แต่กลับไม่มีใครเข้าช่วยเลย ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของเธอ แม้แต่พ่อผู้ให้กำเนิดก็ไม่ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
สุดท้ายเพราะความเจ็บปวด เลยทำให้เธอสลบไปโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ สติของหลินเพ่ยหลันเริ่มกลับมา แต่เมื่อเธอพยายามลืมตาขึ้นมองกลับพบว่าดวงตาของเธอไม่สามารถมองเห็นอะไรได้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเธอเป็นเพียงความมืดมิดเท่านั้น
“ทำไม... ทำไมฉันมองไม่เห็นอะไรเลย...”
เด็กหญิงพยายามยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของตัวเอง ความหวาดกลัวและความสับสนเกิดขึ้นในใจ เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้และคิดว่านี่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น แต่เปล่าเลย ไม่ว่าอย่างไร ดวงตาคู่นี้ก็มืดมิดไปเสียแล้ว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
รอบกายไม่มีใครอยู่เคียงข้าง แม้ในช่วงเวลาที่เธอต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดก็ตาม อีกทั้งบ้านหลินแห่งนี้กลับไม่มีใครคิดที่จะพาเธอไปโรงพยาบาลเลยสักคนเดียว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลินเพ่ยหลันจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิด ทุกวันที่ตื่นขึ้นมานั้นไม่ต่างจากเป็นการต่อสู้กับความสิ้นหวังและความอ้างว้างที่เกิดขึ้นในใจ เด็กหญิงที่เคยสดใสไม่สามารถเห็นท้องฟ้าสีคราม หรือดอกไม้ที่เบ่งบานได้อีกต่อไป
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเธอกลายเป็นเพียงเสียงและความรู้สึกสัมผัสเท่านั้น
จวบจนหกปีผ่านไป ทำให้หลินเพ่ยหลันพยายามปรับตัวและใช้ชีวิตให้เหมือนคนปกติได้ แม้ดวงตาจะมืดบอด แต่เธอก็ไม่ยอมให้ความพิการนั้นมาขวางการดำเนินชีวิต หญิงสาวฝึกฝนทักษะการฟัง การสัมผัส และการจดจำเส้นทางภายในบ้าน รวมถึงนอกบ้านที่เธอต้องใช้ประจำวันนั่นก็เพื่อที่จะใช้ชีวิตให้ได้เหมือนกับคนอื่น
นอกจากนี้เธอยังต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่ทำความสะอาด ซักผ้า ทำอาหาร ตักน้ำ ตกเป็นหน้าที่ของหลินเพ่ยหลันคนเดียว ส่วนแม่เลี้ยงกับหลินเสี่ยวหรงนั้น กลับไม่ยอมช่วยเหลืออะไรเลย ทั้งสองคนเอาแต่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ ใช้ชีวิตอย่างสำราญใจ ไม่เคยสนใจว่าเธอจะต้องเหนื่อยยากสักแค่ไหน
ทุกเช้าเธอต้องตื่นแต่เช้ามืดแล้วเริ่มทำงานบ้าน เธอทำอาหารให้ทุกคนกินทั้งที่บางครั้งเธอแทบไม่ได้กินอาหารดี ๆ พวกนั้นเลยด้วยซ้ำ
ในยามค่ำคืนหลังจากทุกคนในบ้านหลับไปแล้ว หลินเพ่ยหลันยังคงนั่งอยู่คนเดียวในความมืด คิดถึงอนาคตที่อาจจะดีกว่านี้ ความฝันของเธอไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แค่หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะสามารถหลุดพ้นจากชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากนี้ได้ และมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันหนึ่งนางหลิวอี้แม่เลี้ยงของหลินเพ่ยหลันคิดแผนการบางอย่างขึ้นมา เธอวางยาลูกเลี้ยงจนหมดสติ และจ้างคนมาพาตัวเธอไปขาย ซึ่งในวันนั้นหลินตงกับหลินเสี่ยวหรงไม่อยู่บ้าน มีเพียงแค่หลินเพ่ยหลันกับแม่เลี้ยงที่ไม่ไปทำงานในคอมมูนโดยอ้างว่าป่วย เลยทำให้อยู่กันเพียงสองคนในบ้าน
หลังจากที่จัดการลูกเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว ไม่นานเกวียนเล่มหนึ่งก็มาหยุดอยู่หน้าบ้าน โดยมีชายสองคนเดินเข้ามาในบ้าน และพาร่างหลินเพ่ยหลันที่นอนหมดสติอยู่ออกมาจากบ้าน โดยที่ไม่ให้ใครพบเห็น
แต่โชคดีที่ในขณะนั้น ซ่งเฟยหลง ลูกชายคนที่สามของตระกูลซ่ง กำลังเดินผ่านมาพอดี เมื่อเขาเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าก็รู้สึกแปลกใจและสงสัยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น จึงเข้าไปดูใกล้ ๆ ปรากฏว่าเห็นชายสองคนกำลังอุ้มหญิงสาวที่ไร้สติขึ้นไปบนเกวียนอย่างร้อนรนและทุลักทุเล
“เฮ้! หยุดเดี๋ยวนี้! พวกนายทั้งสองกำลังทำอะไรกัน”
ซ่งเฟยหลงตะโกนออกมา แล้วรีบวิ่งเข้ามาขวางหน้าเกวียนอย่างอดไม่ได้
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร