กลับมาทางด้านถังลู่เหมย หลังจากได้พักผ่อนจนเต็มอิ่มแล้วก็รู้สึกดีขึ้น เธอจึงลุกขึ้นมาและเดินออกมาจากห้องที่แสนจะอุดอู้นั้น เมื่อออกมาข้างนอกได้แล้ว ก็เดินเตะฝุ่นเล่นไปด้วยความเบื่อหน่าย ในใจนั้นคิดว่าจะต้องแกล้งบ้าไปอีกถึงเมื่อไหร่กัน เพราะการเป็นคนบ้านนั้นไม่สนุกหรอก นอกจากจะเถียงกับย่าถังโดยไม่ผิดเท่านั้น
‘จะว่าไปที่นี่ก็บรรยากาศร่มรื่นดีเหมือนกันนะ’ เธอมองต้นไม้ใบหญ้าตลอดสองข้างทางที่เดินเล่นอยู่ หมู่บ้านแห่งนี้ดูท่าทางสงบเงียบไม่น้อย อีกอย่างบ้านที่ปลูกอาศัยกันก็ไม่ได้แออัดจนเกินไป ยังมีพื้นที่ว่างของระหว่างบ้าน นี่จึงต่างจากเมืองใหญ่ในยุคปัจจุบัน หรือต่อให้เป็นชนบทก็ตาม บ้านที่สร้างแทบจะติดกันทั้งหมดไม่เหมือนกับตอนนี้เลย
เวลานี้หญิงสาวทำใจแล้วว่าตนเองคงต้องอยู่ในร่างของหญิงบ้าคนนี้ไปตลอด ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองต้องมาอยู่ในร่างนี้ก็ตาม
ในขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้น ก็มีชาวบ้านผ่านไปมา เธอจึงปรับเปลี่ยนท่าทีจากเบื่อหน่ายทำเป็นหัวเราะบ้าง ชี้ไม้ชี้มือบ้าง กระโดดโลดเต้นไปเรื่อย ทำให้คนเหล่านี้ไม่สงสัยถึงความเปลี่ยนไปของเธอ
และที่สำคัญที่เธอทำแบบนี้ ก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ย่าถังพูดกับร่างนี้เสมอว่า เธอคือตัวกาลกิณี อีกทั้งยังเป็นตัวซวย เป็นภูตผีปีศาจ เป็นคนสติไม่สมประกอบ เป็นคนไร้ประโยชน์ ถ้าจู่ ๆ เธอเกิดฟื้นตัวและหายดีใครเป็นคนปกติในเวลาเพียงข้ามคืน มันคงไม่ดีแน่ ไม่อย่างนั้นคงเข้าทางของหญิงชราผู้นั้นแน่ ๆ ดีไม่ดีเธออาจถูกจับเผาทั้งเป็น เพราะถูกกล่าวหาเป็นภูตผีปีศาจ
“ก็ไหนเคยบอกว่าอาเหมยไม่สบาย” ชาวบ้านที่เดินผ่านเห็นว่าถังลู่เหมยเดินออกมาแล้ว แถมท่าทางของเธอก็ดูเป็นปกติคล้ายกับไม่เคยป่วยไข้ จึงอดแปลกใจไม่ได้ จึงต้องถามขึ้นมา
“ก็อาเหมยเป็นอย่างนี้ไงล่ะ ได้พักผ่อนคงจะหายดีแล้วล่ะมั้ง ก็เห็นว่าเมื่อวานถูกย่าถังใช้ให้ขึ้นเขาเพื่อไปเก็บผัก เห็นว่าหลงป่าจนถูกน้ำค้างและจับไข้ วันนี้ฉันเห็นเหนียงฟางไปตามถังเยี่ยที่ทุ่งนาน่ะ” ชาวบ้านอีกคนไขข้อข้องใจให้ ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายจะหายดีแล้วนั้นก็คงจะได้กินยาแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเด็กสาวคนนี้จะเดินออกมาเตร็ดเตร่ได้อย่างไร
ถังลู่เหมยได้ยินทุกประโยคที่ชาวบ้านเหล่านี้พูดคุยกัน แต่เธอเลือกที่จะไม่สนใจ เธอเดินมุ่งหน้าไปทางขึ้นเขา นั่นก็เพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่เธอเห็นตอนเป็นวิญญาณนั้นมีอยู่จริงหรือเปล่า ถ้ามีจริง เธอก็คงต้องหาวิธีที่จะนำมันออกไปขายโดยที่ไม่ให้บ้านใหญ่รู้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ย่ามหาประลัยคนนั้นคงต้องมาแย่งเอาเงินไปอีก
คิดได้อย่างนั้นถังลู่เหมยก็รีบแกล้งบ้าและวิ่งเล่นมุ่งหน้าขึ้นเขาทันที ท่าทางเร่งรีบของเธอเป็นที่คุ้นชินของชาวบ้านไปเสียแล้ว จึงไม่ค่อยมีใครสนใจท่าทีของเธอมากนัก
พอหลุดจากกลุ่มของชาวบ้าน ไม่นานเธอก็เดินขึ้นเขามาได้ลึกพอสมควร จากนั้นจึงมุ่งหาสิ่งที่เห็นตอนยังเป็นวิญญาณเร่ร่อน ถังลู่เหมยใช้ความทรงจำที่มีค้นหาสถานที่นั้น ไม่นานเธอก็เจอจริง ๆ
“นี่ไงเจอแล้ว”
หญิงสาวยิ้มอย่างดีใจเมื่อพบสิ่งที่ต้องการ ก่อนจะมีสีหน้ากังวลอีกครั้ง “ว่าแต่เราจะเอาของพวกนี้ออกไปได้อย่างไร ถือไปโต้ง ๆคงโดนคนอื่นแย่งชิงไปแน่ ๆ ดีไม่ดีอาจจะบอกเราขโมยมา เพราะคำว่าหญิงสติไม่ดี!!
ถังลู่เหมยคิดอะไรไม่ออก เพราะเธอไม่มีที่ให้หลบซ่อนของพวกนี้ และที่สำคัญร่างเดิมไม่เคยออกไปเกินหน้าหมู่บ้าน ต่อให้ในเมืองมีแหล่งขายของ เธอคงงมทางไปเองไม่ได้ และปัญหาคือจะถือของพวกนี้กลับบ้านไปได้อย่างไร ถ้าถือไปทั้งอย่างนี้คงไม่พ้นสายตาของย่าถังและบ้านใหญ่แน่นอน
ย้อนกลับมาทางด้านของถังอี้คุน หลังจากออกมาจากร้านขายยาของหมอจาง เขาและเหมยฮวาก็เดินทางต่อไปยังภัตตาคารที่หรูหราของเมืองนี้ เลยทำให้เขารู้ว่าเธอคือหญิงสาวที่มีฐานะ
“คราวหลังถ้าคุณมีเวลาว่างแล้วให้มาหาฉันที่นี่นะคะ” หญิงสาวบอกกับถังอี้คุนเมื่อเขากำลังจะขอตัวกลับบ้าน
“ครับ ผมขอดูแลน้องสาวให้หายป่วยก่อนนะครับ แล้วจะรีบกลับมาทำงานให้คุณหนูนะครับ วันนี้ผมต้องขอตัวก่อน” ถังอี้คุนรับปากทันที แต่ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินจากไป หญิงสาวก็เรียกเขาไว้ก่อน
“นี่คือค่าจ้างสิบหยวนกับอาหารบำรุงนะคะ ฉันฝากไปให้คุณกินกับน้องสาวและครอบครัวของคุณด้วย และฝากบอกว่าขอให้เธอหายเร็วๆ นะคะ”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะแยกจากบ้านบ้าน เหมยฮวาก็จ่ายเงินให้ถังอี้คุนสิบหยวนตามที่รับปาก พร้อมกับอาหารอีกสองสามอย่าง เพื่อให้เขานำกลับไปกินกับครอบครัว
“ขอบคุณครับ” ถังอี้คุนเอ่ยขอบคุณพร้อมกับรับของฝากแล้วเดินจากมา
หลังจากแยกตัวออกมา ชายหนุ่มรีบกลับบ้านเพราะต้องการเอายานี้ไปให้น้องสาวกิน ซึ่งการเดินของเขานั้นก็หลบหลีกสายตาจากบ้านใหญ่ได้อย่างเชี่ยวชาญ ทำให้อาหารที่ถืออยู่ไม่ถูกแย่งชิงไป “อาเหมย พี่กลับมาแล้ว” ถังอี้คุนเรียกหาน้องสาวที่เขาคิดว่าคงกำลังนอนป่วยอยู่ แต่พอเข้ามาในห้องกลับไม่พบใครเลย แม้แต่น้องสาวที่กำลังไม่สบาย เขาจึงรีบเอาอาหารไปซ่อนในที่มิดชิด ก่อนจะรีบออกมาตามหาน้องด้วยความร้อนใจ
“ป้าครับเห็นอาเหมยบ้างไหมครับ” ชายหนุ่มถามกับป้าที่ทำงานอยู่
“ป้าเห็นอาเหมยวิ่งขึ้นเขาไปสักพักแล้วนะ” ป้าที่เห็นหญิงสาวเป็นคนสุดท้ายก็ตอบกลับมา
“ขอบคุณครับป้า”
ชายหนุ่มเมื่อสอบถามชาวบ้าน จนรู้ว่าถังลู่เหมยนั้นขึ้นเขาไปอีกแล้ว คราวนี้สองเท้าของชาวหนุ่มรีบวิ่งด้วยความรวดเร็วเพื่อไปตามหาน้องสาว
“อาเหมย น้องอยู่ไหน ส่งเสียงบอกพี่หน่อย” ถังอี้คุนตะโกนเรียกก้องป่า ในใจนั้นมีความกังวลยิ่งนัก เพราะเหตุการณ์ที่ทำให้น้องสาวไม่สบายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้ถังลู่เหมยจึงกลับดื้อดึงเดินเข้าป่าอีกครั้ง หรือว่าผู้เป็นย่าใช้อะไรน้องอีก
ถังลู่เหมยนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็ได้ยินเสียงเรียกของพี่ชาย จึงลุกขึ้นโบกมือและส่งเสียงกลับไป
“พี่ใหญ่ อาเหมยอยู่นี่”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของน้อง ถังอี้คุนรีบวิ่งมาหาโดยไม่ทันสังเกตเลยว่าเวลานี้น้องสาวที่สติไม่ดี ไม่หลงลืมเหมือนเดิม ๆ เลย
“อาเหมย น้องขึ้นมาบนเขาทำไม แล้วนี่กำลังป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ วันนี้พี่รับจ้างได้เงินจึงซื้อยามาให้แล้ว รีบกลับบ้านกันเถอะ แล้วนี่เจ็บป่วยตรงไหนอีกไหม” เมื่อมาถึงตัวน้องสาว ชายหนุ่มก็รีบพูดจนไม่มีช่องว่าง พร้อมกับสำรวจร่างกายของเธอ เพื่อดูว่าน้องสาวเจ็บป่วยตรงไหนไหม
“มาหาเงิน” ถังลู่เหมยตอบเพียงเท่านี้ เธอก็จูงมือพี่ชายเข้ามาด้านในพุ่มหญ้าที่มีต้นโสมมากมายซุกซ่อนอยู่
“นี่คือ...” ชายหนุ่มเบิกตากว้าง เมื่อเห็นสิ่งที่น้องสาวกำลังชี้ให้ดู
“ยังไม่หมดนะ” เธอพูดเพียงเท่านี้และชี้ไปที่ขอนไม้ที่มีเห็ดหลินจือซุกซ่อนอยู่ ซึ่งแต่ละดอกช่างสวยงามเหลือเกิน หากนำไปขายคงได้หลายพันหยวนอย่างแน่นอน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอาเหมยถึงพบเจอของล้ำค่าพวกนี้ได้ล่ะ” ถังอี้คุนถามขึ้นเหมือนคนละเมอ พอตั้งสติได้ ชายหนุ่มจึงหันกลับมามองหน้าน้องสาวอีกครั้ง คราวนี้เขาจึงเห็นแววตาที่แปลกไปจากเดิมของเธอ ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย สายตาของถังลู่เหมยไม่มีความเลื่อนลอยแล้ว แต่กลับมีความจริงจังส่งมาหาเขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“พี่ใหญ่ ฉันมีเรื่องจะบอก”
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั