ตกดึกคืนนั้น ถังลู่เหมยฝันว่าเธอได้กลับไปที่เซฟเฮ้าท์ ซึ่งเป็นที่กบดานของทีมเธอในชีวิตที่แล้ว ภายในที่นี่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงห้องเก็บอาวุธ โดยมีทั้งอาวุธต่อสู้ธรรมดาไปจนถึงอาวุธหนัก แล้วยังมีอาหารและยาที่ครบครันอีกด้วย
“ทำไมฉันถึงกลับมาที่นี่ได้ล่ะ ในเมื่อฉันตายจากยุคนี้แล้ว”
หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกับสิ่งที่เห็น อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าเธอนั้นกลับมาที่นี่ได้อย่างไร เรื่องนี้มันน่าแปลกใจมาก
“หรือว่าฉันจะมีมิติเหมือนในนิยาย แบบนี้ก็ดีน่ะสิ ต่อไปก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าบ้านรองจะโดนคนจากคนบ้านใหญ่รังแก หึหึ แบบนี้ดีมากเลย” หญิงสาวพูดออกมาอีกครั้งด้วยความดีใจ เมื่อคิดได้ว่าเธอน่าจะมีมิติในนิยายอย่างที่เคยฟังจากแม่ค้าแถวที่พักชอบพูดคุยกัน มันสนุกจนเธอไปซื้อมาอ่านในยามว่าง จึงยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“ไปสำรวจบ้านดูดีกว่า ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง”
พูดจบเธอไม่รอช้า รีบวิ่งสำรวจบ้านว่ามีทุกอย่างเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะก่อนที่เธอจะตายในหน้าที่ ได้ซื้ออาหารและของใช้หลายอย่างมาเก็บไว้ รวมถึงข้าวของและเสื้อผ้าที่เธอตั้งใจจะเอาไปบริจาคให้คนบนดอย ซึ่งเสื้อผ้าที่นั่นกับยุคนี้ก็ไม่ต่างกันมากนัก
การสำรวจบ้านของถังลู่เหมยทำให้รู้ว่าข้าวของทุกอย่างยังมีเหมือนเดิม ไม่ว่าอาหารสำเร็จรูปที่เคยซื้อไว้ หรืออาหารปรุงสุกรวมไปถึงอาหารสด ก็มีเต็มครัวไปหมด
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างมีครบ จึงเดินไปหยิบขนมปังเอามากินทว่าสายตาเหลือบไปเห็นแซนด์วิชไว้ต่าง ๆ ที่มีมากกว่าสิบชิ้นที่เธอซื้อไว้ แถมของทุกอย่างยังดูสดใหม่ จึงได้หยิบเอามากินชิ้นหนึ่ง พอเธอสามารถกัดกินมันได้ ก็รู้สึกแปลกใจมาก เพราะทุกอย่างมันดูเหมือนจริง จนตอนนี้ความคิดของเธอดูสับสนไม่น้อย
“นี่คือความจริงหรือความฝันนะ แต่ทำไมฝันเหมือนจริงแบบนี้นะ ถ้านี่คือความจริง ถ้าเรามีมิติเหมือนในนิยายจริงๆ แล้วเราจะเอาของพวกนี้ออกไปได้หรือเปล่า ถ้าทำได้จะเข้าออกมิตินี้ได้ยังไง” หญิงสาวครุ่นคิดไปด้วยกินแซนด์วิชไปด้วย เพราะปัญหาของเธอในตอนนี้คือ เธอไม่แน่ใจว่าข้าวของเหล่านี้จะเอาออกมาได้หรือเปล่า หรือว่านี่เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
ในขณะที่หญิงสาวกำลังกินแซนด์วิชด้วยความอร่อย จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง เธอจึงรีบหยิบแซนด์วิชมาด้วยมือทั้งสองข้างด้วยความตกใจ
เสียงนั่นเป็นเสียงเปิดปิดประตูจากเหนียงฟาง เพราะเธอต้องออกไปเตรียมตัวทำอาหารเช้าให้กับบ้านใหญ่ จึงทำให้ถังลู่เหมยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
“เห้อ กำลังกินอย่างอร่อยเชียว”
พอเห็นแม่ไปแล้วถังลู่เหมยก็ถอนหายใจออกมาและบ่นเบา ๆ อย่างเสียดาย เพราะเธอยังอยากกินแซนด์วิชชิ้นนั้นอยู่ แต่แล้วความรู้สึกบางอย่างบ่งบอกว่ามีอะไรอยู่ในมือ เธอจึงค่อย ๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา ซึ่งในมือมันเป็นแซนแซนด์วิชวิชที่เธอกัดกินก่อนหน้านี้
‘นี่มันอะไรกัน หรือว่าไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือความจริง เรามีมิติเหมือนในนิยายเหรอเนี่ย’
พอคิดได้ดังนั้นใบหน้าของเธอก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างดีใจ ใจนั้นอยากจะกลับเข้าไปที่นั่นซะเดี๋ยวนี้ แต่กลัวว่าพ่อและพี่ชายที่กำลังหลับจะตื่นมาเสียก่อน
‘เราอาจจะต้องลองผิดลองถูกก่อน เพราะไม่รู้ว่าการที่เข้าไปในมิตินั้น เข้าไปทั้งตัวหรือว่าแค่จิตสำนึก!!’
หญิงสาวคิดได้อย่างนั้นจึงรีบซุกแซนด์วิชสองชิ้นไว้ แล้วทำทีลุกขึ้นจากที่นอน และเดินออกมาจากห้อง เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่คิดนั้นคือเรื่องจริงหรือเปล่า
“จะไปไหนเหรอลูก” เหนียงฟางถามลูกสาวเมื่อเห็นว่าเธอเดินมาทางนี้
“อาเหมยอยากเข้าห้องน้ำ” หญิงสาวตอบออกมาพร้อมกับกุมท้องไว้ ไม่มีสถานที่ไหนเหมาะไปกว่าห้องน้ำอีกแล้วในเวลานี้ เธอต้องการพิสูจน์บางอย่าง จึงคิดว่าใช้เวลาไม่นาน
“อย่างนั้นหรือ รีบไปรีบกลับไปนอนพักเถอะ ฟ้ายังไม่สว่าง น้ำค้างก็ลงแรง เดี๋ยวจะไม่สบายอีก” ผู้เป็นแม่พูดด้วยความเป็นห่วง ลูกสาวเพิ่งหายป่วยเธอกลัวว่าจะกลับมาป่วยเหมือนเดิมอีก
“จ๊ะแม่ อาเหมยจะรีบกลับ” ถังลู่เหมยพูดและพยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะรีบเดินไปที่ห้องน้ำด้วยความตั้งใจ
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำ ถังลู่เหมยก็หลับตาและนึกถึงเซฟเฮ้าล์อีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้นร่างของเธอก็ปรากฎในบ้านหลังนั้นทันที
“แสดงว่าเข้ามาได้แบบนี้ ก็คงไม่ใช่ความฝันสินะ” พอคิดได้ดังนั้นเธอจึงได้หยิกที่แขนพร้อมกับตบหน้าตัวเอง
“โอ๊ย!!” เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บ นี่จึงเข้าใจได้ทันทีว่าไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน
“ฮ่าๆ ดีจริงๆ เลย ไปดูดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง” หญิงสาวหัวเราะลั่นทันที ก่อนจะเดินสำรวจห้องต่าง ๆ แม้กระทั่งห้องของหัวหน้า พอเห็นคลังแสงส่วนตัวของหัวหน้าเธอก็พึมพำออกมาอย่างไม่พอใจสักเท่าไร
“อาวุธดี ๆ ทั้งนั้น ว่าแต่มีมิติพวกนี้ทำไมกัน แทนที่จะเป็นข้าวสารอาหารแห้ง อย่างน้อยก็มีของประทังชีวิต รวมถึงยังสามารถช่วยเหลือคนที่ลำบากได้ อาวุธพวกนี้จะให้เอาไปช่วยสงครามหรือว่าให้ฉันไปสมัครเป็นตำรวจแล้วช่วยจับโจรกันล่ะ”
ถังลู่เหมยไม่เข้าใจเลยว่าจะมีมิติที่เต็มไปด้วยอาวุธทำไม โดยที่เธอไม่รู้ว่าอาหารและเสบียงทั้งหมดที่มีในนี้ สามารถใช้ได้ไม่มีวันหมด!!
หลังจากสำรวจจนพอใจแล้ว หญิงสาวจึงได้ออกมาจากมิติ เธอหลับตาแล้วนึกถึงห้องน้ำ พอลืมตาขึ้นร่างของเธอก็กลับมาอยู่ในห้องน้ำของบ้านถังอีกครั้ง
แต่เพราะอยากลองเรียกอาหารออกมาเหมือนในนิยาย จึงแบมือออกแล้วนึกถึงเนื้อหมูสามชั้นที่มีในบ้านพัก ทันใดนั้นเนื้อที่มีก็โผล่มาอยู่ในมือ และเพราะอยากรู้อีกนั่นแหละ จึงแขวนถึงเนื้อไว้ข้างฝาห้องน้ำ ก่อนจะหายเข้ามิติอีกครั้ง และเห็นว่าเนื้อที่เธอเรียกออกไปนั้นยังมีอยู่เท่าเดิมก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“หรือว่าสามารถเอาของในนี้ไปกินไปใช้ได้ไม่มีวันหมดแบบที่เคยอ่านนิยาย แบบนี้ก็ดีนะสิ ฉันเห็นหลายครัวเรือนยากจน บางคนก็ไม่มีข้าว บางครอบครัวก็ไม่เคยได้กินเนื้อ หึ หึ ฉันจะช่วยเอง แต่บ้านใหญ่ถังน่ะฝันไปเถอะ ต้องหาโอกาสบอกพี่ใหญ่ จะได้มีคนช่วย” หญิงสาวหัวเราะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ และเรื่องนี้เธอตั้งใจจะบอกพี่ชาย เนื่องจากเรื่องราวที่เธอจะทำนั้นต้องได้รับความช่วยเหลือจากถังอี้คุน
พอออกมาจากมิติ เธอก็หัวเราะดังลั่นในห้องน้ำอย่างลืมตัว ซึ่งเวลานี้แม่ของเธอทำงานอยู่เพียงคนเดียว แต่คนบ้านใหญ่เริ่มตื่นแล้ว เสียงหัวเราะของถังลู่เหมย ทำให้คนบ้านถังส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
ทันทีที่หญิงสาวเดินออกมา ก็รีบวิ่งกลับห้องตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนเนื้อน่ะเหรอ เธอก็เอาไปเก็บไว้ในมิติก่อนน่ะสิ เพราะหากถือออกมาอาจจะผิดสังเกตได้
“พ่อไปไหนหรือพี่ใหญ่”
ถังลู่เหมยถามขึ้นทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง แล้วเห็นพี่ชายกำลังนั่งพับที่นอนเพียงลำพัง เห็นภาพนี้แล้วก็รู้สึกสงสาร ในใจนั้นคิดว่าต้องหาเรื่องแยกบ้านให้เร็วเสียแล้ว เธอและพี่ชายจะได้มีห้องนอนส่วนตัวเสียที นั่นก็เพราะทุกคนต้องมีพื้นที่ส่วนตัวเพื่อที่ว่าเธอจะได้ทำอะไรสะดวกกว่านี้ อีกอย่างพี่ชายโตจนเลยวัยแต่งงานแล้ว จะมานอนรวมแบบนี้ได้อย่างไรกัน และหากวันหนึ่งเกิดแต่งงาน เธอล่ะสงสารพี่สะใภ้เหลือเกิน
“ขึ้นเขาไปวางกับดักสัตว์น่ะ อาเหมยไปไหนมาเหรอ พี่ตื่นมาไม่เจอ กำลังจะออกไปตามหาพอดี” ชายหนุ่มตอบน้องสาวในเรื่องที่เธอถาม ก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“มีเรื่องอัศจรรย์บางอย่างเกิดขึ้นกับฉัน พ่อกับแม่ยังไม่กลับมาเวลานี้ใช่ไหม” หญิงสาวเดินเข้าไปหาพี่ชายและกระซิบถามเธอตัดสินใจว่าจะบอกพี่ชายเรื่องมิติวิเศษ
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั