คำพูดนี้ของน้องสาวทำให้ชายหนุ่มเกิดความสนใจ เลยถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะตื่นเต้น “เรื่องมหัศจรรย์ อะไรบอกพี่ได้ไหม”
“ได้สิ พี่ใหญ่เป็นพี่ชายของฉัน ทำไมฉันจะบอกไม่ได้ พี่คอยดูอะไรนะ” หญิงสาวพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เพราะถ้าหากไม่ไว้ใจพี่ชายคนนี้ เธอคงไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้วและเธอคงไม่บอกว่าหายบ้าแล้วหรอกนะ
ถังลู่เหมยมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครมาเห็น ก่อนจะแบมือออกตรงหน้าพี่ชายแล้วนึกถึงแซนต์วิช เท่านั้นแหละ แซนต์วิชสองสามชิ้นก็วางอยู่บนมือของเธอ
“เฮ้ย!!” นี่คือคำอุทานของถังอี้คุน แม้จะตกใจมากแค่ไหนแต่เขากลับไม่ถอยหนีจากน้องสาว เขาทำเพียงสบตาเธอก่อนจะถามขึ้น “นี่คือเรื่องอัศจรรย์ของอาเหมยเหรอ”
“ใช่ค่ะ นี่แหละคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ฉันจะบอกพี่ ไม่เพียงแค่ขนมเท่านั้น ยังมีอาหารและของกินอีกหลายอย่างรวมถึงเนื้อหมู่ ไก่ ปลา และพวกข้าวสาร ที่ฉันเรียกออกมาได้ราวกับเล่นกล” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างไม่ปิดบัง
“อาเหมยทำได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าท่านตาคนนั้น...” ชายหนุ่มถามขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ และนึกถึงท่านตาคนนั้นที่น้องสาวเคยเล่าให้ฟัง
“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าท่านตาคนนั้นคงให้ของวิเศษเรามา ท่านคงเห็นใจชะตาชีวิตบ้านเรา และการที่ท่านช่วยให้ฉันกลับมาเป็นปกติพร้อมกับให้ของวิเศษแบบนี้ คงอยากให้ฉันช่วยชาวบ้านที่ลำบากด้วยเหมือนกัน” ถังลู่เหมยเห็นพี่ชายพูดถึงท่านตาที่เธออ้างก็รีบรับสมอ้างทันที จากนั้นก็คล้ายกับอยากจะรู้ว่าพี่ชายจะมีความคิดเห็นว่าอย่างไร เธอจึงเลือกที่จะเงียบรอฟังเขาก่อน
“แบบนี้ก็ดีเลย ชาวบ้านที่อดยากไม่มีแม้แต่อาหารกินมีมากมายนัก เชื่อไหมว่าบางทีมียายชรามาหางานทำในตลาดมืดเหมือนกัน เพราะหวังว่าวันนั้น ๆ จะมีเงินพอซื้อข้าวกลับไปทำกินกับครอบครัว” ถังอี้คุนเอ่ยขึ้นมาอย่างเห็นด้วย เขานั้นมีน้ำใจงดงาม แต่ไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะช่วย จึงได้แต่มองอย่างเห็นใจ และบางครั้งหยิบยื่นให้ตามกำลังที่มี
ถังลู่เหมยคิดไม่ผิดว่าพี่ชายคนนี้เป็นอย่างไร เธอจึงพูดขึ้นมาในเชิงปรึกษาอีกครั้ง
“พี่ใหญ่ ฉันตั้งใจจะเอาของที่มีในมิติออกมาช่วยชาวบ้านโดยที่ปิดบังตัวตน เพราะไม่อยากให้บ้านใหญ่มายุ่งวุ่นวาย เงินเราก็มีเกือบแสนหยวนแล้ว จะว่าไป ฉันก็เสียดายเงินที่ต้องเอามาแจกหรือช่วยเหลือชาวบ้าน แต่เมื่อไรที่ฉันร่ำรวยและเป็นเศรษฐีจนเหลือเก็บ เมื่อนั้นฉันจะเอาออกมาช่วยชาวบ้าน แต่ตอนนี้เรามีอาหารที่สามารถนำมาใช้อย่างไม่มีวันหมด ฉันตั้งใจว่าจะทำเป็นชุดแล้วให้พี่เอาไปแขวนหน้าบ้านของคนยากไร้ พี่เห็นว่าอย่างไร แต่การที่จะช่วยหมู่บ้านอื่นคงลำบากกับการเดินทาง แต่ถ้าพี่ขับมอเตอร์ไซค์เป็นคงดีไม่น้อย เพราะในมิติมีรถมอเตอร์ไซค์อยู่น่ะ” หญิงสาวคิดไกลถึงขนาดจะเอารถออกมาใช้เพื่อความสะดวกเลยทีเดียว
หมู่บ้านของเธอและหมู่บ้านใกล้เคียง ถังลู่เหมยมองว่าช่วยได้ไม่ยุ่งยากมากนัก แต่ถ้าหมู่บ้านห่างไกล ที่ต้องใช้เวลาในการเดินทางย่อมต้องมีปัญหาถ้าไม่ใช้รถ
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอกนะ พี่ขับเป็น เคยขับของหมู่บ้านน่ะ ของหัวหน้าคอมมูน” ชายหนุ่มตอบกลับไปอย่างจริงจัง เรื่องขับมอเตอร์ไซค์เขาเคยขับและขับได้ดี จึงไม่มีปัญหาอะไร
“เอาตามนี้นะพี่ใหญ่ ฉันจะบรรจุของเป็นถุงเองยามว่าง ส่วนกลางคืนพอพ่อกับแม่และทุกคนเข้านอนแล้ว เราจะแอบไปช่วยชาวบ้านกัน ตกลงไหม” หลังจากได้บทสรุป เธอจึงนัดแนะกับพี่ชาย
“ตกลง ว่าแต่อาเหมยไม่เสียดายของเหรอ ที่ต้องเอามาแจกชาวบ้าน” ชายหนุ่มถามกลับอีกครั้งอย่างสงสัย
“ไม่ล่ะ ในเมื่อของพวกนี้เราไม่ได้ซื้อมา และที่สำคัญของพวกนี้มีมากมาย จนชาตินี้น่าจะกินไม่หมด แต่ความดีด้วยการแบ่งแบบนี้ ต่อให้เรารวยแค่ไหนก็ไม่สามารถใช้เงินซื้อได้ ความดีจะทำให้เราสุขสบาย พี่ใหญ่เชื่อฉันสิ แต่ดีจนโง่ก็ไม่เอานะฮ่า ๆ ๆ” ถังลู่เหมยพูดจบก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เธอโตมากับบ้านเด็กกำพร้า เธอจึงอยากจะบริจาคให้เด็ก ๆ พวกนั้นด้วยเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ายุคนี้จะมีสถานที่แบบนั้นหรือเปล่า ก่อนจะนึกบางอย่างได้ จึงรีบบอกกับพี่ชาย
“จริงสิ ขุมสมบัติของพวกเรายังมีอีกนะพี่ใหญ่ วันนี้ช่วงเที่ยงเราเจอกันในป่านะ ฉันมีมิติวิเศษ แล้วสามารถเก็บของได้อย่างไม่กลัวใครมาแย่งชิง เราค่อย ๆ เก็บแล้วค่อยเอาไปขายวันหลังจะดีกว่า หากไปขายติด ๆ กันจะโดนสงสัยเอาได้”
“หา!!” ชายหนุ่มได้ยินก็อุทานออกมาอย่างตกใจแทบสิ้นสติ เขาตกใจเรื่องนี้มากกว่ามิติวิเศษที่เธอบอกก่อนหน้านี้เสียอีก เพราะราคาโสมกับเห็ดหลินจือนั้นแพงมาก ๆ
“ต้องหาสิ ถ้าไม่หาแล้วจะเจอได้อย่างไรละพี่ใหญ่ ฮ่าๆๆๆ”
ถังลู่เหมยพูดจบหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งพี่ชาย เรื่องเห็ดหลินจือและต้นโสมนั้นเธอไม่ได้โกหก ในป่าแห่งนั้นยังมีอีกหลายจุด ที่เธอจำได้ตอนเป็นวิญญาณล่องลอย
“เดี๋ยวเถอะ ล้อพี่เล่นเหรอ เด็กแสบ” ชายหนุ่มทำท่าทีจะเขกหัวน้องสาว ถังลู่เหมยก็ทำท่าหดคอรอ
“ฮ่าๆ ๆ”
แต่เมื่อทั้งสองสบตากันก็หัวเราะออกมาลั่นห้อง ในใจทั้งสองคนนั้นคิดเหมือนกันว่า จะได้ทำบุญต่อคนยากไร้โดยที่ไม่เดือดร้อนใคร แค่คิดก็รู้สึกอิ่มเอมใจแล้ว
หลังจากทุกคนไปทำงาน ถังลู่เหมยจึงเข้าไปในมิติอีกครั้ง เธอนำของใส่ถุงไม่ต่างจากถุงยังชีพในยุคปัจจุบัน ในถุงผ้านี้มีทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง เธอเอาเนื้อหมูและผักสดแยกใส่ถุงพลาสติก ก่อนจะเอามารวมใส่ถุง และเธอไม่ลืมที่จะใส่ยาสามัญประจำบ้านไปด้วย
“น่าแปลกนะ ทำไมของในบ้านหลังนี้จึงเป็นภาษาจีนทั้งหมดล่ะ มีตรามีฉลากบอกว่าเป็นอะไร แต่ไม่ระบุยี่ห้อ พวกปลากระป๋อง อาหารกระป๋องต่าง ๆ เหมือนกัน แม้จะไม่มีตราหรือยี่ห้อแต่กลับระบุวันหมดอายุ”
ถังลู่เหมยสำรวจดูสิ่งของแล้วพูดขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ไม่รู้จะถามใคร จึงได้แต่นั่งทำงานต่อ เวลาผ่านไปสักพักเธอเพิ่งทำได้สามสิบถุงก็บ่นออกมาเล็กน้อย
“ถ้ามีพันบ้าน ฉันไม่ต้องนั่งใส่ถุงพันถุงหรอกหรือ แต่เดี๋ยวนะ ในเมื่อเราหยิบของในนี้ได้ งั้นลองออกไปแล้วเรียกดูดีกว่า”
คิดได้อย่างนั้นหญิงสาวก็รีบออกมาจากมิติ แล้วลองเรียกถุงเสบียงออกมาห้าสิบถุง และถุงพวกนี้ก็ปรากฏตรงหน้าเธอตามที่ต้องการ
“เยี่ยมเลย แบบนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดก็ได้ เฮ้อ...เบาใจหน่อย ไม่งั้นคงเสียเวลาทุก ๆ ช่วงกลางวันทุกวันแน่ ๆ” หญิงสาวพูดกับตัวเองด้วยความดีใจ
หลังจากทดลองแล้ว เธอจึงเอาของทุกอย่างเก็บเข้ามิติอีกครั้ง เมื่อเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถังลู่เหมยไม่มั่นใจว่าเงินที่พ่อกับแม่แอบไว้จะปลอดภัยไหม จึงได้รื้อแผ่นไม้ออก แล้วเอาเงินเก็บเข้ามิติ ก่อนจะทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่จังหวะนั้นก็มีคนเคาะประตูเรียกเสียงดัง
ปัง ปัง
“นังลู่เหมย ย่าให้มาเรียก”
เสียงของถังถงซินมาเรียกอยู่หน้าห้อง หล่อนเหมือนจะว่างงาน จึงหาเรื่องมากลั่นแกล้งถังลู่เหมย
เมื่อมีคนมาเรียกและรู้ว่าเป็นใคร ถังลู่เหมยจึงได้ถอนใจและกลอกตามองบนด้วยความเบื่อหน่าย
ในเมื่อมาหาเรื่องถึงที่ ก็คอยดูว่าคนบ้าอย่างเธอจะเอาคืนอย่างไร นั่นเพราะมีความทรงจำเดิมเกี่ยวกับญาติผู้พี่คนนี้ในทางที่ไม่ดีเลยอย่างไรล่ะ
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั