เจียงเหิงผลักประตูเข้ามาในเรือนเขาก็ได้เห็นท่านปู่กับท่านย่านั่งอยู่บนเสื่อรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
กู้ชิงเหอแอบทอดสายตาไปยังคนทั้งสอง ท่านปู่เจียงเป็นชายชราร่างบาง ใบหน้าปรากฏรอยย่นลึกจากกาลเวลา แม้ในขณะนี้ดวงตาจะเปล่งประกายความโกรธอย่างชัดเจน ทว่าก็ยังแฝงไว้ด้วยเมตตาในแววตาคู่นั้น แตกต่างจากเจียงเหิงซึ่งมีคิ้วตาเรียวเฉียงขึ้นเล็กน้อย ทว่าดูดุดันแม้เพียงทำหน้านิ่งเฉย
ส่วนท่านย่าซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง แม้เวลาจะผ่านหลายปี กู้ชิงเหอก็ยังเห็นเค้าโครงความงามในร่องรอยแห่งวัยนั้น เจียงเหิงกับเจียงเหยียนคงได้ความงามนี้จากท่านย่าโดยแท้
ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ทักทายผู้อาวุโส อาสะใภ้หลี่ซื่อที่หายไปเมื่อครู่ก็พาท่านอาเล็กเจียงซืออวี่เดินตามหลังเขามา ทั้งสองทรุดตัวลงนั่งล้อมโต๊ะเตี้ยตัวยาวที่ตั้งอยู่กลางเรือน
ดูเหมือนว่าข่าวที่เขารับตัวกู้ชิงเหอกลับมาคงจะมาถึงหูท่านปู่ท่านย่าแล้วสินะ ก็ดี..จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้มากความ เจียงเหิงยิ้มเย็นพลางนั่งลงตรงข้ามกับผู้อาวุโสทั้งสาม
ปู่เจียงตบฝ่ามือลงบนโต๊ะเสียงดัง ตะเบ็งเสียงด้วยความไม่พอใจ "อาเหิง! ข้าอยากถามเจ้า! เจ้าเอาเงินจากที่ใดไปซื้อตัวหญิงนั่นกลับมา!"
เจียงเหิงแค่นเสียงในลำคอทีหนึ่ง ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ สมาชิกในเรือนก็พากันตื่นตัวทีเดียวนะ ไม่เหมือนช่วงเช้าก่อนที่เขาจะพาเจียงเหยียนเข้าเมืองกลับไม่มีผู้ใดสนใจจะถามสักคน
“เงินนั่น..เป็นเงินส่วนตัวของข้าเองขอรับ”
ท่านย่าที่นั่งอยู่ใกล้กันแค่นเสียง "เงินส่วนตัวหรือ? อย่างเจ้าจะมีปัญญาไปทำสิ่งใดได้ถึงขนาดมีเงินเป็นตำลึง? พูดให้มันจริงเถิด เจ้าแอบซุกซ่อนเงินของแม่เจ้าเอาไว้ใช่หรือไม่!”
เสียงกระแทกถ้วยชาของหลี่ซื่ออาสะใภ้ดังขึ้น
"ท่านพ่อ ท่านแม่! ข้าไม่อาจยอมได้หรอกนะเจ้าคะ! ในเรือนยังไม่มีข้าวจะหุง เจียงเหิงกลับไปซื้อตัวหญิงสาวมาเพิ่มอีกปากท้อง! ทุกวันนี้สามีข้ายังทำงานหนักไม่พออีกหรือไร?!”
เจียงซืออวี่ อาของเจียงเหิง ผู้เคยสุขสบายด้วยเงินจากมารดาของชายหนุ่มเมื่อหลายปีก่อนถอนหายใจเสียงดัง
“เงินของพี่สะใภ้ที่ทิ้งไว้กับย่าเจ้าเมื่อหลายปีก่อน หมดไปตั้งนานแล้วนะอาเหิง สองปีมานี่ที่เจ้ากินใช้อยู่ทุกวันก็ล้วนเป็นเงินที่ข้าหามาเลี้ยงดูทั้งสิ้น แต่เจ้ากลับซุกซ่อนเงินเอาไว้ซื้อหาความสำราญให้ตัวเอง น่าผิดหวังนัก!”
เจียงเหิงยิ้มเย็น เมื่อแปดปีก่อนหลังจากท่านพ่อเจียงไห่ของตนเสียชีวิตไปแล้ว ท่านแม่จึงพาเขากับน้องสาวกลับมาที่หมู่บ้านเกาซานเพื่อขอพึ่งบารมีท่านปู่ท่านย่า
แต่มารดาก็ไม่ได้มาตัวเปล่า นางมอบทรัพย์สินจำนวนมากให้ท่านย่าไว้เพื่อส่งเสียให้เขาได้ร่ำเรียนต่อ และเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเจียงเหยียนที่สูญเสียความทรงจำไปในวัยห้าขวบ ซึ่งภายหน้าน้องสาวอาจจะต้องใช้เงินในการรักษาตัวไม่น้อย
พอท่านแม่ออกเดินทางไปตามหาเถ้ากระดูกของบิดาเพื่อจะนำกลับมาฝังไว้ที่หมู่บ้านเกาซาน ท่านปู่ท่านย่าก็จัดการปรับปรุงเรือนครั้งใหญ่ให้สองพี่น้องได้กินอิ่มสุขสบาย ตัวเขาเองก็ยังมีโอกาสได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเล็กๆ ในตำบลหลินซูอีกด้วย
แต่กับเจียงเหยียนท่านย่ากลับบ่ายเบี่ยงว่าโรคความจำเสื่อมไม่อาจรักษาได้ด้วยสมุนไพรหรือวิชาแพทย์ใดๆ และใช้เงินค่ารักษาตัวของเจียงเหยียนไปอุดหนุนครอบครัวบ้านรองของเจียงซืออวี่ผู้เป็นอาของตนแทน
“ท่านอาจะบอกว่าเงินของท่านแม่ข้าที่คนสกุลเจียงใช้จ่ายมาตลอดหกปีนั้นสู้เงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงท่านเพียงสองปีไม่ได้เลยใช่หรือไม่ขอรับ?” ชายหนุ่มปรายตามองเจียงซืออวี่ด้วยสายตาคมกริบ
เจียงซืออวี่ทำท่าฮีดฮัดไม่พอใจ แต่กลับไม่กล้าสวนคำ ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกหวั่นเกรงหลานชายผู้นี้อยู่ไม่น้อย
“หากคิดบัญชีกันจริงๆ ข้าได้เรียนในสำนักศึกษาเพียงสามปี เหยียนเอ๋อร์ก็ไม่ได้รับการรักษาใดๆ หักค่าข้าวค่าน้ำแปดปีของเราสองคนหรือสร้างเรือนสกุลเจียงขึ้นมาใหม่ทั้งหลัง เงินที่ท่านแม่ให้ไว้ก็ยังใช้ไม่หมดอยู่ดี ท่านย่าสงสัยหรือไม่ว่าเงินมันหายไปทางไหนหมดขอรับ?”
ย่าเหยาผงะ ตลอดมาเจียงเหิงกับเจียงเหยียนไม่เคยปริปากบ่นว่าอะไรสักคำ วันนี้กลับมาแจงรายละเอียดถี่ยิบ!
“เจ้าจะไปรู้อะไร ข้าวของแพงขึ้นทุกปี แล้วหลังจากที่เจ้าสอบเป็นซิ่วไฉสำเร็จ เจ้าก็ไม่ได้คิดจะร่ำเรียนต่อเอง นี่เป็นความผิดของข้าหรือไร!”
เจียงเหิงแค่นยิ้ม ที่ตนไม่เรียนต่อในสำนักศึกษาก็เพราะความรู้ที่เขามีมันมากกว่าอาจารย์ทั่วทั้งตำบลหลินซูต่างหาก!
หรือต่อให้มีอาจารย์ท่านย่าจะยอมเจียดเงินให้เขาไปเรียนจริงหรือ?
ผู้เฒ่าเจียงเห็นว่าหากปล่อยให้หลานชายกับภรรยาถกเถียงกันไปเรื่อยอาจไม่เป็นผลดี เจียงเหิงรู้หนังสือและคิดเงินเป็น! หากเขาคิดบัญชีจริงๆ ย่อมรู้แน่ว่าเงินหายไปไม่น้อย
ชายชราตบโต๊ะแรงๆ อีกครั้ง
“ไร้สาระ! ข้าไม่ได้ถามเรื่องในอดีต ตอนนี้พวกเราไม่มีเงินกันแล้ว แต่เจ้ากลับเอาเงินไปซื้อตัวสตรีกลับมาอีกคน เรื่องนี้ต่างหากที่ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร แล้วตกลงเจ้าซ่อนเงินเอาไว้อีกเท่าใดกันแน่!”
“ขออภัยขอรับท่านปู่ เงินนั้นข้าสะสมไว้ทีละน้อย จากค่าใช้จ่ายที่ท่านย่ามอบให้ขณะไปเล่าเรียนในสำนักศึกษา บัดนี้ก็หมดแล้วขอรับ” เจียงเหิงปลดถุงเงินจากข้างเอวแล้วส่งให้ชายชรา
ท่านปู่รับถุงเงินไว้ แต่ย่าเหยาไม่รอช้า รีบเอื้อมมือมาแย่งถุงผ้าจากท่านปู่ ก่อนจะเปิดดูด้วยความตั้งใจ
ในถุงมีเหรียญอีแปะอยู่เพียงสามเหรียญเท่านั้น ย่าเหยากำมันไว้แน่นในมือ ก่อนจะยื่นถุงผ้าสีจางเปล่าๆ คืนให้หลานชาย
กู้ชิงเหอเลิกคิ้วสูง สามเหรียญอีแปะยังถูกย่าเหยาแย่งไปจากหลานชายอีก คนสกุลเจียงนี่ช่างทำให้นางได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง!
หลี่ซื่อชะเง้อมองแม่สามีเก็บเหรียญสามเหรียญลงในกระเป๋าตนเองด้วยสายตาเต็มไปด้วยความอิจฉา หากนางรู้ว่าเจียงเหิงยังมีเงินติดตัวอยู่ ก็คงรีบถามไถ่เรื่องเงินกับเขาตั้งแต่ตอนที่พบกันหน้ารั้วไปแล้ว แต่ตอนนี้นางก็ได้แต่เสียดายที่ปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยไป
“เดี๋ยวข้าไปค้นดูในห้องของพวกเขาให้เองเจ้าค่ะท่านแม่สามี!” หลี่ซื่อลุกพรวดออกจากที่นั่งโดยไม่รอคำสั่งจากใคร ใบหน้าของนางฉายชัดถึงความตั้งใจและความเร่งรีบ นางเดินฉับ ๆ ไปยังห้องพักของสองพี่น้องด้วยความกระตือรือร้น เหมือนต้องการไขปริศนาให้กระจ่างโดยเร็ว
เจียงเหิงกัดฟันแน่น เจียงไห่สามีของแม่นมหายตัวไปจริง แต่คนที่แม่นมลั่วคิดจะออกไปตามหาในเวลานั้นไม่ใช่เขาในปีนั้น กวานจิ้งหยวน บิดาที่แท้จริงของเขาถูกผู้มีอำนาจใส่ความว่ากบฏ จึงรีบส่งคนมาบอกให้มารดาของเขารีบหนีออกจากจวนโดยด่วนระหว่างทาง รถม้าที่พวกเขาโดยสารถูกคนร้ายติดตามไม่ลดละ ทหารที่คุ้มกันจำต้องลวงศัตรูให้แยกไปอีกทางปล่อยให้สามแม่ลูกหลบหนีมาพร้อมกับลั่วหลินและบุตรสาวของนางแต่ก่อนจะถึงหมู่บ้านเกาซาน รถม้ากลับลื่นตกเหว แม่นมลั่วคว้าตัวเจียงเหยียนไว้ได้ทัน ส่วนเขาก็กระเด็นออกมาอยู่บนพื้นดิน… ทว่าเบื้องล่างเหวนั้นกลับกลืนร่างของ จางเหยามารดาของตนและบุตรสาวของแม่นมไปพร้อมกันลั่วหลินในเวลานั้นมิใช่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตลงไป แต่เหวลึกชันนัก ต่อให้เดินอ้อมภูเขาหลายลูกเพื่อหาทางลงไปถึงก้นเหวก็ไม่รู้ว่ากว่าจะไปถึงจะยังเหลือสิ่งใดให้ค้นหา พวกเขาสามคนนั่งร่ำไห้อยู่บนปากเหวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แม่นมลั่วสูญเสียบุตรสาว ตัวเขาเองก็เสียใจที่เห็นมารดาตกเหวลึกไปต่อหน้า แต่เจียงเหยียนนั้นอาการหนักที่สุด นางตกใจอย่างรุนแรงตาค้างจนหมดสติ สุดท้ายแม่นมลั่วก็ต้องกัดฟันพาเขาและน้องสาวเดินทางต่อจนถึงหมู่บ
สวี่อี้หมิงไม่เพียงไม่ยอมตามน้ำ หากยังตอกย้ำเสียงดังฟังชัด“เมื่อครู่ข้าเพิ่งมอบเงินร้อยตำลึงให้นางหนูนั่นใช้ขยายเรือน เงินนั่นยังมากพอจะซื้ออุปกรณ์การเรียนให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้อีกด้วยซ้ำ ข้าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนให้ผู้ใดมาจัดหา”กู้ชิงเหออ้าปากตาค้าง ดวงตากลมเบิกโพลง นางนึกว่าเงินนั้นได้มาเปล่าๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าต้องใช้สร้างเรือน ต้องจัดหาอาหารการกินเลี้ยงดูท่านผู้สูงส่งผู้นี้ แล้วยังต้องแบกรับภาระซื้อของแจกเด็กๆ อีก! หากมิใช่ว่านางยังหวังจะให้เขาช่วยชี้แนะเจียงเหิงในเรื่องการสอบจวี่เหรินที่ใกล้จะมาถึง นางคงตะเพิดเขาออกไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว!!ฝ่ายหลี่ซื่อ เมื่อได้ยินว่าเงินก้อนโตถึงร้อยตำลึงไปตกอยู่ในมือของกู้ชิงเหอ ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความโลภทันที ความอิจฉาผสมโกรธจนอกแทบระเบิด นางรีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสวี่อี้หมิง“เอาเงินตั้งร้อยตำลึงไปไว้กับเด็กสาวไม่รู้ประสาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาไปเผาไฟเล่นหรอกเจ้าค่ะ! ไม่สู้มอบมาให้ข้าจัดการเถิด รับรองจะทำได้ดีกว่า”นางปรายตามองกู้ชิงเหออย่างเยาะหยัน ก่อนเอ่ยต่อราวกับตัดสินแทนทุกคน“อย่างไรก็สกุลเจียงด้วยกันทั้
“ท่านแม่! ท่านมาวุ่นวายอะไรที่นี่!” เจียงเสี่ยวเหวินรีบเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง บดบังสายตาของเจียงเหิงไว้ ทำให้เจียงเหิงต้องพยายามทำใจให้เย็นลง ต่อให้เขาเกลียดสตรีผู้นี้เพียงใด นางก็เป็นมารดาของเจียงเสี่ยวเหวินอยู่ดีหลี่ซื่อค้อนบุตรชายทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าบ่นอะไรมากต่อหน้าเจียงเหิง นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง“ข้าได้ยินท่านย่าเจ้าบอกว่ามีขุนนางเข้ามาตรวจสอบฝ้ายมิใช่หรือ? ข้าอยากมาถามให้แน่ใจว่าฝ้ายพวกนี้จะขายได้ราคาดีจริงหรือไม่น่ะสิ” ชาวบ้านที่ติดตามลูกๆ ของตนมาด้วยทำสีหน้างุนงง เจียงเสี่ยวเหวินวิ่งออกไปบอกกับสหายของเขาในหมู่บ้านว่ายามนี้มีอาจารย์จากเมืองหลวงมาพักอยู่ที่เรือนเจียงซิ่วไฉ และยังจะสอนหนังสือให้เขากับกู้ชิงฉีด้วย เด็กๆ อยากเห็นอาจารย์จากในวังจึงได้ตามเสี่ยวเหวินมา ส่วนพวกตนที่ได้ยินข่าวก็เดินตามมาด้วยหวังจะมาเคารพท่านอาจารย์จากในเมืองสักครั้ง แต่เหตุใดหลี่ซื่อจึงบอกว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางที่มาตรวจสอบฝ้ายเล่า? “ขุนนางตรวจสอบฝ้ายอันใดกันหลี่ซื่อ? บุตรชายเจ้าบอกว่าที่เรือนของเจียงซิ่วไฉมีท่านอาจารย์มาพำนักอยู่ด้วยต่างหาก!” สตรีนางหนึ่งตำหนิ เกรงว่าคำพูดไม่รู้ควา
กู้ชิงเหอรู้สึกหนักใจเล็กน้อย เมื่อครู่ที่นางกล่าวว่าเชื่อเขานั้น นางไม่ได้พูดปดเลยสักนิดแม้จะไม่แน่ชัดว่าสวี่อี้หมิงเคยเกี่ยวพันกับฮ่องเต้จริงหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าระหว่างเขากับเจียงเหิงดูเหมือนคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน ที่สำคัญ..ตัวละครที่ปรากฏตัวออกมาอย่างน่าตื่นตะลึงเช่นสวี่อี้หมิงจะไม่มีบทบาทใดเลยหรือ? เขาน่าจะเป็นตัวปัญหาอย่างที่นางคิดไว้แต่แรก และอาจเป็นผู้ชักจูงเจียงเหิงให้เปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายด้วยซ้ำ!!กู้ชิงเหอหลับตาลงชั่วครู่ นึกถึงภาพเจียงเหิงในอนาคตที่นางเคยอ่านในนิยาย ชายหนุ่มผู้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ในราชสำนัก เป็นผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม คำพูดทุกคำแฝงคมมีด ทุกย่างก้าวบดขยี้ผู้อื่นโดยไร้ความลังเล ในตำแหน่งเดิมเขาอาจดูสงบเยือกเย็น ทว่าแท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต เหมือนงูพิษที่เงียบเชียบแต่พร้อมจะฉกกัดทุกเมื่อบุคคลเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทาง ไม่ว่าจะขุนนาง ขันที หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ล้วนต้องถอยให้เขาสามก้าว แค่เอ่ยนาม “เจียงเหิง” ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งราชสำนักสะท้านหวาดหวั่นทว่าบุรุษตรงหน้ากลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สวี่อี้หมิงเป็นคนอวดดีตรงไปตรงมา ร้
“อาเหิง เจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นข้ากับย่าเจ้าจะกลับเรือนใหญ่ล่ะนะ” ท่านปู่ตะโกนเรียกเสียงดัง “เสี่ยวเหวิน คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่เถิด ข้าจะบอกแม่เจ้าเอง” ผู้เฒ่าเจียงยังไม่วางใจนัก จึงกำชับต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นย่าเหยาเม้มปากแน่น หากผู้เฒ่าเจียงไม่สั่งความเช่นนี้นางก็คงไม่คิดมาก แต่ตอนนี้นางเริ่มห่วงว่าหากคนร้ายตามสวี่อี้หมิงมาถึงเรือนของหลานชายเล่า? จะมีอันตรายอะไรกับเด็กๆ หรือไม่ หญิงชราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวมาหาหลานรัก “หากเกิดเหตุร้ายแรงอันใด…เจ้าต้องรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น วิ่งไปเรือนหูซุนจ่างก็แล้วกัน ไม่ต้องกลับไปที่เรือนเราหรอก บิดาเจ้าก็ช่วยเหลือใครไม่ได้อยู่ดี”กู้ชิงเหอได้ยินถ้อยคำนั้น มุมปากก็ยกยิ้มจาง ๆ ในใจแอบคิดว่า แม้ท่านย่าเหยาจะเคยลำเอียงจนทำให้สองพี่น้องลำบาก แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะรักเสี่ยวเหวินมากเกินไป หาใช่เพราะโหดร้ายอันใด ที่แท้ในใจนางก็ยังคิดห่วงเจียงเหิงกับเจียงเหยียนอยู่บ้างต่างจากกู้ต้าซุนกับหวางชุ่นฮวา ที่กล้าขายหลานกินอย่างไม่น่าให้อภัย!!คืนนั้น เจียงเหิงพากู้ชิงฉีและเจียงเสี่ยวเหวินมาปูเสื่ออยู่หน้าห้อง ปล่อยให้สวี่อ
สวี่อี้หมิงถูกปู่เจียงกับกู้ชิงฉีช่วยกันพาเข้าไปนอนในห้องของเจียงเหิงที่ไม่ได้กลับมานอนที่เรือนหลายวันแล้ว กู้ชิงฉีคอยเป็นลูกมือพร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เฒ่าเจียงฟัง ระหว่างที่เขาช่วยจัดการบาดแผลบนหน้าอกให้กับชายแปลกหน้า พอสวี่อี้หมิงหลับไปแล้ว ชายชราก็ยังนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง บางครั้งก็ลุกขึ้นชะเง้อมองไปทางหน้าเรือนไม่หยุด จนเจียงเหยียนต้องเตือนให้เขาพักผ่อนบ้าง“ในเรือนมีแต่สตรีกับเด็ก ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าอยู่กับชายแปลกหน้าเพียงลำพังได้อย่างไร” ท่านปู่บ่น“ข้าขออภัยด้วยเจ้าค่ะท่านปู่ ที่ทำให้ท่านต้องกังวล..” กู้ชิงเหอขอโทษเสียงแผ่ว “ข้าเห็นว่าเขาท่าทางภูมิฐานไม่เหมือนพวกโจรป่าจึงกล้าช่วยเหลือ อีกอย่าง..เขาบอกว่าหากช่วยเขา เขาจะตอบแทนน้ำใจอย่างงามเลยเจ้าค่ะ” ย่าเหยาคิ้วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย รีบลุกเดินเข้าไปสำรวจบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นอย่างละเอียด “ชิงเหอกล่าวไม่ผิดเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราหรอกนะตาเฒ่า หรือว่าอาจจะเป็นขุนนางที่เข้ามาตรวจสอบการเพาะปลูกฝ้าย!!” คำกล่าวนั้นทำให้กู้ชิงเหอสะดุ้งเล็กน้อย หากมีขุนนางมานอนตายอยู่ในที่ดินของเจียงเหิงคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ โชคด