Se connecterเจียงเหิงผลักประตูเข้ามาในเรือนเขาก็ได้เห็นท่านปู่กับท่านย่านั่งอยู่บนเสื่อรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
กู้ชิงเหอแอบทอดสายตาไปยังคนทั้งสอง ท่านปู่เจียงเป็นชายชราร่างบาง ใบหน้าปรากฏรอยย่นลึกจากกาลเวลา แม้ในขณะนี้ดวงตาจะเปล่งประกายความโกรธอย่างชัดเจน ทว่าก็ยังแฝงไว้ด้วยเมตตาในแววตาคู่นั้น แตกต่างจากเจียงเหิงซึ่งมีคิ้วตาเรียวเฉียงขึ้นเล็กน้อย ทว่าดูดุดันแม้เพียงทำหน้านิ่งเฉย
ส่วนท่านย่าซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง แม้เวลาจะผ่านหลายปี กู้ชิงเหอก็ยังเห็นเค้าโครงความงามในร่องรอยแห่งวัยนั้น เจียงเหิงกับเจียงเหยียนคงได้ความงามนี้จากท่านย่าโดยแท้
ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ทักทายผู้อาวุโส อาสะใภ้หลี่ซื่อที่หายไปเมื่อครู่ก็พาท่านอาเล็กเจียงซืออวี่เดินตามหลังเขามา ทั้งสองทรุดตัวลงนั่งล้อมโต๊ะเตี้ยตัวยาวที่ตั้งอยู่กลางเรือน
ดูเหมือนว่าข่าวที่เขารับตัวกู้ชิงเหอกลับมาคงจะมาถึงหูท่านปู่ท่านย่าแล้วสินะ ก็ดี..จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้มากความ เจียงเหิงยิ้มเย็นพลางนั่งลงตรงข้ามกับผู้อาวุโสทั้งสาม
ปู่เจียงตบฝ่ามือลงบนโต๊ะเสียงดัง ตะเบ็งเสียงด้วยความไม่พอใจ "อาเหิง! ข้าอยากถามเจ้า! เจ้าเอาเงินจากที่ใดไปซื้อตัวหญิงนั่นกลับมา!"
เจียงเหิงแค่นเสียงในลำคอทีหนึ่ง ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ สมาชิกในเรือนก็พากันตื่นตัวทีเดียวนะ ไม่เหมือนช่วงเช้าก่อนที่เขาจะพาเจียงเหยียนเข้าเมืองกลับไม่มีผู้ใดสนใจจะถามสักคน
“เงินนั่น..เป็นเงินส่วนตัวของข้าเองขอรับ”
ท่านย่าที่นั่งอยู่ใกล้กันแค่นเสียง "เงินส่วนตัวหรือ? อย่างเจ้าจะมีปัญญาไปทำสิ่งใดได้ถึงขนาดมีเงินเป็นตำลึง? พูดให้มันจริงเถิด เจ้าแอบซุกซ่อนเงินของแม่เจ้าเอาไว้ใช่หรือไม่!”
เสียงกระแทกถ้วยชาของหลี่ซื่ออาสะใภ้ดังขึ้น
"ท่านพ่อ ท่านแม่! ข้าไม่อาจยอมได้หรอกนะเจ้าคะ! ในเรือนยังไม่มีข้าวจะหุง เจียงเหิงกลับไปซื้อตัวหญิงสาวมาเพิ่มอีกปากท้อง! ทุกวันนี้สามีข้ายังทำงานหนักไม่พออีกหรือไร?!”
เจียงซืออวี่ อาของเจียงเหิง ผู้เคยสุขสบายด้วยเงินจากมารดาของชายหนุ่มเมื่อหลายปีก่อนถอนหายใจเสียงดัง
“เงินของพี่สะใภ้ที่ทิ้งไว้กับย่าเจ้าเมื่อหลายปีก่อน หมดไปตั้งนานแล้วนะอาเหิง สองปีมานี่ที่เจ้ากินใช้อยู่ทุกวันก็ล้วนเป็นเงินที่ข้าหามาเลี้ยงดูทั้งสิ้น แต่เจ้ากลับซุกซ่อนเงินเอาไว้ซื้อหาความสำราญให้ตัวเอง น่าผิดหวังนัก!”
เจียงเหิงยิ้มเย็น เมื่อแปดปีก่อนหลังจากท่านพ่อเจียงไห่ของตนเสียชีวิตไปแล้ว ท่านแม่จึงพาเขากับน้องสาวกลับมาที่หมู่บ้านเกาซานเพื่อขอพึ่งบารมีท่านปู่ท่านย่า
แต่มารดาก็ไม่ได้มาตัวเปล่า นางมอบทรัพย์สินจำนวนมากให้ท่านย่าไว้เพื่อส่งเสียให้เขาได้ร่ำเรียนต่อ และเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเจียงเหยียนที่สูญเสียความทรงจำไปในวัยห้าขวบ ซึ่งภายหน้าน้องสาวอาจจะต้องใช้เงินในการรักษาตัวไม่น้อย
พอท่านแม่ออกเดินทางไปตามหาเถ้ากระดูกของบิดาเพื่อจะนำกลับมาฝังไว้ที่หมู่บ้านเกาซาน ท่านปู่ท่านย่าก็จัดการปรับปรุงเรือนครั้งใหญ่ให้สองพี่น้องได้กินอิ่มสุขสบาย ตัวเขาเองก็ยังมีโอกาสได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเล็กๆ ในตำบลหลินซูอีกด้วย
แต่กับเจียงเหยียนท่านย่ากลับบ่ายเบี่ยงว่าโรคความจำเสื่อมไม่อาจรักษาได้ด้วยสมุนไพรหรือวิชาแพทย์ใดๆ และใช้เงินค่ารักษาตัวของเจียงเหยียนไปอุดหนุนครอบครัวบ้านรองของเจียงซืออวี่ผู้เป็นอาของตนแทน
“ท่านอาจะบอกว่าเงินของท่านแม่ข้าที่คนสกุลเจียงใช้จ่ายมาตลอดหกปีนั้นสู้เงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงท่านเพียงสองปีไม่ได้เลยใช่หรือไม่ขอรับ?” ชายหนุ่มปรายตามองเจียงซืออวี่ด้วยสายตาคมกริบ
เจียงซืออวี่ทำท่าฮีดฮัดไม่พอใจ แต่กลับไม่กล้าสวนคำ ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกหวั่นเกรงหลานชายผู้นี้อยู่ไม่น้อย
“หากคิดบัญชีกันจริงๆ ข้าได้เรียนในสำนักศึกษาเพียงสามปี เหยียนเอ๋อร์ก็ไม่ได้รับการรักษาใดๆ หักค่าข้าวค่าน้ำแปดปีของเราสองคนหรือสร้างเรือนสกุลเจียงขึ้นมาใหม่ทั้งหลัง เงินที่ท่านแม่ให้ไว้ก็ยังใช้ไม่หมดอยู่ดี ท่านย่าสงสัยหรือไม่ว่าเงินมันหายไปทางไหนหมดขอรับ?”
ย่าเหยาผงะ ตลอดมาเจียงเหิงกับเจียงเหยียนไม่เคยปริปากบ่นว่าอะไรสักคำ วันนี้กลับมาแจงรายละเอียดถี่ยิบ!
“เจ้าจะไปรู้อะไร ข้าวของแพงขึ้นทุกปี แล้วหลังจากที่เจ้าสอบเป็นซิ่วไฉสำเร็จ เจ้าก็ไม่ได้คิดจะร่ำเรียนต่อเอง นี่เป็นความผิดของข้าหรือไร!”
เจียงเหิงแค่นยิ้ม ที่ตนไม่เรียนต่อในสำนักศึกษาก็เพราะความรู้ที่เขามีมันมากกว่าอาจารย์ทั่วทั้งตำบลหลินซูต่างหาก!
หรือต่อให้มีอาจารย์ท่านย่าจะยอมเจียดเงินให้เขาไปเรียนจริงหรือ?
ผู้เฒ่าเจียงเห็นว่าหากปล่อยให้หลานชายกับภรรยาถกเถียงกันไปเรื่อยอาจไม่เป็นผลดี เจียงเหิงรู้หนังสือและคิดเงินเป็น! หากเขาคิดบัญชีจริงๆ ย่อมรู้แน่ว่าเงินหายไปไม่น้อย
ชายชราตบโต๊ะแรงๆ อีกครั้ง
“ไร้สาระ! ข้าไม่ได้ถามเรื่องในอดีต ตอนนี้พวกเราไม่มีเงินกันแล้ว แต่เจ้ากลับเอาเงินไปซื้อตัวสตรีกลับมาอีกคน เรื่องนี้ต่างหากที่ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร แล้วตกลงเจ้าซ่อนเงินเอาไว้อีกเท่าใดกันแน่!”
“ขออภัยขอรับท่านปู่ เงินนั้นข้าสะสมไว้ทีละน้อย จากค่าใช้จ่ายที่ท่านย่ามอบให้ขณะไปเล่าเรียนในสำนักศึกษา บัดนี้ก็หมดแล้วขอรับ” เจียงเหิงปลดถุงเงินจากข้างเอวแล้วส่งให้ชายชรา
ท่านปู่รับถุงเงินไว้ แต่ย่าเหยาไม่รอช้า รีบเอื้อมมือมาแย่งถุงผ้าจากท่านปู่ ก่อนจะเปิดดูด้วยความตั้งใจ
ในถุงมีเหรียญอีแปะอยู่เพียงสามเหรียญเท่านั้น ย่าเหยากำมันไว้แน่นในมือ ก่อนจะยื่นถุงผ้าสีจางเปล่าๆ คืนให้หลานชาย
กู้ชิงเหอเลิกคิ้วสูง สามเหรียญอีแปะยังถูกย่าเหยาแย่งไปจากหลานชายอีก คนสกุลเจียงนี่ช่างทำให้นางได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง!
หลี่ซื่อชะเง้อมองแม่สามีเก็บเหรียญสามเหรียญลงในกระเป๋าตนเองด้วยสายตาเต็มไปด้วยความอิจฉา หากนางรู้ว่าเจียงเหิงยังมีเงินติดตัวอยู่ ก็คงรีบถามไถ่เรื่องเงินกับเขาตั้งแต่ตอนที่พบกันหน้ารั้วไปแล้ว แต่ตอนนี้นางก็ได้แต่เสียดายที่ปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยไป
“เดี๋ยวข้าไปค้นดูในห้องของพวกเขาให้เองเจ้าค่ะท่านแม่สามี!” หลี่ซื่อลุกพรวดออกจากที่นั่งโดยไม่รอคำสั่งจากใคร ใบหน้าของนางฉายชัดถึงความตั้งใจและความเร่งรีบ นางเดินฉับ ๆ ไปยังห้องพักของสองพี่น้องด้วยความกระตือรือร้น เหมือนต้องการไขปริศนาให้กระจ่างโดยเร็ว
อีกด้าน เกวียนไม้ที่บรรทุกตัวอย่างดอกฝ้ายสีขาวสะอาดกล่องหนึ่งแล่นออกจากหมู่บ้านเกาซานไปตามถนนลูกรังเจียงเหิงนั่งบังคับเกวียนอยู่ด้านหน้า ส่วนสวี่อี้หมิงนั่งข้าง ๆ ถือสมุดบัญชีและห่อเอกสารที่หูซุนจ่างจัดเตรียมให้สำหรับยื่นรายงานต่อทางการ“กังวลหรือ?” สวี่อี้หมิงถามยิ้มๆ“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องราคาของฝ้ายอยู่ขอรับ ยามนี้บ้านเมืองต้องการธัญพืช เรื่องเครื่องนุ่งห่มอาจจะเป็นเรื่องรอง ฝ้ายมู่เหมี่ยนขายได้ชั่งละไม่ถึงสิบอีแปะเลยด้วยซ้ำ เทียนจูเหมี่ยนก็คงไม่ต่างกันเท่าใดนัก”“เจ้าคิดผิดแล้ว” สวี่อี้หมิงส่ายหน้า “ฝ้ายเทียนจูเหมี่ยนเป็นของพระราชทาน ฮ่องเต้ถึงกับให้ส่งเมล็ดไปทั่วแคว้น แต่สองปีแล้ว...ยังไม่มีผู้ใดเพาะขึ้นได้สักคน เจ้าคิดว่าหากเมล็ดพันธุ์ฝ้ายนี้ไม่สำคัญจริงๆ ราชสำนักจะยังเพียรพยายามอยู่อีกหรือ?" เจียงเหิงได้ยินดังนั้นก็มีกำลังใจขึ้น เพราะคนในหมู่บ้านกลุ่มที่เลือกเพาะปลูกฝ้ายลงทุนลงแรงไปไม่น้อย หากขายไม่ได้ราคาอาจจะสร้างปัญหาให้กับครอบครัวของตนและหูซุนจ่างที่ช่วยกันผลักดันให้ทุกคนปลูกฝ้ายชนิดนี้ เสียงล้อไม้บดกับพื้นดินดังกรอบแกรบไปตลอดทางเมื่อถึงตัวเมือง ทั้งสองหยุดเกวียนหน้าประต
เช้าวันถัดมา เจียงเหิงกับสวี่อี้หมิงออกเดินทางเข้าเมืองกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนที่เรือนใหม่ กู้ชิงเหอก็พาน้อง ๆ ออกไปช่วยกันเก็บฝ้ายในแปลงท้ายหมู่บ้านนางมองดูท่านปู่เจียงกับท่านย่าเหยาที่ช่วยกันเด็ดปุยฝ้ายสีขาวใส่ลงในตะกร้าอย่างคล่องแคล่วด้วยความรู้สึกยินดี ผู้อาวุโสทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปจากที่นางเคยพบครั้งแรกไปราวกับเป็นคนละคนกัน แม้แต่เจียงเสี่ยวเหวิน ที่แต่ก่อนมักตื่นสายและหาข้ออ้างเลี่ยงงานสารพัด ก็ยังรีบมาช่วยเก็บฝ้ายตั้งแต่เช้ามืดเช่นกัน“พี่ใหญ่ ฝ้ายนี่นุ่มจริงๆ !” กู้ชิงฉีกล่าวพลางยกปุยนุ่มขึ้นมาอวด ใบหน้าเขาเปื้อนเหงื่อแต่เต็มไปด้วยความภูมิใจยังไม่ทันที่กู้ชิงเหอจะเอ่ยตอบ เสียงแหลมของหญิงสูงวัยก็ดังขึ้นจากอีกฟากของลาน“ฮึ! ฝ้ายของพวกเจ้ายังไม่รู้ว่าจะขายได้กี่อีแปะก็รีบยิ้มร่ากันเสียแล้ว ระวังจะผิดหวังเล่า”กู้ชิงเหอเงยหน้าขึ้น เห็นกู้ต้าซุนกับหวางซื่อเดินเข้ามาอย่างถือดี ปากยังคงพ่นถ้อยคำเยาะเย้ยไม่หยุด“ข้าล่ะสงสารพวกเจ้าจริง ๆ เหนื่อยทั้งวันก็คงได้เงินกลับมาไม่พอซื้อน้ำชาสักถ้วย!” หวางซื่อหัวเราะเสียงดังลั่น เจียงเหยียนกับเจียงเสี่ยวเหวินที่ช่วยเก็บฝ้ายอยู่ใกล้ๆ พากันหย
“ไม่ใช่ความผิดของท่านขอรับ… ตอนนี้ท่านก็ได้พบพวกเราแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่คงจะดีใจนัก” เจียงเหิงพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น“ข้าไม่ใช่คู่ต่อกรของศัตรูเหล่านั้น ในสภาพอย่างวันนี้” สวี่อี้หมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความขมขื่นคล้ายคำสารภาพของคนที่ต่อสู้มานาน“เจ้าต้องสอบเป็นขุนนางให้ได้! อำนาจและบารมีเท่านั้นที่จะทำให้ผู้คนสยบลงแทบเท้าเจ้า วันนั้นเจ้าจึงจะมีโอกาสล้างแค้นให้สกุลกวาน!” เจียงเหิงรับคำ แม้มันจะไม่ใช่ความคิดใหม่สำหรับเขา ที่ผ่านมาเขาวาดรูปแบบความสัมพันธ์ในอดีตของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลกวานลงแผ่นกระดาษเอาไว้ และเขาก็คิดเช่นกันว่าหากไม่มีเงิน..ก็ต้องมีอำนาจ! จึงจะทำอะไรต่อไปได้“อาจารย์ข้าผ่านการสอบระดับซิ่วไฉแล้ว แต่กลับไม่สามารถเข้าร่วมสอบจวี่เหรินเมื่อสองปีก่อน ครั้งนี้ข้าจะทำให้สำเร็จ” ดวงตาของเจียงเหิงเลื่อนไปมองเงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในครัว กู้ชิงเหอ ผู้อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในชีวิตของเขา เมื่อนึกย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน คำพูดเช่นนี้เขาคงยังไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กู้ชิงเหอทีเข้ามาเปลี่ยนชะตาชีวิตอันแร้นแค้นของตนแ
เจียงเหิงกัดฟันแน่น เจียงไห่สามีของแม่นมหายตัวไปจริง แต่คนที่แม่นมลั่วคิดจะออกไปตามหาในเวลานั้นไม่ใช่เขาในปีนั้น กวานจิ้งหยวน บิดาที่แท้จริงของเขาถูกผู้มีอำนาจใส่ความว่ากบฏ จึงรีบส่งคนมาบอกให้มารดาของเขารีบหนีออกจากจวนโดยด่วนระหว่างทาง รถม้าที่พวกเขาโดยสารถูกคนร้ายติดตามไม่ลดละ ทหารที่คุ้มกันจำต้องลวงศัตรูให้แยกไปอีกทางปล่อยให้สามแม่ลูกหลบหนีมาพร้อมกับลั่วหลินและบุตรสาวของนางแต่ก่อนจะถึงหมู่บ้านเกาซาน รถม้ากลับลื่นตกเหว แม่นมลั่วคว้าตัวเจียงเหยียนไว้ได้ทัน ส่วนเขาก็กระเด็นออกมาอยู่บนพื้นดิน… ทว่าเบื้องล่างเหวนั้นกลับกลืนร่างของ จางเหยามารดาของตนและบุตรสาวของแม่นมไปพร้อมกันลั่วหลินในเวลานั้นมิใช่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตลงไป แต่เหวลึกชันนัก ต่อให้เดินอ้อมภูเขาหลายลูกเพื่อหาทางลงไปถึงก้นเหวก็ไม่รู้ว่ากว่าจะไปถึงจะยังเหลือสิ่งใดให้ค้นหา พวกเขาสามคนนั่งร่ำไห้อยู่บนปากเหวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แม่นมลั่วสูญเสียบุตรสาว ตัวเขาเองก็เสียใจที่เห็นมารดาตกเหวลึกไปต่อหน้า แต่เจียงเหยียนนั้นอาการหนักที่สุด นางตกใจอย่างรุนแรงตาค้างจนหมดสติ สุดท้ายแม่นมลั่วก็ต้องกัดฟันพาเขาและน้องสาวเดินทางต่อจนถึงหมู่บ
สวี่อี้หมิงไม่เพียงไม่ยอมตามน้ำ หากยังตอกย้ำเสียงดังฟังชัด“เมื่อครู่ข้าเพิ่งมอบเงินร้อยตำลึงให้นางหนูนั่นใช้ขยายเรือน เงินนั่นยังมากพอจะซื้ออุปกรณ์การเรียนให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้อีกด้วยซ้ำ ข้าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนให้ผู้ใดมาจัดหา”กู้ชิงเหออ้าปากตาค้าง ดวงตากลมเบิกโพลง นางนึกว่าเงินนั้นได้มาเปล่าๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าต้องใช้สร้างเรือน ต้องจัดหาอาหารการกินเลี้ยงดูท่านผู้สูงส่งผู้นี้ แล้วยังต้องแบกรับภาระซื้อของแจกเด็กๆ อีก! หากมิใช่ว่านางยังหวังจะให้เขาช่วยชี้แนะเจียงเหิงในเรื่องการสอบจวี่เหรินที่ใกล้จะมาถึง นางคงตะเพิดเขาออกไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว!!ฝ่ายหลี่ซื่อ เมื่อได้ยินว่าเงินก้อนโตถึงร้อยตำลึงไปตกอยู่ในมือของกู้ชิงเหอ ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความโลภทันที ความอิจฉาผสมโกรธจนอกแทบระเบิด นางรีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสวี่อี้หมิง“เอาเงินตั้งร้อยตำลึงไปไว้กับเด็กสาวไม่รู้ประสาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาไปเผาไฟเล่นหรอกเจ้าค่ะ! ไม่สู้มอบมาให้ข้าจัดการเถิด รับรองจะทำได้ดีกว่า”นางปรายตามองกู้ชิงเหออย่างเยาะหยัน ก่อนเอ่ยต่อราวกับตัดสินแทนทุกคน“อย่างไรก็สกุลเจียงด้วยกันทั้
“ท่านแม่! ท่านมาวุ่นวายอะไรที่นี่!” เจียงเสี่ยวเหวินรีบเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง บดบังสายตาของเจียงเหิงไว้ ทำให้เจียงเหิงต้องพยายามทำใจให้เย็นลง ต่อให้เขาเกลียดสตรีผู้นี้เพียงใด นางก็เป็นมารดาของเจียงเสี่ยวเหวินอยู่ดีหลี่ซื่อค้อนบุตรชายทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าบ่นอะไรมากต่อหน้าเจียงเหิง นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง“ข้าได้ยินท่านย่าเจ้าบอกว่ามีขุนนางเข้ามาตรวจสอบฝ้ายมิใช่หรือ? ข้าอยากมาถามให้แน่ใจว่าฝ้ายพวกนี้จะขายได้ราคาดีจริงหรือไม่น่ะสิ” ชาวบ้านที่ติดตามลูกๆ ของตนมาด้วยทำสีหน้างุนงง เจียงเสี่ยวเหวินวิ่งออกไปบอกกับสหายของเขาในหมู่บ้านว่ายามนี้มีอาจารย์จากเมืองหลวงมาพักอยู่ที่เรือนเจียงซิ่วไฉ และยังจะสอนหนังสือให้เขากับกู้ชิงฉีด้วย เด็กๆ อยากเห็นอาจารย์จากในวังจึงได้ตามเสี่ยวเหวินมา ส่วนพวกตนที่ได้ยินข่าวก็เดินตามมาด้วยหวังจะมาเคารพท่านอาจารย์จากในเมืองสักครั้ง แต่เหตุใดหลี่ซื่อจึงบอกว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางที่มาตรวจสอบฝ้ายเล่า? “ขุนนางตรวจสอบฝ้ายอันใดกันหลี่ซื่อ? บุตรชายเจ้าบอกว่าที่เรือนของเจียงซิ่วไฉมีท่านอาจารย์มาพำนักอยู่ด้วยต่างหาก!” สตรีนางหนึ่งตำหนิ เกรงว่าคำพูดไม่รู้ควา







