"แยกบ้าน!! มีที่ไหนเขาทำกัน! บรรพบุรุษสร้างเรือนนี้ไว้ก็เพื่อให้ลูกหลานได้อาศัยร่วมชายคาเดียวกัน เจ้าอย่าคิดอ่านจะแยกบ้านด้วยเรื่องเงินเรื่องข้าวเลย...มันจะเสียมงคล” ผู้เฒ่าเจียงหรี่ตาพลางชำเลืองมองดูหลานชาย
“พ่อเจ้าเป็นบุตรคนโตตามธรรมเนียมเจ้าย่อมมีสิทธิ์ในเรือนใหญ่ แต่ท่านอาซืออวี่ของเจ้าก็เกิดในเรือนนี้ เขากับครอบครัวอาศัยอยู่ที่นี่ก่อนที่พวกเจ้าจะย้ายกลับมาหมู่บ้านเกาซานเสียอีก..”
“ใช่! เจ้ามันตัวล้างผลาญอย่างที่ผู้อื่นเขากล่าวกันจริงๆ!! ตอนนี้ใช้เงินในบ้านจนหมดก็คิดจะตัดพวกเราทิ้ง แล้วรับเอาผู้อื่นเข้ามาอยู่แทน ท่านพ่อสามีอย่าได้หลงกลเขาเชียวเจ้าค่ะ อีกหน่อยก็คงขายเรือนกินจนหมดตัวเป็นแน่!!"
เจียงเหิงลอบกำหมัดแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อ ไม่ใช่ท่านอาเจียงซืออวี่หรอกหรือที่ติดหนี้พนันก้อนโตจนท่านย่าต้องแอบเอาเงินในบ้านไปชดใช้หนี้ให้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
ตัวเขาเองในวันที่ต้องไปสมัครสอบจวี่เหรินที่เรือนยังไม่มีเงินพอสำหรับค่าเดินทางด้วยซ้ำ!!
ที่ผ่านมาตนต้องแสร้งทำตัวเป็นคนไร้ค่าไร้อนาคตไม่ยอมทำงานก็เพราะรู้ว่า ต่อให้พยายามมากเท่าใดเงินทั้งหมดก็ต้องถูกท่านปู่ท่านย่ายึดเอาไปช่วยเหลือครอบครัวท่านอาก่อนเสมอ
“ข้าไม่ได้คิดจะแอบอ้างว่าตนเป็นทายาทบ้านใหญ่แล้วจะขับไล่บ้านรองออกไปเมื่อใด ข้าแค่อยากแยกเรือนออกไปเพื่อไม่ให้ทุกคนต้องมาลำบากใจกันเท่านั้นขอรับ”
“เจ้าจะแยกเรือนออกไปอยู่ที่อื่น แต่ให้ครอบครัวท่านอาของเจ้าอยู่ที่เรือนใหญ่ดังเดิมงั้นหรือ?”
ปู่เจียงออกอาการลังเลใจ ทุกวันนี้เจียงเหิงอาศัยว่าตนเป็นซิ่วไฉต้องอ่านหนังสือเตรียมไปสอบจวี่เหริน ไม่ยอมทำการทำงาน เจียงเหยียนก็ไม่ค่อยได้ความซ้ำยังล้มป่วยบ่อยๆ
สองพี่น้องกลายเป็นภาระไม่พอยังจะรับเอาหญิงสาวมาอยู่ด้วยอีกคน กล่าวตามจริง เขาอยากให้หลานชายแยกเรือนออกไปจริงๆ!!
ชายชราส่ายศีรษะไปมา กัดฟันเอ่ยออกไป
“แยกไม่ได้ หากข้าสนับสนุนให้ครอบครัวแตกแยก แล้วเจ้าจะให้ชายชราเช่นข้าเอาหน้าแก่ๆ ไปแขวนไว้ที่ใดกัน? ต่อให้ลงหลุมไปข้าก็ไม่อาจไปสู้หน้าบรรพบุรุษได้!”
“ท่านปู่เข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าแค่ขอแยกบ้านไม่ได้แยกสกุลเสียหน่อย ถึงเรือนเราจะมีหลายห้องแต่ก็ยังต้องเบียดเสียดกันอยู่ ข้าพาน้องสาวแยกเรือนออกไป ไม่เห็นจะมีอะไรให้ท่านปู่ต้องอับอายเลยขอรับ”
“จริงด้วยเจ้าค่ะท่านพ่อสามี เสี่ยวเหวินของข้าก็สิบสี่ปีแล้วยังต้องนอนร่วมห้องกับพวกเราอยู่เลย หากขยับขยายให้เขาได้มีห้องส่วนตัวเหมือนอย่างอาเหิงกับอาเหยียนบ้างก็คงจะดีไม่น้อย” หลี่ซื่อรีบสนับสนุน
“ข้า..ข้า..” ผู้เฒ่าเจียงลอบกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อนลงคอ ถึงเจียงเหิงจะไม่ได้ไปสอบจวี่เหรินแต่ก็ยังรั้งตำแหน่งซิ่วไฉให้บ้านสกุลกู้ได้เชิดหน้าชูตา
แม้คนภายนอกจะนินทาว่าร้ายหลานชายให้เข้าหูบ่อยๆ แต่ต่อหน้าก็ยังให้เกียรติเขา บางครั้งยังมีชาวบ้านเอาของฝากมาเยี่ยมตนถึงเรือน เพียงเพราะอยากให้เจียงเหิงช่วยสอนบุตรชายของพวกเขาอ่านอักษร นั่นก็ทำให้ชายชราได้หน้าอยู่ไม่น้อย
แต่เมื่อมองไปที่เสี่ยวเหวินหลานชายคนเล็กอันเป็นที่รัก ผู้เฒ่าเจียงก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด
“แล้วแต่พวกเจ้า หากอาเหิงคิดจะแยกเรือนมิได้แยกสกุลก็พอจะทำได้อยู่”
เจียงเหิงถอนหายใจโล่งอก เขามีเรื่องในใจมากมายที่ต้องจัดการในภายหน้าและแน่นอนว่าการอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับญาติพี่น้องที่เห็นแก่ตัวมิอาจทำได้โดยสะดวก
“ข้ารู้ว่าเรามีกระท่อมเก่าอยู่ตรงเชิงเขาทางทิศตะวันตก หากท่านปู่อนุญาตข้าจะขอที่ดินผืนนั้น ท่านปู่เห็นว่าอย่างไรขอรับ”
นางหลี่ซื่อกลอกตาไปมาใช้สมองอย่างเร่งด่วน
ที่ดินริมเขามีราวสิบสองหมู่ ส่วนที่นาติดกับเรือนใหญ่มีเพียงเก้าหมู่เท่านั้น แต่หากนับรวมพื้นที่ตัวเรือนอีกสองหมู่เข้าไปด้วยพวกนางก็ไม่ได้เสียเปรียบสักเท่าใดนัก กระท่อมเชิงเขานั้นทั้งเล็กทั้งทรุดโทรม เทียบไม่ได้กับเรือนที่ต่อเติมเอาไว้หลายห้องแล้วที่นี่
“ที่ดินนั่น..แม้จะใกล้น้ำ แต่น้ำในลำธารก็แห้งไปแล้ว อีกทั้งยังมีหินเต็มไปหมดเพาะปลูกอะไรก็ไม่ได้ผลดี เจ้าไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” ผู้เฒ่าเจียงถามย้ำ
“จริงอย่างที่ท่านพ่อสามีว่า อาเหิงไม่เคยทำนา หากใช้ที่ดินทำประโยชน์อะไรไม่ได้ก็จะขายที่กินสิไม่ว่า! ใช่ว่าพอหมดตัวแล้วก็จะพากันหอบกลับมาอาศัยที่เรือนใหญ่อีกครั้งเล่า?” นางหลี่ซื่อแย้ง
“หากอาสะใภ้กังวลก็เชิญหูซุนจ่าง (หัวหน้าหมู่บ้านแซ่หู) มาทำบันทึกข้อตกลงเรื่องแยกเรือนเอาไว้ก็ได้นะขอรับ”
“ดี! เช่นนั้นก็ให้เสี่ยวเหวินไปตามหูซ่างซุนมาเลย ทำเรื่องแยกบ้านเสียให้จบวันนี้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องมาเสียเวลาคิดค่าข้าวค่าน้ำกันอีกให้วุ่นวาย” หลี่ซื่อรีบสนับสนุนเพราะเกรงว่าเจียงเหิงจะเปลี่ยนใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่ หูซ่างซุนก็เดินทางมาถึงเรือนสกุลเจียงพร้อมกับเสี่ยวเหวินบุตรชายวัยสิบสี่ปีของเจียงซืออวี่
หูซ่างซุนเองก็รู้เรื่องที่บัณฑิตเจียงรับเอาหลานสาวบ้านกู้มาไว้ในเรือนแล้วเช่นกัน
“ข้าคิดอยู่ว่าวันนี้สกุลเจียงต้องเกิดปัญหาแน่ พวกเจ้าไตร่ตรองกันดีแล้วหรือ?” หูซ่างซุนหันมองหน้าคนสกุลเจียงทีละคน
“อาเหิงก็โตแล้วแยกเรือนไปก็ดีจะได้รู้จักรับผิดชอบครอบครัว” ย่าเหยาเอ่ยปากยืนยันเป็นคนแรก
“ส่วนข้า..หากข้าได้รับข้าวของที่จำเป็นในการแยกเรือนไปตามสมควร ก็ไม่มีอะไรจะคัดค้านขอรับ” เจียงเหิงค้อมศีรษะด้วยความสุภาพ เขารู้ว่าหูซ่างซุนเป็นคนฉลาดและยุติธรรม ย่อมเข้าใจปัญหาของตนอย่างแน่แท้
หลี่ซื่อแอบหยิกไปที่สีข้างของสามี นางไม่กล้าสอดปากต่อหน้าผู้อาวุโสหู ตนเป็นเพียงสะใภ้อย่างไรก็ต้องให้หน้าพ่อแม่สามีไว้บ้าง
“แยกเรือนกันเองข้ากลัวว่าจะมีปัญหาขอรับ ท่านก็รู้ว่าหลานชายข้าฉลาดแต่สมอง แต่กลับทำงานไม่เป็น ยามนี้ต้องมีภาระเลี้ยงดูสตรีอีกสองคน เกรงว่าภายหน้า..”
“เจ้าคิดแต่ว่าเขาจะไปไม่รอด แล้วหากเจียงซิ่วไฉร่ำรวยได้ดิบได้ดีขึ้นมาภายหลังเล่า? ไม่คิดจะพึ่งพากันในภายหลังเลยหรือไร"
กู้ชิงเหอแอบชำเลืองมองใบหน้าชราของหูซ่างซุน ตัวละครตัวนี้นางมั่นใจว่าเขาไม่ได้ปรากฏตัวในนิยาย และคาดว่าน่าจะมีอีกหลายตัวละครที่ไม่ได้ถูกบรรยายบทบาทให้ละเอียดเช่นนี้อีกหลายคน
หูซ่างซุน อายุราวหกสิบปลาย แม้หลังจะงองุ้มเล็กน้อยตามวัย ผิวกร้านแดดกรำฝน แต่แววตายังคมกริบทว่าทอประกายแห่งความเมตตาและคุณธรรม
จากคำพูดที่ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดของหูซ่างซุนทำให้กู้ชิงเหอแอบจดบันทึกชื่อนี้ไว้ในใจ เขาคือคนที่น่าคบหาและไว้วางใจได้คนหนึ่งทีเดียว!
“ก็แค่แยกบ้าน เราไม่ได้แยกสกุลเสียหน่อย ทุกอย่างก็เหมือนเดิมนั่นล่ะเหตุใดจึงต้องยุ่งยากกันนักเล่า” ย่าเหยาเอ่ยอย่างรำคาญใจ
สุดท้ายแล้ววันนี้กู้ชิงเหอก็ได้ยอดอ่อนของเฟินป่าเต็มตะกร้ากับเถาฮุยเถิงเฉ่าติดมือกลับไปที่เรือน พอเก็บของไว้ในเรือนเสร็จนางก็ออกมาเก็บหินจากลำธารแห้งขึ้นมาทำแนวคันหินริมธารอีกครั้ง จนเจียงเหยียนต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย“พี่สาวไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ หินพวกนี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลยนะ”“ไม่เหนื่อยหรอก เจ้าเหนื่อยหรือ? เช่นนั้นก็นั่งดูเฉยๆ” หญิงสาวตอบพลางนึกสงสัยเช่นกันว่าตนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน“ทำไมต้องเอาหินมาเรียงกันแบบนี้ด้วยเล่าเจ้าคะ”"ถ้าเริ่มสร้างแนวกั้นไว้แต่เนิ่น ๆ พอฝนตกลงมาก็จะช่วยกั้นน้ำเอาไว้ได้”เด็กสาวหัวเราะร่วน “แต่ละปีมีฝนตกลงมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองเจ้าค่ะ บางปีไม่ตกเลยสักหยดด้วยซ้ำ พี่สาวคงต้องเหนื่อยเปล่าแล้ว”กู้ชิงเหอได้แต่ก้มหน้าทำต่อไปเงียบ ๆ เพราะนางไม่รู้จะตอบอย่างไร มีบางเรื่องหรือบางคน เช่นหูซุนจ่างและสตรีสองคนบนภูเขาที่นางไม่เคยอ่านเจอในนิยาย อาจมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่นางทะลุมิติเข้ามา แต่บางเส้นเรื่องย่อมยังดำเนินตามเดิม เช่นฤดูฝนที่ต้องมาถึงนางรู้ว่าอีกราวหนึ่งเดือนข้างหน้าฝนจะตกลงมาทันเวลากับที่น้ำในลำธารของหมู่บ้านแห้งสนิทลงไปพอดิบพอดี ชาวบ้
มือของกู้ชิงเหอสั่นเล็กน้อยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของ เพียงแค่ได้ยินชื่อกู้ชิงฉีนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง"พวกเจ้าพูดอันใด? ใครเป็นภรรยาของพี่ข้า?" เจียงเหยียนหน้าบึ้งมองสตรีสองคนด้วยความไม่พอใจเฉินเหมยลี่ปรายตาหยาม"ก็แม่นางกู้นั่นอย่างไรเล่า หรือจะให้ข้าพูดให้ชัดว่าพี่เจ้าซื้อนางมาอยู่เรือนเดียวกัน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้น"เจียงเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น นางได้ยินพี่ชายย้ำหลายครั้งไม่ให้ผู้ใดมาหมิ่นเกียรติพี่สาว แม้จะกลัว..แต่หญิงสาวก็ยังโต้ตอบกลับ "นางมาอยู่เรือนเดียวกับข้าในฐานะใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาว่าร้ายป้ายสี!"“เหอะ! เจ้าคิดนางจะช่วยเจ้าได้งั้นหรือถึงได้กล้าเถียงข้า เจียงเหยียน!” เฉินเหมยลี่ถลึงตาโตข่มขู่น้องสาวสกุลเจียงผู้นี้แต่ก่อนไม่เคยแม้แต่จะกล้าสบตาพวกนาง แต่วันนี้กลับคิดอยากลองดี นางคงต้องสั่งสอนสักหน่อยเสียแล้ว!เพียะ!ก่อนที่เฉินเหมยลี่จะทันได้เอื้อมมือแตะตัวเจียงเหยียน กู้ชิงเหอก็สาวเท้าเข้ามายืนกั้นระหว่างทั้งสองไว้ มือของนางแตะเบา ๆ ที่แขนของอีกฝ่ายเพียงหวังจะกันไม่ให้เข้ามาใกล้ ทว่าทันใดนั้น...ร่างของเฉินหมยลี่กลับกระเด็นถอยหลังไปถึงสองก้าวเต็ม!"
เจียงเหิงหันมองน้องสาว “ขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องเล่น เดินผิดก้าวอาจพลัดตกหินได้”“แต่ข้าระวังได้! ท่านพี่อย่าห้ามข้าเลย ข้าแค่อยากช่วยหาอาหาร ไม่อยากให้พี่ทั้งสองต้องออกแรงหาอยู่ฝ่ายเดียว”เจียงเหยียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสุกใสกู้ชิงเหอยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ถ้าพรุ่งนี้แดดไม่แรงนักข้าจะพาเจ้าขึ้นไปด้วย ระหว่างทางจะคอยสอนเจ้าว่าพืชอะไรควรเลี่ยง พืชใดกินได้”ชายหนุ่มมองเจียงเหยียนที่โตขึ้นมากกว่าเดิมนัก ดวงหน้านั้นยังคงมีรอยเยาว์วัยอยู่ แต่แววตาเริ่มมีประกายของคนที่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตความรู้เรื่องพืชผักของตนมีไม่เท่ากู้ชิงเหอ สตรีร่างเล็กผู้นี้เดินขึ้นเขาเข้าป่าทุกวันราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง หากให้นางเป็นคนสอนวิธีเอาตัวรอดให้น้องสาวก็ไม่เลวนัก“หากเจ้าแน่ใจว่าจะไป ข้าก็ไม่ขัด เพียงแต่ต้องฟังแม่นางกู้ให้ดี อย่าซุกซนจนเดินพลาดก็พอ”เจียงเหยียนตาเป็นประกาย รีบพยักหน้าอย่างหนักแน่น“เจ้าค่ะ ข้าจะระวังอย่างยิ่ง!”แววตาของกู้ชิงเหอเจิดจ้าขึ้น แม้จะยังไม่รู้ว่าบนเขานางจะโชคดีได้เจอผักป่าหรือไม่ แต่หากต้องรับตัวกู้ชิงฉีมาอยู่ที่นี่ด้วย ก่อนอื่นนางต้องทำให้เจียงเหิงมั่นใจว่านางมีความสามารถ และ
พอนางเห็นเขา ก็รีบวักน้ำในแอ่งน้ำใสสะอาดที่นางเพิ่งขุดขึ้นมาเองเมื่อเช้ามาล้างมือ แล้ววิ่งกลับมาหาเขาที่เรือน“เจียงเกอเกอกลับมาแล้ว!”“พี่ชายกลับมาแล้ว!” น้องสาวสองคนทักทายเขาพร้อมกันด้วยใบหน้าสดใส ทำเอาเจียงเหิงรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง“ข้าไปรับจ้างเขียนจดหมายให้พ่อค้าร้านชาในตำบล ได้เงินมานิดหน่อย” เขากล่าวพลางยิ้มมุมปาก “เลยซื้อข้าวสารมาเพิ่ม ที่เหลือก็เผื่อไว้วันหน้า”เขาหันมาทางกู้ชิงเหอ สีหน้าย้ำแน่วแน่ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวสารในเรือน หุงหาได้ตามสบาย ข้าจะออกไปทำงานทุกวันเอง วันนี้เพิ่งเริ่มคนยังไม่รู้ว่าข้ารับจ้างเขียน แต่ถ้าไปทุกวันอาจจะมีคนจ้างให้ทำงานอื่นเพิ่มขึ้น”แม้จะกล่าวว่าให้กู้ชิงเหอหุงหาได้ตามชอบ แต่ในใจของเจียงเหิงก็หดหู่ไม่น้อย เดือนก่อนกู้ต้าซุนใช้เงินหกร้อยอีแปะซื้อข้าวสารมาได้ยี่สิบชั่ง แต่วันนี้ข้าวราคาขึ้นสูงถึงชั่งละ 45 อีแปะแล้ว ทั้งตำบล มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านออกเขียนได้ แต่ใช่ว่าผู้มีวิชาเหล่านั้นจะยอมลดตนลงมารับจ้างเขียนจดหมายให้ใครคนมีการศึกษายิ่งหายาก ยิ่งถือตัว ห่วงศักดิ์ศรีมากกว่าปากท้องมีเพียงตนเท่านั้น ที่ยอมตั้งโต๊ะเล็ก ๆ หน้าศาลเจ้าป
“พี่สาวกู้ ท่านจะขยายบ่อน้ำตื้นเพิ่มขึ้นอีกหรือเจ้าคะ?” เจียงเหยียนเอียงคอถามนางกับกู้ชิงเหอช่วยกันขุดบ่อน้ำตื้นจนมีความลึกมากพอให้ใช้ถังไม้จ้วงลงไปตักน้ำได้โดยไม่ทำให้น้ำขุ่นสำเร็จแล้ว แต่พี่สาวร่างเล็กกลับยังไม่ยอมหยุดมือ นางยังคงเดินพลิกหินก้อนใหญ่ตามธารน้ำไม่หยุดคล้ายกำลังหาสิ่งใดอยู่“ข้าจะหาปลามาทำเป็นมื้อเย็นให้พวกเราได้กินกัน”“ปลา!! ยังจะมีปลาเหลืออยู่อีกหรือเจ้าคะ?”“ที่ใดมีน้ำ ที่นั่นย่อมมีปลา ยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิดวันนี้เราจะได้กินเนื้อปลาแน่นอน!”“ข้ากลัวแต่ท่านจะเหนื่อยเปล่าน่ะสิ..พี่เสี่ยวเหวินชอบหาปลา เขาออกไปจับปลากับเด็กชายในหมู่บ้านทุกวัน จนเวลานี้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆ ก็ไม่เหลือแล้ว”“เสี่ยวเหวินหาปลาในน้ำใช่หรือไม่ แต่ข้าจะหาปลาจากในดินให้เจ้าดูเอง” กู้ชิงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มและแววตาซุกซน นางเชื่อว่าในน้ำต้องมีปลาอย่างแน่นอน แต่หากต้องการปลาที่มีขนาดใหญ่สักหน่อย นางต้องหาจากโคลนใต้หินเหล่านี้นั่นล่ะ“เจ้ามาดูนี่สิ!” หญิงสาวกวักมือเรียกเจียงเหยียนเข้ามาใกล้“เจ้าดูให้ดี ดินตรงนี้จะต่างจากบริเวณอื่นเล็กน้อย” เจียงเหยียนนั่งยองพิจารณาดินทรายใต้ก้อนหินที่กู้ชิงเหอเพิ
เมื่อผลักประตูเข้ามาในเรือน เขามองเห็นกู้ชิงเหอยังคงนั่งอยู่ข้างเตาไฟ นางหันมามองเขาเพียงครู่เดียวก็หันกลับไปจัดการกับข้าวต้มบนเตาต่อ“ข้าอุ่นไว้รอท่านเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางตักข้าวใส่ถ้วยเดินมาวางบนโต๊ะ ทำท่าเชื้อเชิญให้เขานั่งลงกินเจียงเหิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาคิดว่านางเลินเล่อจนลืมดับไฟในเตากลับกลายเป็นว่ากู้ชิงเหออยู่รออุ่นข้าวให้เขานั่นเองเขาเสมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท “เหยียนเอ๋อร์หลับไปแล้ว?”“สักพักแล้วเจ้าค่ะ” นางหมุนตัวกลับไปยกจานผักดองมาวางให้เขาอีกครั้งพลางกล่าว“วันนี้ข้าเผลอใช้ข้าวสารไปไม่น้อยเลย แต่ท่านได้น้ำสะอาดมาแล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะเติมน้ำแล้วต้มโจ๊กเป็นมื้อเช้าให้นะเจ้าคะ”เจียงเหิงก้มศีรษะตอบรับแต่ไม่รู้จะว่าตนเองควรตอบกลับนางว่าอะไรดี เขาไม่ใช่คนช่างเจรจาอยู่แล้ว เรื่องอาหารการกินมีนางมาช่วยอีกคนก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ นางอยากทำอะไรก็ทำไปเถิด เขามีหน้าที่ต้องหาเงินมาดูแลครอบครัวเท่านั้นชายหนุ่มเลือกก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มกับผักดองไปเงียบๆ สายตาก็แอบมองร่างเล็กที่ค่อยๆ เทน้ำที่เขาไปแบกมาใส่ไปในโอ่งดินที่ว่างอยู่อีกใบช้าๆยามเขากินนางก็เพิ่มฟืนในเตาให้ลุ