กู้ชิงเหอก้มหน้านิ่ง นางรู้ว่าแท้จริงแล้วเจียงเหิงได้เงิน 1 ตำลึงนี้มาจากไหน
เจียงเหิงมีเงินที่เก็บสะสมเอาไว้จริงๆ แต่มันก็เป็นเงินเพียงร้อยกว่าอีแปะเท่านั้น เขาเห็นว่ารองเท้าของเจียงเหยียนเก่าและเล็กจนน้องสาวไม่อาจสวมใส่ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มเคยบอกกับย่าเหยาไปหลายรอบแต่อีกฝ่ายก็นิ่งเฉย เขาเลยตัดสินใจพาน้องสาวเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อรองเท้า
ระหว่างนั้นมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังกล่าวหาพ่อค้าร้านขายข้าวรายหนึ่งว่าผสมดินทรายลงไปในข้าวเพื่อโกงน้ำหนัก
แต่เจียงเหิงเห็นว่าในกลุ่มชาวบ้านเหล่านั้นมีอยู่สองคนที่เป็นพวกอันธพาลที่มักจะมาขูดรีดขอเงินจากศิษย์ในสำนักศึกษาที่ตนเคยร่ำเรียนอยู่เป็นประจำ จึงคิดว่าบางทีพ่อค้าข้าวอาจจะไม่ได้คดโกงและได้เข้าไปช่วยเหลือ
เขาสุ่มเลือกข้าวจากหลายกระสอบเอามาร่อนหาเศษดินทรายต่อหน้าชาวบ้านหลายคนเพื่อพิสูจน์ และแน่นอนผลก็คือข้าวเหล่านั้นขาวสะอาดมิมีสิ่งใดปนเปื้อน
ด้วยเหตุนี้ พ่อค้าข้าวจึงไม่ต้องสูญเสียเงินก้อนใหญ่เป็นค่าชดเชยให้พวกอันธพาล แต่กลับมอบเงินหนึ่งตำลึงให้เจียงซิ่วไฉมาเป็นรางวัลตอบแทนความยุติธรรมที่ได้รับ
เหตุใดเจียงเหิงจึงเลือกปกปิดเรื่องนี้ไว้ นางกลับไม่อาจเข้าใจได้
หลี่ซื่อหายไปครู่ใหญ่จึงได้กลับมาพร้อมกับสีหน้าผิดหวัง “ไม่มีเงินซ่อนอยู่จริงๆ เจ้าค่ะ”
“เรื่องเงินนั่นก็แล้วกันไปเถิด แต่ข้าจะไม่ยอมทำงานหนักมาหาเลี้ยงภรรยาเจ้าหรอกนะอาเหิง ข้ายังมีลูกต้องเลี้ยงดูเช่นกัน ไม่สู้เจ้าไปหางานการอย่างอื่นทำไปก่อนจะได้มีเงินมาจุนเจือครอบครัวบ้าง” เจียงซืออวี่แคะขี้ฟันพลางลากเสียงยาว
“ท่านอา ท่านปู่ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดเรื่องแม่นางกู้ ข้ามิได้รับตัวนางมาเป็นภรรยาขอรับ นางยังเด็กนัก..เด็กหญิงตัวแค่นี้ จะให้ข้าหมายปองอย่างบุรุษที่มีต่อสตรีได้อย่างไร..” ชายหนุ่มชำเลืองไปด้านหลังเล็กน้อย
กู้ชิงเหอร่างกายบอบบางจนแทบปลิวตามลม หนังติดกระดูก ไหล่แคบ ผิวกร้านดำ ดวงหน้ามอมแมมนั้นหากไม่เพ่งมองยังนึกว่าเป็นเด็กชายที่เพิ่งเดินขึ้นมาจากบ่อโคลน!
“ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายของนาง..ข้าคิดว่าบางทีอาจจะถึงเวลาที่พวกเราจะแยกบ้านกันได้แล้วกระมังขอรับ จะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าใครเอาเปรียบใคร”
"แยกบ้าน!! มีที่ไหนเขาทำกัน! บรรพบุรุษสร้างเรือนนี้ไว้ก็เพื่อให้ลูกหลานได้อาศัยร่วมชายคาเดียวกัน เจ้าอย่าคิดอ่านจะแยกบ้านด้วยเรื่องเงินเรื่องข้าวเลย..มันจะเสียมงคล” ผู้เฒ่าเจียงหรี่ตาพลางชำเลืองมองดูหลานชาย
“พ่อเจ้าเป็นบุตรคนโตตามธรรมเนียมเจ้าย่อมมีสิทธิ์ในเรือนใหญ่ แต่ท่านอาซืออวี่ของเจ้าก็เกิดในเรือนนี้ เขากับครอบครัวอาศัยอยู่ที่นี่ก่อนที่พวกเจ้าจะย้ายกลับมาหมู่บ้านเกาซานเสียอีก..”
“ใช่! เจ้ามันตัวล้างผลาญอย่างที่ผู้อื่นเขากล่าวกันจริงๆ!! ตอนนี้ใช้เงินในบ้านจนหมดก็คิดจะตัดพวกเราทิ้ง แล้วรับเอาผู้อื่นเข้ามาอยู่แทน ท่านพ่อสามีอย่าได้หลงกลเขาเชียวเจ้าค่ะ อีกหน่อยก็คงขายเรือนกินจนหมดตัวเป็นแน่!!"
เจียงเหิงลอบกำหมัดแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อ ไม่ใช่ท่านอาเจียงซืออวี่หรอกหรือที่ติดหนี้พนันก้อนโตจนท่านย่าต้องแอบเอาเงินในบ้านไปชดใช้หนี้ให้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
ตัวเขาเองในวันที่ต้องไปสมัครสอบจวี่เหรินที่เรือนยังไม่มีเงินพอสำหรับค่าเดินทางด้วยซ้ำ!!
ที่ผ่านมาตนต้องแสร้งทำตัวเป็นคนไร้ค่าไร้อนาคตไม่ยอมทำงานก็เพราะรู้ว่า ต่อให้พยายามมากเท่าใดเงินทั้งหมดก็ต้องถูกท่านปู่ท่านย่ายึดเอาไปช่วยเหลือครอบครัวท่านอาก่อนเสมอ
“ข้าไม่ได้คิดจะแอบอ้างว่าตนเป็นทายาทบ้านใหญ่แล้วจะขับไล่บ้านรองออกไปเมื่อใด ข้าแค่อยากแยกเรือนออกไปเพื่อไม่ให้ทุกคนต้องมาลำบากใจกันเท่านั้นขอรับ”
“เจ้าจะแยกเรือนออกไปอยู่ที่อื่น แต่ให้ครอบครัวท่านอาของเจ้าอยู่ที่เรือนใหญ่ดังเดิมงั้นหรือ?”
ปู่เจียงออกอาการลังเลใจ ทุกวันนี้เจียงเหิงอาศัยว่าตนเป็นซิ่วไฉต้องอ่านหนังสือเตรียมไปสอบจวี่เหริน ไม่ยอมทำการทำงาน เจียงเหยียนก็ไม่ค่อยได้ความซ้ำยังล้มป่วยบ่อยๆ
สองพี่น้องกลายเป็นภาระไม่พอยังจะรับเอาหญิงสาวมาอยู่ด้วยอีกคน กล่าวตามจริง เขาอยากให้หลานชายแยกเรือนออกไปจริงๆ!!
ชายชราส่ายศีรษะไปมา กัดฟันเอ่ยออกไป
“แยกไม่ได้ หากข้าสนับสนุนให้ครอบครัวแตกแยก แล้วเจ้าจะให้ชายชราเช่นข้าเอาหน้าแก่ๆ ไปแขวนไว้ที่ใดกัน? ต่อให้ลงหลุมไปข้าก็ไม่อาจไปสู้หน้าบรรพบุรุษได้!”
“ท่านปู่เข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าแค่ขอแยกบ้านไม่ได้แยกสกุลเสียหน่อย ถึงเรือนเราจะมีหลายห้องแต่ก็ยังต้องเบียดเสียดกันอยู่ ข้าพาน้องสาวแยกเรือนออกไป ไม่เห็นจะมีอะไรให้ท่านปู่ต้องอับอายเลยขอรับ”
“จริงด้วยเจ้าค่ะท่านพ่อสามี เสี่ยวเหวินของข้าก็สิบสี่ปีแล้วยังต้องนอนร่วมห้องกับพวกเราอยู่เลย หากขยับขยายให้เขาได้มีห้องส่วนตัวเหมือนอย่างอาเหิงกับอาเหยียนบ้างก็คงจะดีไม่น้อย” หลี่ซื่อรีบสนับสนุน
“ข้า..ข้า..” ผู้เฒ่าเจียงลอบกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อนลงคอ ถึงเจียงเหิงจะไม่ได้ไปสอบจวี่เหรินแต่ก็ยังรั้งตำแหน่งซิ่วไฉให้บ้านสกุลกู้ได้เชิดหน้าชูตา
แม้คนภายนอกจะนินทาว่าร้ายหลานชายให้เข้าหูบ่อยๆ แต่ต่อหน้าก็ยังให้เกียรติเขา บางครั้งยังมีชาวบ้านเอาของฝากมาเยี่ยมตนถึงเรือน เพียงเพราะอยากให้เจียงเหิงช่วยสอนบุตรชายของพวกเขาอ่านอักษร นั่นก็ทำให้ชายชราได้หน้าอยู่ไม่น้อย
แต่เมื่อมองไปที่เสี่ยวเหวินหลานชายคนเล็กอันเป็นที่รัก ผู้เฒ่าเจียงก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด
“แล้วแต่พวกเจ้า หากอาเหิงคิดจะแยกเรือนมิได้แยกสกุลก็พอจะทำได้อยู่”
เจียงเหิงถอนหายใจโล่งอก เขามีเรื่องในใจมากมายที่ต้องจัดการในภายหน้าและแน่นอนว่าการอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับญาติพี่น้องที่เห็นแก่ตัวมิอาจทำได้โดยสะดวก
“ข้ารู้ว่าเรามีกระท่อมเก่าอยู่ตรงเชิงเขาทางทิศตะวันตก หากท่านปู่อนุญาตข้าจะขอที่ดินผืนนั้น ท่านปู่เห็นว่าอย่างไรขอรับ”
นางหลี่ซื่อกลอกตาไปมาใช้สมองอย่างเร่งด่วน
ที่ดินริมเขามีราวสิบสองหมู่ ส่วนที่นาติดกับเรือนใหญ่มีเพียงเก้าหมู่เท่านั้น แต่หากนับรวมพื้นที่ตัวเรือนอีกสองหมู่เข้าไปด้วยพวกนางก็ไม่ได้เสียเปรียบสักเท่าใดนัก กระท่อมเชิงเขานั้นทั้งเล็กทั้งทรุดโทรม เทียบไม่ได้กับเรือนที่ต่อเติมเอาไว้หลายห้องแล้วที่นี่
เจียงเหิงกัดฟันแน่น เจียงไห่สามีของแม่นมหายตัวไปจริง แต่คนที่แม่นมลั่วคิดจะออกไปตามหาในเวลานั้นไม่ใช่เขาในปีนั้น กวานจิ้งหยวน บิดาที่แท้จริงของเขาถูกผู้มีอำนาจใส่ความว่ากบฏ จึงรีบส่งคนมาบอกให้มารดาของเขารีบหนีออกจากจวนโดยด่วนระหว่างทาง รถม้าที่พวกเขาโดยสารถูกคนร้ายติดตามไม่ลดละ ทหารที่คุ้มกันจำต้องลวงศัตรูให้แยกไปอีกทางปล่อยให้สามแม่ลูกหลบหนีมาพร้อมกับลั่วหลินและบุตรสาวของนางแต่ก่อนจะถึงหมู่บ้านเกาซาน รถม้ากลับลื่นตกเหว แม่นมลั่วคว้าตัวเจียงเหยียนไว้ได้ทัน ส่วนเขาก็กระเด็นออกมาอยู่บนพื้นดิน… ทว่าเบื้องล่างเหวนั้นกลับกลืนร่างของ จางเหยามารดาของตนและบุตรสาวของแม่นมไปพร้อมกันลั่วหลินในเวลานั้นมิใช่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตลงไป แต่เหวลึกชันนัก ต่อให้เดินอ้อมภูเขาหลายลูกเพื่อหาทางลงไปถึงก้นเหวก็ไม่รู้ว่ากว่าจะไปถึงจะยังเหลือสิ่งใดให้ค้นหา พวกเขาสามคนนั่งร่ำไห้อยู่บนปากเหวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แม่นมลั่วสูญเสียบุตรสาว ตัวเขาเองก็เสียใจที่เห็นมารดาตกเหวลึกไปต่อหน้า แต่เจียงเหยียนนั้นอาการหนักที่สุด นางตกใจอย่างรุนแรงตาค้างจนหมดสติ สุดท้ายแม่นมลั่วก็ต้องกัดฟันพาเขาและน้องสาวเดินทางต่อจนถึงหมู่บ
สวี่อี้หมิงไม่เพียงไม่ยอมตามน้ำ หากยังตอกย้ำเสียงดังฟังชัด“เมื่อครู่ข้าเพิ่งมอบเงินร้อยตำลึงให้นางหนูนั่นใช้ขยายเรือน เงินนั่นยังมากพอจะซื้ออุปกรณ์การเรียนให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้อีกด้วยซ้ำ ข้าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนให้ผู้ใดมาจัดหา”กู้ชิงเหออ้าปากตาค้าง ดวงตากลมเบิกโพลง นางนึกว่าเงินนั้นได้มาเปล่าๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าต้องใช้สร้างเรือน ต้องจัดหาอาหารการกินเลี้ยงดูท่านผู้สูงส่งผู้นี้ แล้วยังต้องแบกรับภาระซื้อของแจกเด็กๆ อีก! หากมิใช่ว่านางยังหวังจะให้เขาช่วยชี้แนะเจียงเหิงในเรื่องการสอบจวี่เหรินที่ใกล้จะมาถึง นางคงตะเพิดเขาออกไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว!!ฝ่ายหลี่ซื่อ เมื่อได้ยินว่าเงินก้อนโตถึงร้อยตำลึงไปตกอยู่ในมือของกู้ชิงเหอ ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความโลภทันที ความอิจฉาผสมโกรธจนอกแทบระเบิด นางรีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสวี่อี้หมิง“เอาเงินตั้งร้อยตำลึงไปไว้กับเด็กสาวไม่รู้ประสาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาไปเผาไฟเล่นหรอกเจ้าค่ะ! ไม่สู้มอบมาให้ข้าจัดการเถิด รับรองจะทำได้ดีกว่า”นางปรายตามองกู้ชิงเหออย่างเยาะหยัน ก่อนเอ่ยต่อราวกับตัดสินแทนทุกคน“อย่างไรก็สกุลเจียงด้วยกันทั้
“ท่านแม่! ท่านมาวุ่นวายอะไรที่นี่!” เจียงเสี่ยวเหวินรีบเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง บดบังสายตาของเจียงเหิงไว้ ทำให้เจียงเหิงต้องพยายามทำใจให้เย็นลง ต่อให้เขาเกลียดสตรีผู้นี้เพียงใด นางก็เป็นมารดาของเจียงเสี่ยวเหวินอยู่ดีหลี่ซื่อค้อนบุตรชายทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าบ่นอะไรมากต่อหน้าเจียงเหิง นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง“ข้าได้ยินท่านย่าเจ้าบอกว่ามีขุนนางเข้ามาตรวจสอบฝ้ายมิใช่หรือ? ข้าอยากมาถามให้แน่ใจว่าฝ้ายพวกนี้จะขายได้ราคาดีจริงหรือไม่น่ะสิ” ชาวบ้านที่ติดตามลูกๆ ของตนมาด้วยทำสีหน้างุนงง เจียงเสี่ยวเหวินวิ่งออกไปบอกกับสหายของเขาในหมู่บ้านว่ายามนี้มีอาจารย์จากเมืองหลวงมาพักอยู่ที่เรือนเจียงซิ่วไฉ และยังจะสอนหนังสือให้เขากับกู้ชิงฉีด้วย เด็กๆ อยากเห็นอาจารย์จากในวังจึงได้ตามเสี่ยวเหวินมา ส่วนพวกตนที่ได้ยินข่าวก็เดินตามมาด้วยหวังจะมาเคารพท่านอาจารย์จากในเมืองสักครั้ง แต่เหตุใดหลี่ซื่อจึงบอกว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางที่มาตรวจสอบฝ้ายเล่า? “ขุนนางตรวจสอบฝ้ายอันใดกันหลี่ซื่อ? บุตรชายเจ้าบอกว่าที่เรือนของเจียงซิ่วไฉมีท่านอาจารย์มาพำนักอยู่ด้วยต่างหาก!” สตรีนางหนึ่งตำหนิ เกรงว่าคำพูดไม่รู้ควา
กู้ชิงเหอรู้สึกหนักใจเล็กน้อย เมื่อครู่ที่นางกล่าวว่าเชื่อเขานั้น นางไม่ได้พูดปดเลยสักนิดแม้จะไม่แน่ชัดว่าสวี่อี้หมิงเคยเกี่ยวพันกับฮ่องเต้จริงหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าระหว่างเขากับเจียงเหิงดูเหมือนคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน ที่สำคัญ..ตัวละครที่ปรากฏตัวออกมาอย่างน่าตื่นตะลึงเช่นสวี่อี้หมิงจะไม่มีบทบาทใดเลยหรือ? เขาน่าจะเป็นตัวปัญหาอย่างที่นางคิดไว้แต่แรก และอาจเป็นผู้ชักจูงเจียงเหิงให้เปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายด้วยซ้ำ!!กู้ชิงเหอหลับตาลงชั่วครู่ นึกถึงภาพเจียงเหิงในอนาคตที่นางเคยอ่านในนิยาย ชายหนุ่มผู้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ในราชสำนัก เป็นผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม คำพูดทุกคำแฝงคมมีด ทุกย่างก้าวบดขยี้ผู้อื่นโดยไร้ความลังเล ในตำแหน่งเดิมเขาอาจดูสงบเยือกเย็น ทว่าแท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต เหมือนงูพิษที่เงียบเชียบแต่พร้อมจะฉกกัดทุกเมื่อบุคคลเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทาง ไม่ว่าจะขุนนาง ขันที หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ล้วนต้องถอยให้เขาสามก้าว แค่เอ่ยนาม “เจียงเหิง” ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งราชสำนักสะท้านหวาดหวั่นทว่าบุรุษตรงหน้ากลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สวี่อี้หมิงเป็นคนอวดดีตรงไปตรงมา ร้
“อาเหิง เจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นข้ากับย่าเจ้าจะกลับเรือนใหญ่ล่ะนะ” ท่านปู่ตะโกนเรียกเสียงดัง “เสี่ยวเหวิน คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่เถิด ข้าจะบอกแม่เจ้าเอง” ผู้เฒ่าเจียงยังไม่วางใจนัก จึงกำชับต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นย่าเหยาเม้มปากแน่น หากผู้เฒ่าเจียงไม่สั่งความเช่นนี้นางก็คงไม่คิดมาก แต่ตอนนี้นางเริ่มห่วงว่าหากคนร้ายตามสวี่อี้หมิงมาถึงเรือนของหลานชายเล่า? จะมีอันตรายอะไรกับเด็กๆ หรือไม่ หญิงชราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวมาหาหลานรัก “หากเกิดเหตุร้ายแรงอันใด…เจ้าต้องรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น วิ่งไปเรือนหูซุนจ่างก็แล้วกัน ไม่ต้องกลับไปที่เรือนเราหรอก บิดาเจ้าก็ช่วยเหลือใครไม่ได้อยู่ดี”กู้ชิงเหอได้ยินถ้อยคำนั้น มุมปากก็ยกยิ้มจาง ๆ ในใจแอบคิดว่า แม้ท่านย่าเหยาจะเคยลำเอียงจนทำให้สองพี่น้องลำบาก แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะรักเสี่ยวเหวินมากเกินไป หาใช่เพราะโหดร้ายอันใด ที่แท้ในใจนางก็ยังคิดห่วงเจียงเหิงกับเจียงเหยียนอยู่บ้างต่างจากกู้ต้าซุนกับหวางชุ่นฮวา ที่กล้าขายหลานกินอย่างไม่น่าให้อภัย!!คืนนั้น เจียงเหิงพากู้ชิงฉีและเจียงเสี่ยวเหวินมาปูเสื่ออยู่หน้าห้อง ปล่อยให้สวี่อ
สวี่อี้หมิงถูกปู่เจียงกับกู้ชิงฉีช่วยกันพาเข้าไปนอนในห้องของเจียงเหิงที่ไม่ได้กลับมานอนที่เรือนหลายวันแล้ว กู้ชิงฉีคอยเป็นลูกมือพร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เฒ่าเจียงฟัง ระหว่างที่เขาช่วยจัดการบาดแผลบนหน้าอกให้กับชายแปลกหน้า พอสวี่อี้หมิงหลับไปแล้ว ชายชราก็ยังนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง บางครั้งก็ลุกขึ้นชะเง้อมองไปทางหน้าเรือนไม่หยุด จนเจียงเหยียนต้องเตือนให้เขาพักผ่อนบ้าง“ในเรือนมีแต่สตรีกับเด็ก ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าอยู่กับชายแปลกหน้าเพียงลำพังได้อย่างไร” ท่านปู่บ่น“ข้าขออภัยด้วยเจ้าค่ะท่านปู่ ที่ทำให้ท่านต้องกังวล..” กู้ชิงเหอขอโทษเสียงแผ่ว “ข้าเห็นว่าเขาท่าทางภูมิฐานไม่เหมือนพวกโจรป่าจึงกล้าช่วยเหลือ อีกอย่าง..เขาบอกว่าหากช่วยเขา เขาจะตอบแทนน้ำใจอย่างงามเลยเจ้าค่ะ” ย่าเหยาคิ้วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย รีบลุกเดินเข้าไปสำรวจบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นอย่างละเอียด “ชิงเหอกล่าวไม่ผิดเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราหรอกนะตาเฒ่า หรือว่าอาจจะเป็นขุนนางที่เข้ามาตรวจสอบการเพาะปลูกฝ้าย!!” คำกล่าวนั้นทำให้กู้ชิงเหอสะดุ้งเล็กน้อย หากมีขุนนางมานอนตายอยู่ในที่ดินของเจียงเหิงคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ โชคด