LOGIN“พี่สาวกู้เดินช้าลงหน่อยก็ได้เจ้าค่ะ”
เสียงของเจียงเหยียนแผ่วเบา แฝงไว้ด้วยความห่วงใยจากใจจริง มือเล็กของนางยังประคองแขนของกู้ชิงเหอแน่นไม่ปล่อย
กู้ชิงเหอเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวข้างกายด้วยสายตาเป็นมิตร เจียงเหยียนเป็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม รูปร่างเล็กกะทัดรัดใกล้เคียงกับนาง แต่ผิวพรรณของอีกฝ่ายดูสดใสและมีเนื้อมีหนังมากกว่า ต่างจากนางที่ร่างบางผอมจนเห็นซี่โครงชัดเจน
“เจ้าเล่าเหนื่อยหรือไม่? ถ้าเจ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องคอยประคองข้าก็ได้ ข้าเดินเองไหว”
เจียงเหิงหันกลับมามองกู้ชิงเหอด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ สายตาคมกริบคู่นั้นราวกับจะมองทะลุร่างกายนางไปได้ทุกส่วน จนหญิงสาวต้องย่นคอหลบตาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อย่าได้คิดจะทำอะไรโง่ๆ อีกเป็นอันขาด! เจ้าอย่าลืมว่าเจ้ายังมีน้องชายอีกคน คิดว่าเจ้าไม่อยู่แล้วท่านลุงกับป้าสะใภ้ของเจ้าจะดูแลเขาอย่างดีงั้นรึ?”
หญิงสาวเบิกตากว้าง อีตายมทูตนี่คิดว่านางจะฉวยโอกาสวิ่งหนีไปหรืออย่างไรกัน! ตอนนี้แรงจะเดินนางยังแทบไม่มี แล้วนางจะหนีไปที่ใดได้!
เจียงเหยียนค้อนขวับให้พี่ชาย แล้วหันมาคุยกับกู้ชิงเหอต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าไม่เหนื่อยหรอกเจ้าค่ะ ข้าเต็มใจดูแลพี่สาวเอง พี่สาวอย่าใส่ใจเขาเลยนะเจ้าคะ พี่ข้าปากร้ายไปหน่อย แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนใจดีนัก”
กู้ชิงเหอยิ้มตอบ เด็กสาววัยสิบสามปีผู้นี้ไร้เดียงสา อ่อนโยนและเชื่อคนง่าย ในนิยายเจียงเหยียนก็รักกู้ชิงเหอเหมือนพี่สาวคนหนึ่งเช่นนี้
“ข้าโตกว่าเจ้าสองปี ข้าต้องเป็นคนดูแลเจ้าถึงจะถูก”
เบื้องหน้าเจียงเหิงยังคงเดินนำในระยะที่พอเหมาะ ชายเสื้อจากผ้าป่านหยาบสะบัดเบา ๆ ตามสายลม เขาไม่ได้หันกลับไปมองทางด้านหลังอีก
แต่เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองริมฝีปากของชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มบาง
น้องสาวเป็นเด็กร่าเริงแต่เพราะสูญเสียความจำตั้งแต่ยังเล็กทำให้นางยังปรับตัวเข้ากับผู้คนได้ยากอยู่บ้าง คนเดียวที่เจียงเหยียนวางใจก็มีเพียงเขาเท่านั้น
เวลานี้เจียงเหยียนกลับไม่ได้เดินเกาะชายเสื้อตนเหมือนเช่นเคย มือเล็กๆ ของนางวนเวียนคอยประคับประคองกู้ชิงเหออย่างเอาใจใส่จนเขาเองก็ประหลาดใจไม่น้อย
เขาคิดไม่ผิดแล้วที่ตัดสินใจรับตัวกู้ชิงเหอมาอยู่ด้วย และดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายตัวเองอีก ไม่งั้นคงไม่เดินตามพวกตนมาอย่างว่าง่ายถึงเพียงนั้น
ด้านกู้ชิงเหอมองตามร่างสูงผอมของคนตรงหน้าไปพลาง ในใจก็คิดไปพลาง
ในอีกโลก..นางเพิ่งจะจบการศึกษาและกำลังจะได้เริ่มชีวิตวัยทำงานอยู่แล้วเชียว คอนโดที่นางอาศัยอยู่เพียงลำพังเปิดไฟทิ้งไว้หรือไม่? นางจะมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือสิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างไรกัน หรือตอนนี้มีใครรู้หรือไม่ว่านางเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตไปแล้ว
จริงสิ! ใครจะจัดพิธีศพให้นางกันนะ? คิดแล้วหญิงสาวก็ยิ่งหดหู่..
บางทีตอนนี้ร่างของนางยังคงอยู่ในห้องเก็บศพ เพื่อรอให้ญาติมาติดต่อขอรับศพก็เป็นได้ พิธีศพอันใดนั่นคงยังไม่เกิดขึ้น เพราะนางไม่มีญาติในโลกเดิมเหลืออยู่เลยสักคน!
หญิงสาวชำเลืองมองเจียงเหยียนอีกครั้งด้วยสายตาอ่อนโยน อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีคนที่รักนางอย่างจริงใจอยู่อีกคน!
ส่วนยมทูตหน้านิ่งผู้นั้น..เงาร่างของเขาอยู่ห่างจากนางไม่กี่ก้าว เสียงฝีเท้าสงบ ก้าวเดินด้วยท่าทางอ่อนโยนและอบอุ่นในสายตาของเจียงเหยียน แต่ในหัวของกู้ชิงเหอกลับมีเพียงภาพจินตนาการที่อีกฝ่ายเคยไล่ต้อนตนให้ตกลงไปในเหวนรก!
นางจำได้.. จำได้แม่นยิ่งกว่าสูตรใดๆ ในวิชาเกษตร!!
เขาสั่งให้คนลากนางขึ้นจากบ่อโคลนในคุกใต้จวน เสื้อผ้าของนางฉีกขาด ร่างกายและใบหน้าของนางเต็มไปด้วยบาดแผลจากรอยแส้!
ทุกครั้งที่นางขอความเมตตา เขาก็เพียงยืนมองอยู่ในความมืดพร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับว่า แววตานางที่สิ้นหวังคือของหวานชั้นดีที่เขาเฝ้ารอ
เขาป้อนข้าวนางด้วยมือ..แต่กลับแทรกเศษแก้วไว้ในเม็ดข้าวทุกคำ!!
ก่อนหมดลมหายใจนางหายใจไม่ออก ไม่ใช่เพราะบาดแผล หากแต่เพราะความรู้สึกผิดในใจที่มันกัดกินเร็วกว่าพิษใดๆ ทั้งสิ้น
ตอนนั้นนางคิดว่าเจียงเหิงคงไม่มีหัวใจ แต่บัดนี้เมื่อมองเงาหลังเขา..นางกลับรู้ว่า เขาเคยมี และนั่นต่างหากที่น่ากลัวที่สุด
ถ้ากลับไปยังโลกเดิมไม่ได้จริงๆ นางก็ต้องเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวละครกู้ชิงเหอผู้นี้ให้อยู่รอดปลอดภัย ด้วยการทำดีกับสองพี่น้องคู่นี้อย่างจริงใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี เพื่ออนาคตที่นางอาจจะยังมีโอกาสได้หายใจอย่างสงบ
แม้เจียงเหิงจะเป็นศัตรูที่น่ากลัวและเย็นชา หากนางหวังจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนี้ได้จริง ก็ต้องอดทน และค่อยๆ สร้างความไว้วางใจ มิฉะนั้น ทุกอย่างจะยังคงวนเวียนอยู่ในวังวนของความหวาดระแวงและความตายที่รอคอยอยู่ข้างหน้า
……….
เรือนสกุลเจียงอยู่เกือบจะท้ายสุดของหมู่บ้านเกาซาน ระหว่างทางพวกเขาเดินผ่านบ้านเรือนผู้คนหลายหลัง ผ่านคันนาที่แห้งแล้งท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงจนหญิงสาวต้องขอหยุดพักหายใจอยู่บ่อยครั้ง
แต่ในที่สุดเรือนพักชั้นเดียวขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของกู้ชิงเหอ
เรือนหลังนี้มีกำแพงดินเตี้ยๆ ล้อมเอาไว้ ด้านในมีลานดินกว้างขวางก่อนจะถึงตัวเรือนที่มีร่องรอยการต่อเติมห้องพักออกมาจากตัวเรือนหลัก
หากจะเทียบกับบ้านเรือนหลายหลังที่นางเดินผ่านมาเมื่อครู่ เรือนสกุลเจียงก็นับว่าดูดีกว่าเรือนทุกหลังในหมู่บ้านเกาซานเลยทีเดียว
เมื่อก้าวผ่านรั้วกำแพงด้านนอกเข้ามา นางก็เห็นสตรีวัยราวสามสิบปีผู้หนึ่งกำลังยืนตากผ้าอยู่ริมกำแพงรั้ว พอสตรีผู้นั้นเห็นสองพี่น้องกลับมาที่เรือนพร้อมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นเท้าสะเอวชักสีหน้าไม่เป็นมิตรขึ้นมา
แน่นอนว่ากู้ชิงเหอรู้ว่าสตรีผู้นั้นคือหลี่ซื่อ อาสะใภ้ของเจียงเหิงและเจียงเหยียน ทีแรกนางคิดว่าคิดว่าจะได้เห็นฉากปะทะคารมระหว่างเจียงเหิงกับอาสะใภ้ของเขาสักฉาก แต่กลายเป็นว่าอาสะใภ้หลี่กลับหมุนตัวหายไปทางด้านหลังเรือนอย่างรวดเร็ว
อีกด้าน เกวียนไม้ที่บรรทุกตัวอย่างดอกฝ้ายสีขาวสะอาดกล่องหนึ่งแล่นออกจากหมู่บ้านเกาซานไปตามถนนลูกรังเจียงเหิงนั่งบังคับเกวียนอยู่ด้านหน้า ส่วนสวี่อี้หมิงนั่งข้าง ๆ ถือสมุดบัญชีและห่อเอกสารที่หูซุนจ่างจัดเตรียมให้สำหรับยื่นรายงานต่อทางการ“กังวลหรือ?” สวี่อี้หมิงถามยิ้มๆ“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องราคาของฝ้ายอยู่ขอรับ ยามนี้บ้านเมืองต้องการธัญพืช เรื่องเครื่องนุ่งห่มอาจจะเป็นเรื่องรอง ฝ้ายมู่เหมี่ยนขายได้ชั่งละไม่ถึงสิบอีแปะเลยด้วยซ้ำ เทียนจูเหมี่ยนก็คงไม่ต่างกันเท่าใดนัก”“เจ้าคิดผิดแล้ว” สวี่อี้หมิงส่ายหน้า “ฝ้ายเทียนจูเหมี่ยนเป็นของพระราชทาน ฮ่องเต้ถึงกับให้ส่งเมล็ดไปทั่วแคว้น แต่สองปีแล้ว...ยังไม่มีผู้ใดเพาะขึ้นได้สักคน เจ้าคิดว่าหากเมล็ดพันธุ์ฝ้ายนี้ไม่สำคัญจริงๆ ราชสำนักจะยังเพียรพยายามอยู่อีกหรือ?" เจียงเหิงได้ยินดังนั้นก็มีกำลังใจขึ้น เพราะคนในหมู่บ้านกลุ่มที่เลือกเพาะปลูกฝ้ายลงทุนลงแรงไปไม่น้อย หากขายไม่ได้ราคาอาจจะสร้างปัญหาให้กับครอบครัวของตนและหูซุนจ่างที่ช่วยกันผลักดันให้ทุกคนปลูกฝ้ายชนิดนี้ เสียงล้อไม้บดกับพื้นดินดังกรอบแกรบไปตลอดทางเมื่อถึงตัวเมือง ทั้งสองหยุดเกวียนหน้าประต
เช้าวันถัดมา เจียงเหิงกับสวี่อี้หมิงออกเดินทางเข้าเมืองกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนที่เรือนใหม่ กู้ชิงเหอก็พาน้อง ๆ ออกไปช่วยกันเก็บฝ้ายในแปลงท้ายหมู่บ้านนางมองดูท่านปู่เจียงกับท่านย่าเหยาที่ช่วยกันเด็ดปุยฝ้ายสีขาวใส่ลงในตะกร้าอย่างคล่องแคล่วด้วยความรู้สึกยินดี ผู้อาวุโสทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปจากที่นางเคยพบครั้งแรกไปราวกับเป็นคนละคนกัน แม้แต่เจียงเสี่ยวเหวิน ที่แต่ก่อนมักตื่นสายและหาข้ออ้างเลี่ยงงานสารพัด ก็ยังรีบมาช่วยเก็บฝ้ายตั้งแต่เช้ามืดเช่นกัน“พี่ใหญ่ ฝ้ายนี่นุ่มจริงๆ !” กู้ชิงฉีกล่าวพลางยกปุยนุ่มขึ้นมาอวด ใบหน้าเขาเปื้อนเหงื่อแต่เต็มไปด้วยความภูมิใจยังไม่ทันที่กู้ชิงเหอจะเอ่ยตอบ เสียงแหลมของหญิงสูงวัยก็ดังขึ้นจากอีกฟากของลาน“ฮึ! ฝ้ายของพวกเจ้ายังไม่รู้ว่าจะขายได้กี่อีแปะก็รีบยิ้มร่ากันเสียแล้ว ระวังจะผิดหวังเล่า”กู้ชิงเหอเงยหน้าขึ้น เห็นกู้ต้าซุนกับหวางซื่อเดินเข้ามาอย่างถือดี ปากยังคงพ่นถ้อยคำเยาะเย้ยไม่หยุด“ข้าล่ะสงสารพวกเจ้าจริง ๆ เหนื่อยทั้งวันก็คงได้เงินกลับมาไม่พอซื้อน้ำชาสักถ้วย!” หวางซื่อหัวเราะเสียงดังลั่น เจียงเหยียนกับเจียงเสี่ยวเหวินที่ช่วยเก็บฝ้ายอยู่ใกล้ๆ พากันหย
“ไม่ใช่ความผิดของท่านขอรับ… ตอนนี้ท่านก็ได้พบพวกเราแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่คงจะดีใจนัก” เจียงเหิงพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น“ข้าไม่ใช่คู่ต่อกรของศัตรูเหล่านั้น ในสภาพอย่างวันนี้” สวี่อี้หมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความขมขื่นคล้ายคำสารภาพของคนที่ต่อสู้มานาน“เจ้าต้องสอบเป็นขุนนางให้ได้! อำนาจและบารมีเท่านั้นที่จะทำให้ผู้คนสยบลงแทบเท้าเจ้า วันนั้นเจ้าจึงจะมีโอกาสล้างแค้นให้สกุลกวาน!” เจียงเหิงรับคำ แม้มันจะไม่ใช่ความคิดใหม่สำหรับเขา ที่ผ่านมาเขาวาดรูปแบบความสัมพันธ์ในอดีตของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลกวานลงแผ่นกระดาษเอาไว้ และเขาก็คิดเช่นกันว่าหากไม่มีเงิน..ก็ต้องมีอำนาจ! จึงจะทำอะไรต่อไปได้“อาจารย์ข้าผ่านการสอบระดับซิ่วไฉแล้ว แต่กลับไม่สามารถเข้าร่วมสอบจวี่เหรินเมื่อสองปีก่อน ครั้งนี้ข้าจะทำให้สำเร็จ” ดวงตาของเจียงเหิงเลื่อนไปมองเงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในครัว กู้ชิงเหอ ผู้อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในชีวิตของเขา เมื่อนึกย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน คำพูดเช่นนี้เขาคงยังไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กู้ชิงเหอทีเข้ามาเปลี่ยนชะตาชีวิตอันแร้นแค้นของตนแ
เจียงเหิงกัดฟันแน่น เจียงไห่สามีของแม่นมหายตัวไปจริง แต่คนที่แม่นมลั่วคิดจะออกไปตามหาในเวลานั้นไม่ใช่เขาในปีนั้น กวานจิ้งหยวน บิดาที่แท้จริงของเขาถูกผู้มีอำนาจใส่ความว่ากบฏ จึงรีบส่งคนมาบอกให้มารดาของเขารีบหนีออกจากจวนโดยด่วนระหว่างทาง รถม้าที่พวกเขาโดยสารถูกคนร้ายติดตามไม่ลดละ ทหารที่คุ้มกันจำต้องลวงศัตรูให้แยกไปอีกทางปล่อยให้สามแม่ลูกหลบหนีมาพร้อมกับลั่วหลินและบุตรสาวของนางแต่ก่อนจะถึงหมู่บ้านเกาซาน รถม้ากลับลื่นตกเหว แม่นมลั่วคว้าตัวเจียงเหยียนไว้ได้ทัน ส่วนเขาก็กระเด็นออกมาอยู่บนพื้นดิน… ทว่าเบื้องล่างเหวนั้นกลับกลืนร่างของ จางเหยามารดาของตนและบุตรสาวของแม่นมไปพร้อมกันลั่วหลินในเวลานั้นมิใช่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตลงไป แต่เหวลึกชันนัก ต่อให้เดินอ้อมภูเขาหลายลูกเพื่อหาทางลงไปถึงก้นเหวก็ไม่รู้ว่ากว่าจะไปถึงจะยังเหลือสิ่งใดให้ค้นหา พวกเขาสามคนนั่งร่ำไห้อยู่บนปากเหวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แม่นมลั่วสูญเสียบุตรสาว ตัวเขาเองก็เสียใจที่เห็นมารดาตกเหวลึกไปต่อหน้า แต่เจียงเหยียนนั้นอาการหนักที่สุด นางตกใจอย่างรุนแรงตาค้างจนหมดสติ สุดท้ายแม่นมลั่วก็ต้องกัดฟันพาเขาและน้องสาวเดินทางต่อจนถึงหมู่บ
สวี่อี้หมิงไม่เพียงไม่ยอมตามน้ำ หากยังตอกย้ำเสียงดังฟังชัด“เมื่อครู่ข้าเพิ่งมอบเงินร้อยตำลึงให้นางหนูนั่นใช้ขยายเรือน เงินนั่นยังมากพอจะซื้ออุปกรณ์การเรียนให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้อีกด้วยซ้ำ ข้าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนให้ผู้ใดมาจัดหา”กู้ชิงเหออ้าปากตาค้าง ดวงตากลมเบิกโพลง นางนึกว่าเงินนั้นได้มาเปล่าๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าต้องใช้สร้างเรือน ต้องจัดหาอาหารการกินเลี้ยงดูท่านผู้สูงส่งผู้นี้ แล้วยังต้องแบกรับภาระซื้อของแจกเด็กๆ อีก! หากมิใช่ว่านางยังหวังจะให้เขาช่วยชี้แนะเจียงเหิงในเรื่องการสอบจวี่เหรินที่ใกล้จะมาถึง นางคงตะเพิดเขาออกไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว!!ฝ่ายหลี่ซื่อ เมื่อได้ยินว่าเงินก้อนโตถึงร้อยตำลึงไปตกอยู่ในมือของกู้ชิงเหอ ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความโลภทันที ความอิจฉาผสมโกรธจนอกแทบระเบิด นางรีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสวี่อี้หมิง“เอาเงินตั้งร้อยตำลึงไปไว้กับเด็กสาวไม่รู้ประสาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาไปเผาไฟเล่นหรอกเจ้าค่ะ! ไม่สู้มอบมาให้ข้าจัดการเถิด รับรองจะทำได้ดีกว่า”นางปรายตามองกู้ชิงเหออย่างเยาะหยัน ก่อนเอ่ยต่อราวกับตัดสินแทนทุกคน“อย่างไรก็สกุลเจียงด้วยกันทั้
“ท่านแม่! ท่านมาวุ่นวายอะไรที่นี่!” เจียงเสี่ยวเหวินรีบเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง บดบังสายตาของเจียงเหิงไว้ ทำให้เจียงเหิงต้องพยายามทำใจให้เย็นลง ต่อให้เขาเกลียดสตรีผู้นี้เพียงใด นางก็เป็นมารดาของเจียงเสี่ยวเหวินอยู่ดีหลี่ซื่อค้อนบุตรชายทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าบ่นอะไรมากต่อหน้าเจียงเหิง นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง“ข้าได้ยินท่านย่าเจ้าบอกว่ามีขุนนางเข้ามาตรวจสอบฝ้ายมิใช่หรือ? ข้าอยากมาถามให้แน่ใจว่าฝ้ายพวกนี้จะขายได้ราคาดีจริงหรือไม่น่ะสิ” ชาวบ้านที่ติดตามลูกๆ ของตนมาด้วยทำสีหน้างุนงง เจียงเสี่ยวเหวินวิ่งออกไปบอกกับสหายของเขาในหมู่บ้านว่ายามนี้มีอาจารย์จากเมืองหลวงมาพักอยู่ที่เรือนเจียงซิ่วไฉ และยังจะสอนหนังสือให้เขากับกู้ชิงฉีด้วย เด็กๆ อยากเห็นอาจารย์จากในวังจึงได้ตามเสี่ยวเหวินมา ส่วนพวกตนที่ได้ยินข่าวก็เดินตามมาด้วยหวังจะมาเคารพท่านอาจารย์จากในเมืองสักครั้ง แต่เหตุใดหลี่ซื่อจึงบอกว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางที่มาตรวจสอบฝ้ายเล่า? “ขุนนางตรวจสอบฝ้ายอันใดกันหลี่ซื่อ? บุตรชายเจ้าบอกว่าที่เรือนของเจียงซิ่วไฉมีท่านอาจารย์มาพำนักอยู่ด้วยต่างหาก!” สตรีนางหนึ่งตำหนิ เกรงว่าคำพูดไม่รู้ควา







