LOGINตกเย็น ร้านหยกมรกตเก็บร้านเสร็จ หลินเย่วเอ๋อร์เดินกลับเรือนพร้อมอาเซียง ท้องฟ้าเริ่มครึ้ม เมฆหนาเคลื่อนปกคลุม เหมือนจะมีฝน
“คุณหนู” อาเซียงพูดพลางโบกพัด “วันนี้ขายดีมาก แต่ข้ากลัวข่าวดีจะดึงดูดข่าวร้ายจังเจ้าค่ะ”
หลินเย่วเอ๋อร์เหลียวมองท้องฟ้า “เจ้าพูดถูก ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น”
นางหยุดเท้าหน้าเรือน แหงนมองป้าย “ร้านหยกมรกต” ที่แขวนอยู่หน้าประตูไม้ไผ่
“แต่ตราบใดที่ข้ารู้วิธีทำของให้คนเชื่อใจ ข้าก็ไม่กลัวฝน ไม่กลัวฟ้าหรือคำพูดของใครหรอก”
อาเซียงยิ้ม “ถ้าฝนตก ข้าจะกางร่มให้คุณหนูเองเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก” หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ “ข้าจะยืนกลางสายฝน ให้ทุกคนเห็นว่าของแท้ย่อมไม่ละลายง่าย”
ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นจากเงารั้วไม้
ชายในชุดสีเทาเข้มปรากฏร่าง เขาคือ ไป๋จิ้งเซียว“ท่านยังอยู่ที่ตลาดหรือเจ้าคะ” หลินเย่วเอ๋อร์ประหลาดใจ
ไป๋จิ้งเซียวยื่นห่อผ้าเล็กให้ “ของที่คนแปลกหน้าเทใส่กระปุกเมื่อตอนกลางวัน ข้าให้คนตรวจสอบแล้ว เป็นผงเหล็กละเอียดผสมขี้ผึ้งคุณภาพต่ำ ถ้าผสมในเนื้อครีม จะระคายผิวจนผิวแดงขึ้นผื่นและอาจมีอาการแพ้ที่รุนแรงได้”
“แสดงว่ามีคนจงใจทำลายชื่อร้าน” หลินเย่วเอ๋อร์พูดช้า ๆ
ไป๋จิ้งเซียวพยักหน้า “ใช่ และข้ารู้ว่าใคร”
“เจี่ยนฮวา?”
“เรื่องนี้ไม่อาจพูดโดยไม่มีหลักฐาน แต่เจ้าต้องระวังตัวไว้”
เขามองนางนิ่ง “คนที่ค้าสินค้าความงาม มักกลายเป็นเป้าแรกของความอิจฉา”
หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้มบาง “ข้าเองก็เคยโดนหักหลังมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมแพ้และจะไม่พลาดอีก”
ไป๋จิ้งเซียวนิ่งไปครู่ แล้วเอ่ยขึ้น “หากมีสิ่งใดต้องการให้สำนักไป๋เหยาช่วย ก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชายไป๋”
ลมพัดผ่าน เส้นผมของนางปลิวเบา ๆ เขามองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินจากไปในเงาฝนที่เริ่มโปรยปราย
อาเซียงรีบกระซิบ “คุณหนู! ท่านไป๋มองท่านนานเชียว!”
“อย่าพูดไร้สาระ” หลินเย่วเอ๋อร์หน้าแดงนิด ๆ
“เขามองเพราะพูดกำลังเรื่องสำคัญต่างหาก”
“สำคัญกับร้านหรือกับหัวใจเล่าเจ้าคะ”
“อาเซียง!”
“เจ้าค่ะ ๆ ข้าเงียบแล้ว!”
เสียงหัวเราะของทั้งคู่กลบเสียงฝนที่เริ่มตกพรำ ๆ ลงมาบนหลังคาไม้ไผ่
ค่ำวันนั้น หลังจากหลินเย่วเอ๋อร์เข้านอน ยังมีชายชุดดำสองคนปรากฏตัวที่ตรอกหลังตลาด พวกเขาถือห่อผ้าแปลก ๆ เดินตรงไปทางร้านหยกมรกต หนึ่งในนั้นกระซิบ
“นายหญิงสั่งไว้ว่า พรุ่งนี้เช้าให้คนตะโกนว่าใช้แล้วผื่นขึ้นทั่วหน้า”
อีกคนหัวเราะเบา ๆ “ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก”
หากแต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า เงาสูงอีกเงาหนึ่งบนหลังคาฝั่งตรงข้ามกำลังจับตาพวกเขาอยู่ เงานั้นยกพัดไม้ขึ้นแตะริมปาก พลางพึมพำ
“ข้ารับชมความงามอย่างสงบ แต่ข้าก็ไม่ชอบการค้าที่มากแผนการเสียด้วยสิ”
ชายผู้นั้นคือ เฉิงอวิ๋น หัวหน้าหอการค้าเมืองเว่ยเจิน ที่ยืนยิ้มอยู่ในความมืด มุมปากของเขายกยิ้มเตรียมพร้อมรอจับผิดใครบางคนในวันพรุ่งนี้
รุ่งอรุณของวันใหม่ เสียงระฆังเปิดตลาดดังขึ้นพร้อมกับสายหมอกที่คลี่ออกจากปลายฟ้า อาเซียงเปิดประตูร้าน ร้านหยกมรกตด้วยใบหน้ายิ้มสดใสตามปกติ แต่เพียงครู่เดียว เสียงเอะอะหน้าตลาดก็ดังลั่น
“ว้าย! ข้าทาของร้านหยกมรกตแล้วหน้าแดงไปหมดเลย!”
“ข้าก็แพ้เหมือนกัน ข้าแพ้หนักเลย!”
เสียงกรีดร้องของสตรีสามคนดังพร้อมกัน จนคนแถวนั้นหันมามองด้วยความตกใจ อาเซียงตกใจจนปากอ้า
“คุณหนู! พวกนางมาจากไหนกันเจ้าคะ!”
หลินเย่วเอ๋อร์เดินออกมาพร้อมท่าทางสงบนิ่ง ดวงตาคล้ายรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า สตรีสามนางนั้นมีใบหน้าทาแป้งขาวจัดจนเหมือนหุ่นดิน แต่พอขยับเข้าใกล้ก็เห็นรอยแดงประปรายตามข้างแก้ม ไม่มากจนถึงขั้นน่ากลัว แต่ก็พอให้คนตกใจได้
“ทุกคนใจเย็น ๆ กันก่อน” หลินเย่วเอ๋อร์เอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าจะตรวจสอบให้ละเอียด ทุกท่านเข้ามานั่งในร่มก่อนเถิด”
สตรีทั้งสามหันหน้ามองกัน แล้วแสร้งไอเบา ๆ
“เจ้าอย่ามาเฉไฉ สินค้าของเจ้ามีพิษชัด ๆ! ข้าทาไปเมื่อคืน วันนี้ถึงได้เป็นเช่นนี้!”
เสียงลือเริ่มขยาย “จริงหรือ ของร้านนี้มีพิษรึ?”
อาเซียงหน้าซีด “คุณหนู ทำอย่างไรดีเจ้าคะ ข้าไปเรียกยามตลาดมาดีกว่า”
“ยังไม่ต้อง” หลินเย่วเอ๋อร์ยกมือห้าม ดวงตานิ่งสนิท
“เมื่อมีคนกล่าวหาว่าสินค้าของข้าเป็นพิษ ข้าก็ต้องพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นความจริง”
นางยกเสียงขึ้นเล็กน้อยให้ได้ยินทั่วตลาด
“ทุกท่าน! ข้า หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าของร้านหยกมรกต ขอให้พยานในตลาดทั้งหลายอยู่ตรงนี้ ข้าจะตรวจสอบให้ต่อหน้าทุกคน!”
เสียงพ่อค้าแม่ค้ารอบข้างดังฮือฮา “จะตรวจตรงนี้เลยหรือ!”
หลินเย่วเอ๋อร์เดินไปหยิบขันน้ำและผ้าสะอาด ก่อนค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดข้างแก้มสตรีคนแรก เมื่อผ้าสัมผัสผิว สีแดงกลับหลุดติดผ้ามาเป็นคราบชัดเจน นั่นไม่ใช่ผื่นจริง แต่เป็นสีแดงเจือแป้งปลอมที่คนใส่ร้ายทาไว้
“อื้อหือ”
เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกันจากคนรอบข้าง หลินเย่วเอ๋อร์ยกผ้าผืนที่มีคราบให้ทุกคนดู
“ท่านทั้งหลายเห็นหรือไม่ นี่ไม่ใช่ผิวอักเสบหรือแพ้แต่อย่างใด แต่เป็นการสีป้าย!”
สตรีคนนั้นหน้าเสียทันที “ข้า...ข้าไม่รู้ ข้าแค่...”
อาเซียงโพล่ง “แค่อะไรล่ะ เจ้าถูกใครจ้างมาใช่หรือไม่!”
สตรีอีกสองนางตกใจ พวกนางพยายามหนี แต่คนในตลาดช่วยกันล้อมไว้
“พวกเจ้าจะหนีไปไหน!”
หนึ่งในนั้นกลัวจนร้องไห้ “ข้า...ข้าถูกคนจากร้านฮวาเหมยจวงว่าจ้างมา! ให้ทาแป้งสีแดงนี้แล้วมาโวยหน้าร้านหยกมรกต!”
เสียงฮือฮาดังกระหึ่มทั่วตรอก บางคนถึงกับอุทานออกมา
“นี่มันเลวร้ายเกินไปแล้ว!”
“กล้าทำขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!”
หลินเย่วเอ๋อร์ถอนหายใจเบา ๆ “ขอบคุณที่พูดความจริง”
นางหยิบถุงผ้าเล็กออกจากแขนเสื้อ ยื่นให้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้
“ท่านเฉิงอวิ๋น คือคนของหอการค้าทุกคนก็รู้ดีใช่หรือไม่”
ชายคนนั้นพยักหน้า “ใช่ ข้า เฉิงอวิ๋น วันนี้ตั้งใจมาดูสถานการณ์เสียหน่อย แต่ไม่คิดว่าจะได้ดูเรื่องจริงยิ่งกว่าละคร”
หลินเย่วเอ๋อร์ยื่นถุงผ้าที่บรรจุผงปลอมให้ “ข้าเก็บของกลางไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ผงที่คนพยายามใส่ลงในกระปุกทดลองข้องเจ้า ข้าสงสัยว่าเป็นฝีมือคนคนเดียวกัน”
เฉิงอวิ๋นรับถุงพลางหัวเราะเบา ๆ “แม่นางผู้นี้หัวไวเกินตัว ข้าชอบยิ่งนัก”
เขาหันไปบอกผู้คนรอบข้างเสียงดัง “ฟังไว้ให้ดี! ร้านหยกมรกตไม่เพียงแต่ขายของดี แต่ยังรักษากฎและศักดิ์ศรีทางการค้าอีกด้วย!”
ข่าวการเปิดโปงแพร่กระจายไปทั่วภายในไม่ถึงครึ่งชั่วยามร้านฮวาเหมยจวงที่อยู่ปลายตรอกเหนือมีคนแอบพูดนินทาหน้าร้านไม่หยุด
“นึกว่าแป้งขาวจะขายดีเสียอีก ที่แท้กลับเล่นสกปรกใส่คู่แข่ง”
“ป่านนี้เจ้าของร้านเสียหน้าแล้วกระมัง!”“คราวนี้คงขายได้แค่ในความฝันแล้วแหละ”
เจี่ยนฮวากำพัดแน่นจนพังคามือ สายตาแข็งกร้าว
“นังหลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าท้าทายข้าเกินไปแล้ว!”
สาวใช้ตัวสั่น “คุณหนู เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ คนของหอการค้าก็เห็นกับตาแล้ว”
“หุบปาก!” เจี่ยนฮวาสะบัดแขนเสื้อ
“เรื่องนี้ยังไม่จบง่าย ๆ หรอก!”
องค์ชายรองรีบเข้าประคองนางที่เริ่มทรุดลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ กลิ่นที่ออกมาจากเตาแก้วกลับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมอ่อนละมุน กลิ่นที่ทุกคนในลานจำได้ทันที“นั่นคือกลิ่นเดียวกันกับวันที่พิธีถวายครั้งก่อน!”ฮ่องเต้ลุกจากบัลลังก์ พระสุรเสียงสั่นเล็กน้อย“กลิ่นนี้คือกลิ่นแห่งสันติ!”กลิ่นทองอ่อนค่อย ๆ แผ่ไปทั่วตำหนัก คนที่หมดสติเริ่มฟื้น ขุนนางที่สิ้นแรงกลับมายืนได้อีกครั้ง อี้เฟยถอยหลังไปอย่างสิ้นหวัง“ไม่ เป็นไปไม่ได้ กลิ่นหัวใจไม่มีอยู่จริง! ไม่มีทาง!”องค์ชายรองจ้องเขา “มันมีจริง แค่เจ้าไม่เคยมีหัวใจที่หอมพอที่จะเข้าใจมัน”อี้เฟยกัดฟันแน่น ก่อนจะพุ่งตัวหนี แต่ถูกองครักษ์หลวงเข้าล้อมจับไว้หลังเหตุการณ์สงบ ฮ่องเต้เสด็จลงจากบัลลังก์ สายพระเนตรทอดมองหลินเย่วเอ๋อร์ที่ยังคุกเข่า มือทั้งสองยังคงสั่น“หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่า กลิ่นหัวใจของเจ้าบริสุทธิ์กว่ากลิ่นใด ๆ”ฮ่องเต้ตรัสพร้อมยิ้มบาง “ข้าขอพระราชทานตำแหน่งให้เจ้าและให้เจาดูแลหอปรุงเครื่องหอมรวมถึงหอปรุงเครื่องประทินโฉมของราชสำนักทั้งหมด”เสียงขุนนางดังขึ้นพร้อมกัน “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”องค์ชายรองหันมามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความภ
“กลิ่นนั้นเปลี่ยนเพราะหัวใจคนต่างหาก ไม่ใช่พิษและไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นผลจากความบริสุทธิ์ของผู้สร้าง”ขุนนางบางคนส่ายหน้า “ฝ่าบาท องค์ชายรองพูดเช่นนี้ก็เท่ากับยอมรับว่ามันมีอิทธิพลต่อจิตใจจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเห็นควรให้แยกทั้งสองออกจากกัน เพื่อป้องกันภัยในอนาคต!”เสียงเห็นด้วยดังขึ้นระลอกใหญ่ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างเงียบ ๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ“เจ้าบอกว่าให้ข้าแยกพวกเขาออกจากกันเพราะกลัวกลิ่นเช่นนั้นหรือ?”ขุนนางทุกคนก้มศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพื่อความมั่นคงของราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร หากกลิ่นนี้ไม่ใช่อาวุธ แต่คือชีวิตของผู้คน?”ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้น ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งตำหนัก“เมื่อสามวันก่อน กลิ่นนี้ช่วยชีวิตคนทั้งร้านหยกมรกตจากพิษหอมที่แผ่ไปทั่ว เจ้าจะเรียกมันว่าอาวุธได้หรือ?”ขุนนางหลายคนก้มหน้าด้วยความอับอาย องค์ชายรองค้อมกาย“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเมตตา”ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมาที่หลินเย่วเอ๋อร์ “หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าเป็นเพียงสามัญชน แต่สร้างกลิ่นที่แม้แต่สวรรค์ยังมิอาจคาดถึง ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ เจ้าคิดเช่นไรกับอำนาจของสิ่งที่เจ้าสร้าง?”หลินเย่วเอ๋อร์สูด
เสียงนกร้องยามเช้าแว่วลอดหน้าต่างเข้ามาเบา ๆ แสงแดดอ่อนจากสวนเหมยลอดผ่านผ้าม่านบาง กระทบใบหน้าของหญิงสาวที่ยังหลับใหลบนเตียง อาเซียงนั่งเฝ้าข้างเตียงด้วยตาแดง ๆ“คุณหนู ตื่นเถิดเจ้าคะ ข้านั่งเฝ้าท่านมาสามวันแล้วนะ คุณหนู ฮืออ...”องค์ชายรองที่นั่งอยู่อีกฝั่งเงียบ ๆ เงยหน้าขึ้น เขายังอยู่ในชุดเรียบธรรมดา สีหน้าอ่อนล้าแต่ดวงตายังคงจ้องมองนางไม่ละสาย“นางยังไม่ฟื้นเลยหรือ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว“ยังเพคะ แต่ชีพจรกลับมาปกติแล้ว เพียงแต่อาจเหนื่อยจากการใช้พลังกลิ่นมากเกินไป” อาเซียงตอบทั้งน้ำตาองค์ชายรองลอบถอนหายใจ เขายื่นมือไปแตะหลังมือของหลินเย่วเอ๋อร์เบา ๆ และในวินาทีนั้นเอง...กลิ่นชาอุ่นปนดอกเหมยที่เคยลอยอ่อน ๆ ในห้อง เปลี่ยนเป็นกลิ่นใหม่ กลิ่นนั้นอ่อนโยนกว่าเดิม แต่มีความหอมแปลก คล้ายกลิ่นหวานของกลีบเหมยผสมกลิ่นน้ำผึ้ง อาเซียงเบิกตา“องค์ชาย! กลิ่นเปลี่ยนแล้วเพคะ!”องค์ชายรองชะงักไป “กลิ่นเปลี่ยน?”เขามองรอบห้อง แสงจากหน้าต่างสาดกระทบขวดแก้วที่ตั้งอยู่ข้างเตียง ขวดนั้นเปล่งสีทองอ่อนราวกับเรืองแสงจากภายใน หลินเย่วเอ๋อร์ขยับนิ้วเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น“ที่นี่คือที่ใดกัน” เสียงของนางแผ่
“เขาคนนั้นเคยเป็นพี่ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับข้า” องค์ชายรองเอ่ยช้า ๆ“เขาเคยเป็นคนที่ท่านอาจารย์เฟยหานโปรดปรานที่สุด แต่เพราะความทะเยอทะยาน เขาขโมยสูตรยาสร้างกลิ่นต้องห้าม แล้วถูกขับออกจากวัง”หลินเย่วเอ๋อร์นิ่งงัน “เขากลับมาเพื่อแก้แค้นท่าน...”“ไม่ใช่แค่ข้า” เขามองออกไปนอกหน้าต่าง “แต่เพื่อล้มล้างทุกสิ่งที่เกี่ยวกับกลิ่นบริสุทธิ์ที่อาจารย์สร้างไว้”ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดคุยกันต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นนอกห้อง อาเซียงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา“คุณหนู! มีชายชุดดำเข้ามาในร้านอีกแล้วเจ้าค่ะ!”องค์ชายรองหันขวับ “พาเย่วเอ๋อร์ไปหลบข้างใน!”แต่ไม่ทันแล้ว เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมลมแรงพัดกลิ่นชาเย็นจัดเข้ามาปะทะกลิ่นเหมยอบอุ่นในห้องทันที อี้เฟยก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเย็นตา“ข้าเพียงมาขอชาแก้วเดียว แต่เห็นทีจะได้กลิ่นของความกลัวกลับไปด้วย”องค์ชายรองก้าวไปข้างหน้า “เจ้ากลับมาทำไม อี้เฟย”“เพื่อพิสูจน์ว่า กลิ่นของข้าเหนือกว่ากลิ่นของเจ้า และเพื่อให้คนที่เจ้ารักฃได้รู้ว่า กลิ่นเดียวกัน ฃบางครั้งก็ใช้ทำร้ายได้”อี้เฟยเปิดขวดแก้วในมือ กลิ่นชาเย็นจัดแผ่กระจายไปทั่วห้องในชั่วพริบตา หลินเย่วเอ๋อร์รู้สึกเหมือ
สามวันหลังจากคืนฝนตกนั้น ร้านหยกมรกตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกชาหอมเอยและน้ำอบจากถังไม้ไผ่ลอยอบอวลไปทั่วร้าน อาเซียงวิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าระรื่น“คุณหนูกลับมาแล้ว! พวกพ่อค้าแม่ค้าหน้าร้านแทบตั้งโต๊ะบูชาท่านแล้ว!”หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะ “ตั้งโต๊ะบูชาอะไรกันเล่า ข้าเพียงไปวังหลวงไม่กี่วันเอง”“ก็เพราะไม่กี่วันนั่นแหละเจ้าค่ะ! แต่กลับมาพร้อมข่าวลือว่าองค์ชายรองถึงกับทรงชงชาให้ท่านด้วยพระองค์เอง!”นางรีบปิดปากสาวใช้ “อาเซียง! ระวังคำพูดหน่อย เจ้าอยากให้ร้านข้ากลายเป็นหัวข้อซุบซิบของเมืองเว่ยเจินหรืออย่างไร”อาเซียงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าเพียงพูดความจริงนะเจ้าคะ ว่าในที่สุดกลิ่นของคุณหนูก็หอมไปถึงหัวใจคนบางคนแล้ว~”หลินเย่วเอ๋อร์กลอกตา “หากเจ้ากล้าพูดอีก ข้าจะให้เจ้าไปกวนดอกไม้ในครกทั้งวันแน่!”“ไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ!” อาเซียงหัวเราะวิ่งหนีไปหลังร้านหลินเย่วเอ๋อร์เดินไปยังห้องปรุงกลิ่น โต๊ะไม้เรียงรายเต็มไปด้วยขวดแก้วหลากสี วัตถุดิบหายากวางอยู่ในถาดทองแดง มีกลีบดอกบัวแห้งจากบึงอวิ๋นเฟิง และไม้หอมจากหุบผาหลงหลิว“ครั้งนี้ ข้าจะสร้างกลิ่นใหม่ให้ท่าน” นางพึมพำเบา ๆมือเรียวเริ่มบดกลีบดอ
เวลาผ่านไปช้า ๆ เหมือนแม่น้ำที่ไหลในความเงียบ หลินเย่วเอ๋อร์เทน้ำชารอบสองให้องค์ชายรอง กลิ่นอ่อนหวานของใบชาผสมกลีบเหมยลอยขึ้นในอากาศ เขารับถ้วยไว้ แล้วพูดเสียงแผ่วแต่ชัดเจน“เจ้าเคยพูดว่ากลิ่นทุกกลิ่นมีความทรงจำซ่อนอยู่ เจ้าคิดว่ากลิ่นของข้าคืออะไร”หลินเย่วเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างช้า ๆ“เป็นกลิ่นของชาในคืนฝนตกเพคะ อุ่นแต่เศร้า ละมุนแต่หนักแน่น”องค์ชายรองหัวเราะเบา ๆ “ฟังดูเหมือนเจ้ามองข้าออกหมดทุกอย่าง”“เปล่าเพคะ ข้าเพียงรู้ว่าคนที่แบกความเจ็บไว้ในใจ มักจะพยายามทำให้กลิ่นรอบตัวสงบ เพื่อกลบเสียงของหัวใจตนเอง”“แล้วเจ้าจะช่วยข้าได้ไหม” เขาถามตรง ๆ “ได้เพคะ”“อย่างไร”หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้มบาง “ด้วยกลิ่นของความสุขที่ข้าจะปรุงให้ท่านเองอย่างไรเล่าเพคะ”องค์ชายรองมองนางเนิ่นนาน แววตาที่เคยเย็นชาเริ่มอ่อนลงทีละน้อย“ในวังแห่งนี้ เจ้าคือคนเดียวที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้”“เพราะข้ามิได้อยู่ในวังเพคะ” หลินเย่วเอ๋อร์ตอบ “หัวใจข้าอยู่ที่ร้านหยกมรกต ที่ซึ่งกลิ่นทุกกลิ่นและทุกอย่างเกิดจากความจริง ไม่ใช่คำลวง”เขาพยักหน้าเบา ๆ “นั่นสินะ ความจริงของเจ้ามันหอมกว่าทุกสิ่ง”ทั้งสองนั่งนิ่งมองพระ







