LOGINช่วงสาย ชุดแรกขายหมดในเวลาที่เร็วเกินคาด อาเซียงยืนถือพัดมือพลางโบกพัดให้คุณหนูของนาง
“คุณหนูเจ้าคะกล่องรับคำชมเต็มอีกแล้วเจ้าค่ะ! ส่วนกล่อง รับเงิน เอ่อ...ข้ายังไม่กล้าดูแต่ลองยกดูหนักจนมือจนสั่นแน่ะเจ้าค่ะ”
หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะ “อย่ากังวลไป เงินน่ะเราต้องเก็บทีละช่วง ไม่ให้คนเห็นมากเกินไปจะปลอดภัยกว่า”นางส่งสัญญาณ บ่าวชายสองคนรับกล่องไปเก็บหลังร้านอย่างรู้ใจ ฮูหยินหลี่เลื่อนพัดโปร่งในมือช้า ๆ
“ข้ามีอีกเรื่อง บุตรสาวของข้าปากแตกง่ายยามลมแรง อยากสั่งทำเพิ่มอีกเล็กน้อย เอาที่เหมาะกับคนแพ้ง่าย เจ้าทำได้หรือไม่”
หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้ม “ทำได้เจ้าค่ะ เพียงขอเวลาสามวันเพื่อปรับสูตรและกลิ่นให้อ่อนลงกว่าชุดปกติครึ่งหนึ่ง ข้าจะทำเป็นรุ่นพิเศษออกขายด้วย รุ่นนี้ชื่อว่าชุนเฉินโฉม รุ่นเด็กสาว”
นางเอียงหน้าคิดแผ่ว “และจะเขียนคำเตือนเล็ก ๆ หลังกล่องด้วยว่าให้ทาหลังใบหูก่อนทาปากหนึ่งคืน หากไม่ระคายเคืองก็สามารถใช้ต่อได้”ฮูหยินหลี่พยักหน้ายิ้มช้า ๆ “เจ้าคิดรอบคอบดี”
บ่าวสาวแทรกขึ้นเบา ๆ “ฮูหยินเจ้าคะ ร้านนี้เขียนคำเตือนได้ดี เวลาใช้จะได้ระวังด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหัวเราะ “จริงดังเจ้าว่า”
ไกลออกไป เจี่ยนฮวาแอบยืนหลบหลังเสา พอเห็นภาพร้านของหลินเย่วเอ๋อร์ขายดิบขายดี ผู้คนแห่กันไปลงชื่อสั่งสินค้า นางก็กำพัดแน่นจนโครงไม้แทบจะหัก
ไป๋จิ้งเซียวเห็นเช่นนั้น สายตานิ่งลงครึ่งส่วน ไม่ใช่หวั่นเกรง หากแต่เขียนบันทึกเงียบ ๆ ในใจว่า
“จะมีพิษแบบอื่นตามมา แต่ดูม่าสตรีนางนี้ก็เตรียมหัวใจไว้แล้วล่ะ”
ก่อนเที่ยง หลินเย่วเอ๋อร์ตัดสินใจปิดร้านเป็นเวลาครึ่งชั่วยามเพื่อพักและเพื่อไม่ให้คนงานเหนื่อยเกินไป นางแจกขนมงาและน้ำชากลิ่นเบา ๆ ให้คนงาน อาเซียงกินขนมงาไปหัวเราะไป
“คุณหนู ข้ารู้สึกเหมือนข้าอยู่ในงานแต่งงานเลยเจ้าค่ะ ราวกับว่าแขกมาเต็มเรือน ของก็เต็มโต๊ะ!”
“เจ้านี่นะอาเซียง ช่างพูดเสียจริง ปากเจ้าน่ะพูดเก่งยิ่งกว่านกกระจิบนกกระจาบร้องเสียอีก” หลินเย่วเอ๋อร์เอ่ยหยอก ทำเอาทุกคนหัวเราะร่า
ในยามนั้นเอง เด็กวิ่งสื่อสารของตลาดก็หนีบกระดาษผืนเล็กวิ่งมาหยุดหน้าร้านหยกมรกต หอบจนไหล่กระเพื่อม
“ข่าวด่วนจากหอการค้าขอรับ!”
เฉิงอวิ๋นเขียนเพียงบรรทัดเดียวด้วยลายมือบรรจง
“ตลาดตงเหมินเช้าวันนี้คึกคักกว่าทุกวัน ร้านหยกมรกตจัดการลูกค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าชื่นชม”
ใต้บรรทัดมีตราพัดไม้ขีดสัญลักษณ์เฉพาะของเขา อาเซียงกีดร้อง
“คุณหนู! หอการค้าส่งคำชมเชยมาเจ้าค่ะ!”
ผู้คนที่ยังวนเวียนเข้ามาที่ร้านเพื่อลงชื่อจองสินค้าล็อตถัดไปโห่ จากร้านเล็ก ๆ ที่เพิ่งเปิดขายของหลินเยว่เอ๋อร์กลายเป็นร้านที่ผู้คนแวะเวียนเข้ามามากที่สุดภายในครึ่งวัน
หลินเย่วเอ๋อร์เก็บกระดาษอย่างทะนุถนอม ดวงตาสว่างวาบเพียงเสี้ยว แล้วกลับสู่สีหน้านิ่ง ราวกับคนปรุงอาหารที่รู้ว่าหม้อหน้าถัดไปยังรออยู่
ลมจากแม่น้ำเว่ยพัดเอื่อย กลิ่นน้ำผึ้งผสมเมล็ดชาอบอวลอยู่เหนือแผง ขณะที่เงาเมฆเล็ก ๆ เคลื่อนทาบลงเหนือร้านฮวาเหมยจวงไกลออกไป ราวม้ามืดที่กำลังซ้อมฝีเท้า ทว่าในใจของใครบางคน เงานั้นกลับกลายเป็นความอึดอัด
ลมเปลี่ยนทิศแล้วหรือ...
และยังมีจดหมายหนึ่งฉบับในมือคนส่งข่าวอีกคน ที่ยังวิ่งไม่ทันถึงตลาด เป็นจดหมายจากเมืองหลวงที่จะเปลี่ยนวงโคจรของร้านหยกมรกตในไม่ช้า
แดดยามบ่ายคล้อยเหนือหลังคากระเบื้อง ตลาดตงเหมินยังแน่นขนัดแม้ร้านอื่นจะเริ่มเก็บของแล้ว หลินเย่วเอ๋อร์และอาเซียงพักเพียงครู่ก่อนจะเริ่มจัดแถวใหม่สำหรับรอบบ่าย
“อาเซียง” หลินเย่วเอ๋อร์พูดเสียงนุ่ม “ตอนบ่ายอย่าลืมวัดคิวตามโพยนะ ข้ากลัวจะมีคนสอดแทรกอีก”
สาวใช้พยักหน้าหนักแน่น “เจ้าค่ะ คราวนี้ข้าจะยืนเฝ้าเหมือนสุนัขเฝ้าประตูเรือนเลย!”
“ได้ เจ้าอย่าเห่าเสียงดังนักก็พอ” หลินเย่วเอ๋อร์แซวพร้อมหัวเราะจาง ๆ
“แค่จ้องตาแรง ๆ ให้พวกเขาเกรงก็พอแล้ว”
ขณะที่นางกำลังเช็ดโต๊ะ เสียงฝีเท้าดัง ตึก ตึก ตึก ตามด้วยเสียงพูดเสียงแหบแห้งของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้น
“นี่หรือร้านหยกมรกตที่เขาว่ากันว่าเป็นร้านใหม่สินค้าใหม่จากสกุลหลิน?”
หลินเย่วเอ๋อร์เงยหน้า เห็นชายผู้นั้นแต่งกายเหมือนพ่อค้าต่างเมือง ใส่ผ้าโพกหัวเก่าแต่สะอาด มองไปรอบร้านด้วยสายตาคมเฉียบราวกับนักเจรจามืออาชีพ
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคือหลินเย่วเอ๋อร์” นางยิ้มตามมารยาท “ท่านมีธุระใดหรือไม่”
ชายผู้นั้นวางห่อผ้าเล็ก ๆ ลงตรงหน้า “ข้าเป็นคนของร้านหยกหยุนซุนจากเมืองหลวง”
คนในตลาดที่ยืนใกล้ถึงกับอ้าปาก ร้านหยกหยุนซุนเป็นร้านค้าหรูที่แม้ในเมืองเว่ยเจินยังต้องต่อคิวส่งของไปขาย
ชายคนนั้นคลี่ห่อผ้า เผยให้เห็นตราประทับสีน้ำเงินเข้ม
“จดหมายจากคุณชายหยาง เจ้าของร้านหยกหยุนซุน เขาได้ข่าวว่าร้านหยกมรกตมีของใหม่ จึงอยากเห็นด้วยตาตนเอง”
อาเซียงตาโต “จากเมืองหลวงเลยรึเจ้าคะ!”
หลินเย่วเอ๋อร์รับจดหมายมาด้วยสองมือ พลันเห็นตราประทับสีฟ้าเรียบหรูแกะลายคลื่นน้ำ คลี่ออกอ่านแผ่วเบา
“ข้าหยางอวิ๋นเฟิง แห่งร้านหยกหยุนซุน ได้ยินกิตติศัพท์สินค้าความงามใหม่จากเมืองเว่ยเจินหากของจริงดีดั่งคำเล่าลือ ข้าก็ยินดีจะขอรับซื้อแบบร่วมการค้า โปรดส่งตัวอย่างหนึ่งชุด และใบรายชื่อส่วนผสมเพื่อทดสอบในเมืองหลวง หากผ่านเกณฑ์ ร้านหยกหยุนซุนจะจัดพื้นที่พิเศษให้ร้านหยกมรกตในตลาดใต้เขาอู่เหอ”
หลินเย่วเอ๋อร์อ่านจบก็เงียบไปชั่วครู่ ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏบนใบหน้า
“จวนแม่ทัพยังไม่ทันส่งของ กลับมีข่าวไปถึงเมืองหลวงเสียแล้ว นี่สินะที่เรียกว่ากลิ่นข่าวเร็วกว่ากลิ่นแป้งที่ร้านฮวาเหมยจวง”
อาเซียงหัวเราะคิกคัก “แป้งของนางกลิ่นแรงจนข่าวหนีไม่ทันเจ้าค่ะ!”
ชายจากเมืองหลวงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เห็นสองสาวหัวเราะจึงคลายลง
“ข้าจะพักที่โรงเตี๊ยมเจิงเหอสามวัน หากท่านตัดสินใจจะส่งตัวอย่าง ก็ให้แจ้งคนของข้าที่ประตูตะวันตก”
หลินเย่วเอ๋อร์ค้อมคำนับน้อย ๆ “ขอบพระคุณท่านมาก ข้าจะเตรียมส่งให้ภายในสองวันเจ้าค่ะ”
ในตรอกตะวันตก ร้านฮวาเหมยจวงเงียบผิดปกติ เจี่ยนฮวาเอนพิงพนักเก้าอี้ มือถือพัดผ้าไหมเคาะโต๊ะเบา ๆ
“ยอดขายเช้านี้ตกอีกสิบสองส่วนเลยรึ” เสียงของนางเย็นเฉียบ
สาวใช้สองคนคุกเข่าพร้อมกัน “เจ้าค่ะคุณหนู คนในตลาดไปต่อคิวที่ร้านหยกมรกตกันหมด ว่ากันว่ากลิ่นหอมอ่อน ๆ ติดทนนาน ไม่ระคายผิว”
“พอ!” เจี่ยนฮวาโยนพัดลงพื้น
“ไม่ต้องสาธยายคำชมของนางให้ข้าฟัง”
นางลุกขึ้น เดินไปหน้ากระจกทองเหลือง ใบหน้าในเงาแต่งสวย แต่แววตากลับแข็งราวหิน
“หญิงนางนั้นไม่รู้กฎของการค้า กล้ามาเปิดร้านท้าทายข้าคิดจะแข่งกับข้ารึ รู้จักคนอย่างช้าน้อยไปเสียแล้ว”
นางหันขวับไปทางสาวใช้ “ไปหาชายที่ชื่อหลิวซานที่ตลาดเหนือ บอกให้เตรียมลูกค้าทดลองพิเศษไว้ให้พร้อม”
สาวใช้ตัวสั่น “ลูกค้าทดลองพิเศษหรือเจ้าคะ”
“ใช่” เจี่ยนฮวากัดฟันกรอด “คนที่ซื้อของปลอมมาแกล้งแพ้ แล้วตะโกนลั่นกลางตลาดว่าของมีพิษ! ข้าอยากให้พรุ่งนี้คนทั้งตลาดพูดถึงร้านหยกมรกตในทางกลับกันเสียบ้าง อยากรู้นักว่านางจะยังหัวเราะร่าได้อยู่รึไม่!”
องค์ชายรองรีบเข้าประคองนางที่เริ่มทรุดลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ กลิ่นที่ออกมาจากเตาแก้วกลับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมอ่อนละมุน กลิ่นที่ทุกคนในลานจำได้ทันที“นั่นคือกลิ่นเดียวกันกับวันที่พิธีถวายครั้งก่อน!”ฮ่องเต้ลุกจากบัลลังก์ พระสุรเสียงสั่นเล็กน้อย“กลิ่นนี้คือกลิ่นแห่งสันติ!”กลิ่นทองอ่อนค่อย ๆ แผ่ไปทั่วตำหนัก คนที่หมดสติเริ่มฟื้น ขุนนางที่สิ้นแรงกลับมายืนได้อีกครั้ง อี้เฟยถอยหลังไปอย่างสิ้นหวัง“ไม่ เป็นไปไม่ได้ กลิ่นหัวใจไม่มีอยู่จริง! ไม่มีทาง!”องค์ชายรองจ้องเขา “มันมีจริง แค่เจ้าไม่เคยมีหัวใจที่หอมพอที่จะเข้าใจมัน”อี้เฟยกัดฟันแน่น ก่อนจะพุ่งตัวหนี แต่ถูกองครักษ์หลวงเข้าล้อมจับไว้หลังเหตุการณ์สงบ ฮ่องเต้เสด็จลงจากบัลลังก์ สายพระเนตรทอดมองหลินเย่วเอ๋อร์ที่ยังคุกเข่า มือทั้งสองยังคงสั่น“หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่า กลิ่นหัวใจของเจ้าบริสุทธิ์กว่ากลิ่นใด ๆ”ฮ่องเต้ตรัสพร้อมยิ้มบาง “ข้าขอพระราชทานตำแหน่งให้เจ้าและให้เจาดูแลหอปรุงเครื่องหอมรวมถึงหอปรุงเครื่องประทินโฉมของราชสำนักทั้งหมด”เสียงขุนนางดังขึ้นพร้อมกัน “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”องค์ชายรองหันมามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความภ
“กลิ่นนั้นเปลี่ยนเพราะหัวใจคนต่างหาก ไม่ใช่พิษและไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นผลจากความบริสุทธิ์ของผู้สร้าง”ขุนนางบางคนส่ายหน้า “ฝ่าบาท องค์ชายรองพูดเช่นนี้ก็เท่ากับยอมรับว่ามันมีอิทธิพลต่อจิตใจจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเห็นควรให้แยกทั้งสองออกจากกัน เพื่อป้องกันภัยในอนาคต!”เสียงเห็นด้วยดังขึ้นระลอกใหญ่ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างเงียบ ๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ“เจ้าบอกว่าให้ข้าแยกพวกเขาออกจากกันเพราะกลัวกลิ่นเช่นนั้นหรือ?”ขุนนางทุกคนก้มศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพื่อความมั่นคงของราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร หากกลิ่นนี้ไม่ใช่อาวุธ แต่คือชีวิตของผู้คน?”ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้น ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งตำหนัก“เมื่อสามวันก่อน กลิ่นนี้ช่วยชีวิตคนทั้งร้านหยกมรกตจากพิษหอมที่แผ่ไปทั่ว เจ้าจะเรียกมันว่าอาวุธได้หรือ?”ขุนนางหลายคนก้มหน้าด้วยความอับอาย องค์ชายรองค้อมกาย“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเมตตา”ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมาที่หลินเย่วเอ๋อร์ “หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าเป็นเพียงสามัญชน แต่สร้างกลิ่นที่แม้แต่สวรรค์ยังมิอาจคาดถึง ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ เจ้าคิดเช่นไรกับอำนาจของสิ่งที่เจ้าสร้าง?”หลินเย่วเอ๋อร์สูด
เสียงนกร้องยามเช้าแว่วลอดหน้าต่างเข้ามาเบา ๆ แสงแดดอ่อนจากสวนเหมยลอดผ่านผ้าม่านบาง กระทบใบหน้าของหญิงสาวที่ยังหลับใหลบนเตียง อาเซียงนั่งเฝ้าข้างเตียงด้วยตาแดง ๆ“คุณหนู ตื่นเถิดเจ้าคะ ข้านั่งเฝ้าท่านมาสามวันแล้วนะ คุณหนู ฮืออ...”องค์ชายรองที่นั่งอยู่อีกฝั่งเงียบ ๆ เงยหน้าขึ้น เขายังอยู่ในชุดเรียบธรรมดา สีหน้าอ่อนล้าแต่ดวงตายังคงจ้องมองนางไม่ละสาย“นางยังไม่ฟื้นเลยหรือ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว“ยังเพคะ แต่ชีพจรกลับมาปกติแล้ว เพียงแต่อาจเหนื่อยจากการใช้พลังกลิ่นมากเกินไป” อาเซียงตอบทั้งน้ำตาองค์ชายรองลอบถอนหายใจ เขายื่นมือไปแตะหลังมือของหลินเย่วเอ๋อร์เบา ๆ และในวินาทีนั้นเอง...กลิ่นชาอุ่นปนดอกเหมยที่เคยลอยอ่อน ๆ ในห้อง เปลี่ยนเป็นกลิ่นใหม่ กลิ่นนั้นอ่อนโยนกว่าเดิม แต่มีความหอมแปลก คล้ายกลิ่นหวานของกลีบเหมยผสมกลิ่นน้ำผึ้ง อาเซียงเบิกตา“องค์ชาย! กลิ่นเปลี่ยนแล้วเพคะ!”องค์ชายรองชะงักไป “กลิ่นเปลี่ยน?”เขามองรอบห้อง แสงจากหน้าต่างสาดกระทบขวดแก้วที่ตั้งอยู่ข้างเตียง ขวดนั้นเปล่งสีทองอ่อนราวกับเรืองแสงจากภายใน หลินเย่วเอ๋อร์ขยับนิ้วเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น“ที่นี่คือที่ใดกัน” เสียงของนางแผ่
“เขาคนนั้นเคยเป็นพี่ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับข้า” องค์ชายรองเอ่ยช้า ๆ“เขาเคยเป็นคนที่ท่านอาจารย์เฟยหานโปรดปรานที่สุด แต่เพราะความทะเยอทะยาน เขาขโมยสูตรยาสร้างกลิ่นต้องห้าม แล้วถูกขับออกจากวัง”หลินเย่วเอ๋อร์นิ่งงัน “เขากลับมาเพื่อแก้แค้นท่าน...”“ไม่ใช่แค่ข้า” เขามองออกไปนอกหน้าต่าง “แต่เพื่อล้มล้างทุกสิ่งที่เกี่ยวกับกลิ่นบริสุทธิ์ที่อาจารย์สร้างไว้”ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดคุยกันต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นนอกห้อง อาเซียงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา“คุณหนู! มีชายชุดดำเข้ามาในร้านอีกแล้วเจ้าค่ะ!”องค์ชายรองหันขวับ “พาเย่วเอ๋อร์ไปหลบข้างใน!”แต่ไม่ทันแล้ว เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมลมแรงพัดกลิ่นชาเย็นจัดเข้ามาปะทะกลิ่นเหมยอบอุ่นในห้องทันที อี้เฟยก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเย็นตา“ข้าเพียงมาขอชาแก้วเดียว แต่เห็นทีจะได้กลิ่นของความกลัวกลับไปด้วย”องค์ชายรองก้าวไปข้างหน้า “เจ้ากลับมาทำไม อี้เฟย”“เพื่อพิสูจน์ว่า กลิ่นของข้าเหนือกว่ากลิ่นของเจ้า และเพื่อให้คนที่เจ้ารักฃได้รู้ว่า กลิ่นเดียวกัน ฃบางครั้งก็ใช้ทำร้ายได้”อี้เฟยเปิดขวดแก้วในมือ กลิ่นชาเย็นจัดแผ่กระจายไปทั่วห้องในชั่วพริบตา หลินเย่วเอ๋อร์รู้สึกเหมือ
สามวันหลังจากคืนฝนตกนั้น ร้านหยกมรกตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกชาหอมเอยและน้ำอบจากถังไม้ไผ่ลอยอบอวลไปทั่วร้าน อาเซียงวิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าระรื่น“คุณหนูกลับมาแล้ว! พวกพ่อค้าแม่ค้าหน้าร้านแทบตั้งโต๊ะบูชาท่านแล้ว!”หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะ “ตั้งโต๊ะบูชาอะไรกันเล่า ข้าเพียงไปวังหลวงไม่กี่วันเอง”“ก็เพราะไม่กี่วันนั่นแหละเจ้าค่ะ! แต่กลับมาพร้อมข่าวลือว่าองค์ชายรองถึงกับทรงชงชาให้ท่านด้วยพระองค์เอง!”นางรีบปิดปากสาวใช้ “อาเซียง! ระวังคำพูดหน่อย เจ้าอยากให้ร้านข้ากลายเป็นหัวข้อซุบซิบของเมืองเว่ยเจินหรืออย่างไร”อาเซียงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าเพียงพูดความจริงนะเจ้าคะ ว่าในที่สุดกลิ่นของคุณหนูก็หอมไปถึงหัวใจคนบางคนแล้ว~”หลินเย่วเอ๋อร์กลอกตา “หากเจ้ากล้าพูดอีก ข้าจะให้เจ้าไปกวนดอกไม้ในครกทั้งวันแน่!”“ไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ!” อาเซียงหัวเราะวิ่งหนีไปหลังร้านหลินเย่วเอ๋อร์เดินไปยังห้องปรุงกลิ่น โต๊ะไม้เรียงรายเต็มไปด้วยขวดแก้วหลากสี วัตถุดิบหายากวางอยู่ในถาดทองแดง มีกลีบดอกบัวแห้งจากบึงอวิ๋นเฟิง และไม้หอมจากหุบผาหลงหลิว“ครั้งนี้ ข้าจะสร้างกลิ่นใหม่ให้ท่าน” นางพึมพำเบา ๆมือเรียวเริ่มบดกลีบดอ
เวลาผ่านไปช้า ๆ เหมือนแม่น้ำที่ไหลในความเงียบ หลินเย่วเอ๋อร์เทน้ำชารอบสองให้องค์ชายรอง กลิ่นอ่อนหวานของใบชาผสมกลีบเหมยลอยขึ้นในอากาศ เขารับถ้วยไว้ แล้วพูดเสียงแผ่วแต่ชัดเจน“เจ้าเคยพูดว่ากลิ่นทุกกลิ่นมีความทรงจำซ่อนอยู่ เจ้าคิดว่ากลิ่นของข้าคืออะไร”หลินเย่วเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างช้า ๆ“เป็นกลิ่นของชาในคืนฝนตกเพคะ อุ่นแต่เศร้า ละมุนแต่หนักแน่น”องค์ชายรองหัวเราะเบา ๆ “ฟังดูเหมือนเจ้ามองข้าออกหมดทุกอย่าง”“เปล่าเพคะ ข้าเพียงรู้ว่าคนที่แบกความเจ็บไว้ในใจ มักจะพยายามทำให้กลิ่นรอบตัวสงบ เพื่อกลบเสียงของหัวใจตนเอง”“แล้วเจ้าจะช่วยข้าได้ไหม” เขาถามตรง ๆ “ได้เพคะ”“อย่างไร”หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้มบาง “ด้วยกลิ่นของความสุขที่ข้าจะปรุงให้ท่านเองอย่างไรเล่าเพคะ”องค์ชายรองมองนางเนิ่นนาน แววตาที่เคยเย็นชาเริ่มอ่อนลงทีละน้อย“ในวังแห่งนี้ เจ้าคือคนเดียวที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้”“เพราะข้ามิได้อยู่ในวังเพคะ” หลินเย่วเอ๋อร์ตอบ “หัวใจข้าอยู่ที่ร้านหยกมรกต ที่ซึ่งกลิ่นทุกกลิ่นและทุกอย่างเกิดจากความจริง ไม่ใช่คำลวง”เขาพยักหน้าเบา ๆ “นั่นสินะ ความจริงของเจ้ามันหอมกว่าทุกสิ่ง”ทั้งสองนั่งนิ่งมองพระ







