หลี่อวี้จิงมองกองผ้ากองโตตรงหน้าอย่างสงบ แม้มือจะเริ่มเปียกน้ำจากการชักผ้า แต่นางยังคงสงบนิ่ง ไร้ซึ่งท่าทีอิดออดเหมือนที่บ่าวไพร่คาดหวัง
เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบด้าน "ดูสิ นางกำลังจะยอมแพ้หรือเปล่า?" "หึ! นางคุณหนูเคยแต่ใช้นิ้วชี้สั่งคนอื่น คงไม่รู้หรอกว่าการซักผ้ามันเหนื่อยเพียงใด" แต่แทนที่หลี่อวี้จิงจะถอนหายใจ หรือแสดงท่าทีอ่อนล้า นางกลับกวาดตามองรอบ ๆ ลานซักผ้าอย่างพินิจพิเคราะห์ นางสังเกตเห็นว่าบ่อน้ำอยู่ไม่ไกลนัก และรางไม้ที่ใช้รองรับน้ำไหลผ่านลานชักผ้านั้นถูกออกแบบให้สามารถแบ่งน้ำไปได้หลายทิศทาง "หากข้าใช้แรงมากเกินไป ข้าจะหมดแรงเร็วขึ้น เช่นนั้นก็ต้องใช้สติให้มากกว่ากำลัง" นางเดินไปใกล้บ่อและยกถังไม้ขึ้น แต่แทนที่จะตักน้ำด้วยแรงของตนเอง นางกลับใช้คานไม้ที่อยู่ใกล้เคียงมาพาดเป็นคานงัด ทำให้สามารถยกถังน้ำขึ้นได้โดยไม่ต้องออกแรงมาก "นางทำอะไรน่ะ?" บ่าวไพร่บางคนเริ่มสงสัย หลังจากนั้น นางนำผ้าหลายผืนไปแช่ในรางน้ำที่ไหลผ่านลานชักผ้า ก่อนจะใช้ไม้ซักผ้าขัดเพียงเบา ๆ แทนที่จะต้องออกแรงขยี้หนัก ๆ แบบที่บ่าวไพร่ทำ "ข้าเพียงแค่ใช้กระแสน้ำให้เป็นประโยชน์เท่านั้น" นางยิ้มบาง ๆ พลางใช้มือสะบัดฟองสบู่ให้หลุดจากเนื้อผ้าอย่างง่ายดาย ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ผ้าที่นางซักกลับสะอาดกว่าของบ่าวไพร่หลายคนที่ใช้แรงอย่างหนัก "เป็นไปได้อย่างไร!?" "นางโกงหรือไม่?" บ่าวไพร่หลายคนเริ่มหันมามองนางด้วยความตกตะลึง พวกนางไม่เข้าใจว่านางคุณหนูที่เคยเป็นสตรีอ่อนแอ หยิ่งยโส และไม่เคยแตะต้องงานหนักมาก่อน เหตุใดจึงสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าพวกตน? "ข้าเพียงใช้สติให้มากขึ้นเท่านั้น" หลี่อวี้จิงเอ่ยเสียงเรียบ พลางซักผ้าผืนสุดท้ายอย่างคล่องแคล่ว บ่าวไพร่บางคนเริ่มรู้สึกอับอาย นางที่ควรจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และถูกดูแคลน กลับทำให้พวกตนรู้สึกว่ากำลังใช้แรงอย่างสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ และในขณะเดียวกัน… ข่าวเรื่อง "นายหญิงแห่งจวนแม่ทัพลงมือซักผ้าได้เหนือชั้นกว่าบ่าวไพร่" ก็เริ่มกระจายไปทั่วจวนอย่างรวดเร็ว... ข่าวเรื่อง "นายหญิงแห่งจวนแม่ทัพซักผ้าได้เหนือชั้นกว่าบ่าวไพร่" แพร่กระจายไปทั่วจวนอย่างรวดเร็ว จนไปถึงหูของลู่เหรินเจ๋อ ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินรายงานจากองครักษ์คนสนิท "นายหญิงกำลังซักผ้า? และนางทำได้ดีกว่าบ่าวไพร่?" องครักษ์พยักหน้า "ขอรับ กระหม่อมเองก็ไม่เชื่อ จึงไปดูด้วยตาตนเอง นางใช้วิธีซักผ้าโดยอาศัยแรงน้ำและการจัดการที่ชาญฉลาด ทำให้สามารถซักผ้าได้รวดเร็วและสะอาดยิ่งกว่าบ่าวไพร่ที่ใช้แรงอย่างเดียว" ลู่เหรินเจ๋อขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจและสงสัย "หญิงผู้นั้น เคยเป็นคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?" เขาไม่เคยเห็นหลี่เหมยหยุนทำงานหนักมาก่อน นางเคยแต่ข่มเหงบ่าวไพร่ หยิ่งยโส และเอาแต่ใจ แต่สิ่งที่เขาได้ยินในวันนี้กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง "ข้าต้องไปดูให้เห็นกับตา" ที่ลานชักผ้า บ่าวไพร่บางคนยังคงซุบซิบด้วยความตกตะลึง หลี่อวี้จิงเองก็เพิ่งซักเสร็จ นางสะบัดน้ำออกจากมือก่อนจะบิดผ้าผืนสุดท้ายแล้วแขวนไว้ตาก ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเงียบกริบแต่หนักแน่นก็ดังขึ้น พร้อมกับเงาของบุรุษสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามา ทุกคนในลานเงียบกริบ บ่าวไพร่รีบหลบทางเมื่อเห็นร่างของ แม่ทัพลู่เหรินเจ๋อ ปรากฏตัว หลี่อวี้จิงที่กำลังจะเดินออกจากลานชักผ้าหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง สายตาของลู่เหรินเจ๋อเต็มไปด้วยความเย็นชาและจับจ้องไปที่นางราวกับต้องการอ่านทุกการกระทำของนาง "ข้ามิคิดเลยว่าฮูหยินของข้าจะขยันขันแข็งถึงเพียงนี้" เสียงของเขาแฝงไปด้วยความประชดประชัน หลี่อวี้จิงรู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากบุรุษตรงหน้า นางสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "งานซักผ้าไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงรู้วิธีจัดการ ย่อมทำได้ง่ายขึ้น" "หึ..." ลู่เหรินเจ๋อหัวเราะเย็นชา "เจ้าคิดว่าตนเองเปลี่ยนไปแล้วหรือ? คิดว่าเพียงแค่แสร้งทำเป็นขยันขันแข็ง แล้วข้าจะมองเจ้าเป็นสตรีที่ดีงั้นหรือ?" หลี่อวี้จิงสบตาเขาโดยไม่หลบเลี่ยง "ข้าก็มิได้คาดหวังให้ท่านมองข้าเป็นสตรีที่ดี แต่ข้าเพียงต้องการใช้ชีวิตของข้าโดยไม่ให้ใครดูแคลน" บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ต่างกลั้นหายใจไปตาม ๆ กัน ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา แม้แต่น้อย สายตาของลู่เหรินเจ๋อเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเหตุใดหลี่เหมยหยุนถึงเปลี่ยนไปมากเพียงนี้ แต่นางในตอนนี้แตกต่างจากหญิงที่เขาเคยรู้จักโดยสิ้นเชิง เขาจ้องหน้านางครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ "เช่นนั้น... ข้าก็อยากจะดูต่อไป ว่าเจ้าจะสามารถรักษาคำพูดนี้ได้นานแค่ไหน" พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงบ่าวไพร่ที่ยังคงตกตะลึง และหลี่อวี้จิงที่ยืนอยู่กลางลานชักผ้า พร้อมกับแววตาที่แน่วแน่กว่าเดิม... หลังจากเสร็จจากงานชักผ้า หลี่อวี้จิงรู้สึกเมื่อยล้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางไม่ได้ใช้แรงงานหนักมานาน ร่างกายจึงเริ่มส่งสัญญาณเตือน ท้องของนางร้องขึ้นเบา ๆ เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาต้องเติมพลัง นางหันไปหาบ่าวรับใช้คนสนิทที่ติดตามนางมาด้วย เป็นสาวใช้ตัวเล็ก ๆ นามว่า เสี่ยวถิง นางเป็นบ่าวที่ถูกส่งมาให้รับใช้นางเมื่อนางแต่งเข้ามาในจวน “เสี่ยวถิง ข้าหิวแล้ว ไปที่เรือนใหญ่กันเถอะ” เสี่ยวถิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “คุณหนู… เอ่อ… นายหญิงเจ้าคะ ปกติเรือนใหญ่มักจะเตรียมอาหารให้แต่คุณชายเล็กและแม่ทัพเพคะ นายหญิง… เอ่อ… ส่วนใหญ่ต้องสั่งให้บ่าวไปหาเอง” หลี่อวี้จิงขมวดคิ้ว “เช่นนั้นในเรือนของข้ามีอาหารหรือไม่?” เสี่ยวถิงก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด “เมื่อเช้าบ่าวไปดูที่โรงครัวมาแล้วเจ้าค่ะ ของที่ส่งมาถูกลดลง แถมไม่มีใครเตรียมสำรับไว้ให้เลย” นางชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า หลี่เหมยหยุนเดิมทีเป็นคนเอาแต่ใจและมักใช้กำลังบังคับให้บ่าวไพร่เชื่อฟัง พวกบ่าวไพร่ในเรือนนี้คงจงใจกลั่นแกล้งโดยไม่เตรียมอาหารให้นางเลย “ขนาดอาหารยังไม่ให้ข้ากิน นี่มันจวนแม่ทัพหรือจวนอสรพิษกันแน่?” นางบ่นในใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแล้วหันไปพูดกับเสี่ยวถิง “เช่นนั้นก็ไปโรงครัวกัน ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าในนั้นยังเหลือสิ่งใดให้ข้ากินได้บ้าง” โรงครัวจวนแม่ทัพ หลี่อวี้จิงเดินเข้าไปในโรงครัวพร้อมเสี่ยวถิง ภายในเต็มไปด้วยบ่าวที่กำลังจัดเตรียมอาหารสำหรับเรือนใหญ่ เมื่อบ่าวไพร่เห็นนางเดินเข้ามาก็พากันหยุดมือ มองนางด้วยแววตาสงสัยปนไม่พอใจ บางคนถึงกับกระซิบกันเบา ๆ "นางมาทำอะไรที่นี่?" "หรือจะมาสั่งให้เราทำอาหารให้นางอีก?" หลี่อวี้จิงไม่สนใจเสียงซุบซิบ นางกวาดตามองโรงครัวอย่างละเอียด และเห็นได้ชัดว่าอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้นั้น ล้วนแต่เป็นของสำหรับคนอื่นทั้งสิ้น ไม่มีส่วนใดที่เป็นของเรือนนางเลย “เสี่ยวถิง เจ้าไปดูสิว่ายังมีวัตถุดิบเหลือหรือไม่” เสี่ยวถิงรีบเดินไปเปิดตู้กับข้าวและห้องเก็บเสบียง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับสีหน้าลำบากใจ “นายหญิงเจ้าคะ… เหลือเพียงข้าวสารเล็กน้อย ไข่เป็ดสองฟอง และผักที่เริ่มเหี่ยวแล้วเจ้าค่ะ” หลี่อวี้จิงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางพอจะเดาได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้ง แต่นั่นมิใช่ปัญหา “เท่านี้ก็มากพอแล้ว” บ่าวไพร่ที่ได้ยินถึงกับงุนงง นางไม่โวยวาย? ไม่อาละวาด? แต่หลี่อวี้จิงกลับยกแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มลงมือหุงข้าว ตีไข่ และหั่นผักด้วยความคล่องแคล่ว กลิ่นหอมที่กระจายไปทั่ว หลังจากไม่นาน กลิ่นหอมของข้าวที่หุงใหม่ ๆ ผสมกับกลิ่นไข่เจียวและผัดผักก็ลอยอบอวลไปทั่วโรงครัว “หืม? กลิ่นอะไรกัน?” “เหตุใดกลิ่นถึงน่ากินถึงเพียงนี้?” บ่าวไพร่ที่เฝ้ามองอยู่เริ่มกลืนน้ำลาย พวกนางเคยชินกับอาหารที่พ่อครัวในจวนทำ ซึ่งมักเป็นอาหารที่ซับซ้อนและปรุงด้วยเครื่องเทศมากมาย แต่นี่เป็นเพียงข้าว ไข่ และผักธรรมดา แต่กลับส่งกลิ่นหอมน่ากินจนน่าเหลือเชื่อ หลี่อวี้จิงตักข้าวใส่จาน วางไข่เจียวและผัดผักลงไป ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วลองชิม “อืม… รสชาติใช้ได้” นางพยักหน้าพอใจ ก่อนจะยื่นอีกจานให้เสี่ยวถิง “เจ้ากินด้วยกันเถอะ” เสี่ยวถิงเบิกตากว้าง นางไม่คิดว่านายหญิงของตนจะทำอาหารได้ แต่เมื่อรับมาและลองชิม นางก็ต้องตกใจ "อร่อยมากเจ้าค่ะ!" บ่าวไพร่ที่เฝ้ามองอยู่ต่างพากันกลืนน้ำลาย พวกนางไม่เคยเห็นนายหญิงในลักษณะนี้มาก่อนเลย… และในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นที่หน้าประตูโรงครัว ทุกคนหันไปมอง และพบว่า ลู่เหรินเจ๋อ ยืนอยู่ที่ทางเข้า สายตาของเขามองตรงมายังหลี่อวี้จิงอย่างลึกซึ้ง…หลี่อวี้จิงมองกองผ้ากองโตตรงหน้าอย่างสงบ แม้มือจะเริ่มเปียกน้ำจากการชักผ้า แต่นางยังคงสงบนิ่ง ไร้ซึ่งท่าทีอิดออดเหมือนที่บ่าวไพร่คาดหวังเสียงซุบซิบดังขึ้นรอบด้าน"ดูสิ นางกำลังจะยอมแพ้หรือเปล่า?""หึ! นางคุณหนูเคยแต่ใช้นิ้วชี้สั่งคนอื่น คงไม่รู้หรอกว่าการซักผ้ามันเหนื่อยเพียงใด"แต่แทนที่หลี่อวี้จิงจะถอนหายใจ หรือแสดงท่าทีอ่อนล้า นางกลับกวาดตามองรอบ ๆ ลานซักผ้าอย่างพินิจพิเคราะห์ นางสังเกตเห็นว่าบ่อน้ำอยู่ไม่ไกลนัก และรางไม้ที่ใช้รองรับน้ำไหลผ่านลานชักผ้านั้นถูกออกแบบให้สามารถแบ่งน้ำไปได้หลายทิศทาง"หากข้าใช้แรงมากเกินไป ข้าจะหมดแรงเร็วขึ้น เช่นนั้นก็ต้องใช้สติให้มากกว่ากำลัง"นางเดินไปใกล้บ่อและยกถังไม้ขึ้น แต่แทนที่จะตักน้ำด้วยแรงของตนเอง นางกลับใช้คานไม้ที่อยู่ใกล้เคียงมาพาดเป็นคานงัด ทำให้สามารถยกถังน้ำขึ้นได้โดยไม่ต้องออกแรงมาก"นางทำอะไรน่ะ?" บ่าวไพร่บางคนเริ่มสงสัยหลังจากนั้น นางนำผ้าหลายผืนไปแช่ในรางน้ำที่ไหลผ่านลานชักผ้า ก่อนจะใช้ไม้ซักผ้าขัดเพียงเบา ๆ แทนที่จะต้องออกแรงขยี้หนัก ๆ แบบที่บ่าวไพร่ทำ"ข้าเพียงแค่ใช้กระแสน้ำให้เป็นประโยชน์เท่านั้น" นางยิ้มบาง ๆ พลางใช้มือสะบัดฟ
แสงแดดยามสายส่องกระทบผืนน้ำในสระบัว ทำให้เกิดประกายระยิบระยับ ดอกบัวหลากสีบานสะพรั่ง แผ่นใบบัวเขียวขจีลอยนิ่งเหนือผิวน้ำ ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ ช่วยให้บรรยากาศดูผ่อนคลายหลี่อวี้จิงยืนอยู่บนสะพานหินที่ทอดข้ามสระบัว นางทอดสายตามองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ทุกสิ่งในที่แห่งนี้ดูงดงามราวภาพวาด แต่ภายในจวนแห่งนี้กลับเย็นชาไร้ชีวิตชีวา"นางปีศาจตัวจริงถึงกับยอมออกมาเดินเล่นกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?"เสียงทุ้มต่ำเย็นชาเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง หลี่อวี้จิงหันกลับไปมอง ก็พบชายร่างสูงสง่าผู้หนึ่งยืนกอดอกอยู่ หัวคิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ราวกับกำลังพิจารณาบางสิ่ง"ท่านลู่เหรินเจ๋อ?" นางเรียกชื่อเขาออกมาโดยไม่รู้ตัวลู่เหรินเจ๋อจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะกวาดมองรูปลักษณ์ของนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า "ข้าเกือบจำเจ้าไม่ได้..."หลี่อวี้จิงขมวดคิ้วเล็กน้อย "ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น?"ลู่เหรินเจ๋อยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย คล้ายรอยยิ้มแต่ก็ไม่ใช่ "ปกติเจ้ามักจะอยู่ในสภาพรกรุงรัง ราวกับไม่เคยสนใจตัวเอง แต่วันนี้กลับแต่งตัวเรียบร้อย ดูสะอาดสะอ้านขึ้นผิดหูผิดตา น่าประหลาดนัก หรือว่าเจ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเ
หลังจากที่หลี่อวี้จิง หลี่เหมยหยุนในร่างใหม่ ได้จัดการอาบน้ำและเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองจนดูสะอาดสะอ้านและสง่างามกว่าเดิม นางก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่นและมั่นใจมากขึ้น"ถึงแม้ข้าจะอยู่ในร่างของหญิงที่ไม่มีใครรัก แต่ข้าก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่กับอดีต" นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปสำรวจภายในจวนเมื่อเดินออกจากเรือนพัก นางก็สัมผัสได้ถึงอากาศบริสุทธิ์และกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบลาน แม้จวนของลู่เหรินเจ๋อจะดูโอ่อ่าและยิ่งใหญ่สมฐานะบุรุษผู้มีอำนาจ แต่บรรยากาศกลับเงียบสงบ ราวกับไร้ชีวิตชีวาไม่นานนัก เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ สองคู่ก็ดังขึ้นจากอีกฟากของทางเดิน"นางปีศาจออกมาแล้ว!"เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างตกใจ นางหันไปมองตามเสียง ก่อนจะเห็นเด็กชายสองคนที่ยืนจับมือกันแน่น พวกเขาตัวเล็กกว่าวัยที่นางคาดไว้ หน้าตาของทั้งคู่มีเค้าโครงเดียวกับลู่เหรินเจ๋อโดยไม่ต้องสงสัย"เจ้าสองคน..." นางเอ่ยขึ้นเบา ๆแต่ไม่ทันที่นางจะพูดอะไรต่อ เด็กชายที่โตกว่าก็รีบยืนกำหมัดแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง "เจ้าอย่าคิดว่าอาบน้ำแล้วจะเปลี่ยนไปได้! พวกข้ารู้ว่าเจ้าชอบทุบตีพวกข้า!"เด็กชายอีกคนที
หลี่อวี้จิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย ไม่ใช่เพราะร่างกายเจ็บปวดจากอุบัติเหตุ แต่เพราะหัวใจของเธอมันแตกสลาย เมื่อต้องสูญเสียความรักที่เคยมีทุกสิ่ง ทุกอย่างในชีวิตของเธอค่อย ๆ หลุดลอยไปจากมือ การเลือกที่ผิดพลาดในชีวิตคู่ทำให้เธอไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว วันหนึ่ง ขณะที่นั่งอยู่ในห้องมืด ๆ เธอได้พบกับหนังสือเก่าเล่มหนึ่งที่พ่อแม่เคยทิ้งไว้ ก่อนที่จะตัดสินใจเปิดมันขึ้น เธอก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นประตูสู่โลกที่เธอไม่เคยรู้จัก หนังสือเล่มนั้นไม่ได้แค่บอกเล่าความรู้หรือเรื่องราวในอดีต แต่มันพาเธอไปสู่สถานที่หนึ่งที่เต็มไปด้วยอันตราย ความลึกลับ และการต่อสู้ที่ยากจะเข้าใจ หลี่อวี้จิงรู้สึกตัวอีกทีเมื่อภาพทุกอย่างรอบตัวเธอเริ่มเบลอไป แล้วเธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เมื่อมองไปข้างๆ เธอเห็นสภาพแวดล้อมที่เป็นห้องหรูหราแบบจีนโบราณ ภาพผนังที่แกะสลักลวดลายและเครื่องเรือนที่สวยงามบ่งบอกว่าเธออยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่โลกเดิมของเธอ เธอพยายามรวบรวมสติ แต่มือที่ยื่นออกมาจากกระจกเงากลับไม่ใช่มือของเธอเอง มันเป็นมือของผู้หญิงอีกคนที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกัน แต่ที่แตกต่างออกไปคือใบหน้าของผู้หญิงใน