กลิ่นอาหารหอมกรุ่นยังคงอบอวลอยู่ในโรงครัว แต่ทุกคนกลับรู้สึกเหมือนอุณหภูมิรอบตัวลดลงฉับพลัน เมื่อร่างสูงสง่าของ ลู่เหรินเจ๋อ ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู
บ่าวไพร่พากันค้อมศีรษะหลบสายตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง "แม่ทัพ..." บางคนพึมพำเสียงสั่น เพราะไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพเดินมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่สะทกสะท้านต่อบรรยากาศกดดันนั้น… หลี่อวี้จิง นางเหลือบมองพระเอกที่ยืนอยู่ตรงนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปหยิบตะเกียบ คีบข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก จากนั้นก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปากแบบลวก ๆ เมื่อเห็นว่าลู่เหรินเจ๋อยังคงยืนจ้องนางนิ่ง ๆ นางก็พ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เหม็นขี้หน้า" เสียงนั้นดังชัดเจนในโรงครัวเงียบกริบ บ่าวไพร่พากันตัวสั่น นายหญิงเอ่ยวาจาสามหาวต่อท่านแม่ทัพ! ลู่เหรินเจ๋อชะงักไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะคำพูดของนาง แต่เพราะน้ำเสียงที่เปล่งออกมา มันเต็มไปด้วยความรำคาญจริง ๆ ไม่มีแม้แต่ความเกรงกลัวหรือยำเกรงแม้แต่น้อย นางพูดจบก็หันหลังเดินหนีทันทีโดยไม่รอฟังปฏิกิริยาของเขา ทิ้งให้บ่าวไพร่และเสี่ยวถิงอ้าปากค้าง "คุณหนู! เอ่อ... นายหญิง!" เสี่ยวถิงรีบตามหลังไปด้วยความตกใจ แต่ลู่เหรินเจ๋อกลับยืนมองแผ่นหลังของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย "เหม็นขี้หน้า?" เขาทวนคำพูดของนางเบา ๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นช้า ๆ หลี่เหมยหยุนที่เขาเคยรู้จัก ไม่มีทางกล้าพูดกับเขาแบบนี้ นางเคยออดอ้อน อ้างสิทธิ์ของภรรยา และพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้เขาเหลียวมอง แต่หญิงตรงหน้ากลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง นางทั้งเมินเฉย ทั้งพูดจาเสียมารยาทใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ และที่สำคัญ… นางดู ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ลู่เหรินเจ๋อหลุบตาลง คิดอะไรบางอย่างในใจ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปเช่นกัน เรือนของหลี่อวี้จิง เมื่อกลับมาถึงเรือน เสี่ยวถิงก็รีบวิ่งตามมาด้วยความร้อนรน "นายหญิง! เหตุใดท่านจึงพูดจาเช่นนั้นกับท่านแม่ทัพ!?" หลี่อวี้จิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย "ข้าต้องพูดเพราะกับเขาหรือ?" "แต่ว่า !" " เจ้าอย่าลืมสิว่าแม่ทัพลู่ของเจ้ามิเคยใส่ใจข้าเลยด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดข้าต้องใส่ใจเขาด้วย?" เสี่ยวถิงอ้าปากค้างก่อนจะนิ่งไป นางไม่อาจโต้แย้งได้จริง ๆ หลี่อวี้จิงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาของนางฉายแววครุ่นคิด หากเขามองว่านางเป็นแค่ของไร้ค่า นางก็จะไม่เสียเวลาสนใจเขาเช่นกัน แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ... การที่นางไม่สนใจเขานั้น กลับยิ่งทำให้แม่ทัพหนุ่มเริ่มให้ความสนใจในตัวนางมากขึ้นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว... หลี่อวี้จิงนั่งพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคลอไปด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้นางต้องเผชิญกับงานชักผ้าที่หนักหน่วง ไหนจะต้องไปหาของกินในโรงครัวท่ามกลางสายตาดูถูกของบ่าวไพร่อีก แต่เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้คงต้องรับมือกับเรื่องยุ่งยากอีก นางก็รู้สึกปลง… "เฮ้อ..." นางถอนหายใจยาว แล้วหลับตาลงชั่วครู่ แต่ไม่ทันที่นางจะได้พักนาน เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นด้านนอกเรือน พร้อมกับเสียงบ่าวไพร่ที่รีบโค้งคำนับ "คารวะท่านแม่ทัพ!" "ท่านแม่ทัพมาแล้วเจ้าค่ะ!" เสี่ยวถิงรีบสะกิดนางเบา ๆ ด้วยความตกใจ หลี่อวี้จิงลืมตาขึ้นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย นางยังไม่ทันจะหายเหนื่อยดี หมอนั่นก็ตามมาถึงที่นี่อีกแล้วหรือ? และแล้วร่างสูงของ ลู่เหรินเจ๋อ ก็เดินเข้ามาในห้องโถงของเรือนอย่างสง่าผ่าเผย ชายหนุ่มสวมชุดแม่ทัพสีดำปักลวดลายมังกรอันทรงอำนาจ ใบหน้าหล่อเหลายังคงเย็นชาและเฉยเมย ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่นาง หลี่อวี้จิงยังคงนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นต้อนรับราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ นางเพียงปรายตามองเขาอย่างเฉยชา "มีธุระอะไร?" นางถามเสียงเรียบ บรรยากาศในห้องเงียบกริบไปชั่วขณะ บ่าวไพร่รอบ ๆ พากันตัวสั่น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดกับแม่ทัพลู่ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้! ลู่เหรินเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับท่าทีไม่แยแสของนาง แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงแค่ตวัดสายตาไปทางบ่าวรับใช้ ก่อนที่เหล่าบ่าวจะรีบนำสำรับอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะตรงหน้านาง อาหารทั้งหมดถูกจัดเรียงอย่างประณีต มีทั้งซุปไก่ตุ๋นสมุนไพร ผัดผักสดใหม่ และข้าวหอมกรุ่น หลี่อวี้จิงเหลือบมองสำรับอาหารด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย "นี่มันอะไร?" ลู่เหรินเจ๋อทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามนาง สายตาของเขายังคงเฉยชาและหยิ่งทระนงเช่นเคย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เจ้าทำอาหารเอง ดูท่าจะไม่มีผู้ใดเตรียมสำรับให้ ข้าจึงให้แม่ครัวทำมาให้ใหม่" บ่าวไพร่รอบ ๆ ต่างพากันเบิกตากว้าง ท่านแม่ทัพลู่เป็นผู้สั่งให้แม่ครัวทำอาหารให้กับนายหญิงเอง!? เสี่ยวถิงถึงกับตะลึง นางไม่คิดว่านายของตนจะได้รับความใส่ใจเช่นนี้ แต่ในขณะที่ทุกคนตกตะลึงกับความเมตตาของแม่ทัพหนุ่ม หลี่อวี้จิงกลับมองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ข้าคิดว่าท่านไม่ต้องการเห็นหน้าข้าเสียอีก" ลู่เหรินเจ๋อจ้องหน้านางนิ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "อย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่ไม่ต้องการให้เจ้าไปวุ่นวายในโรงครัวจนทำให้บ่าวไพร่แตกตื่น" หลี่อวี้จิงหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ "เช่นนั้นหรือ?" สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาตักอาหารเข้าปากโดยไม่รอให้เขาเอ่ยอะไรอีก บ่าวไพร่พากันลอบมองด้วยความลุ้นระทึก นายหญิงจะซาบซึ้งใจหรือไม่!? แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ หลี่อวี้จิงเพียงแค่กินไปอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าอาหารนี้เป็นสิ่งที่ควรได้รับอยู่แล้ว "รสชาติใช้ได้" นางเอ่ยเรียบ ๆ ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีท่าทีตื้นตันใจ มีเพียงท่าทางเฉยเมยที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง ลู่เหรินเจ๋อมองนางเงียบ ๆ ดวงตาคมกริบจับจ้องใบหน้าของนางที่กำลังกินข้าวอย่างสงบ เขาพบว่านับตั้งแต่ที่นาง เปลี่ยนไป นางไม่ได้แสดงความพยายามจะเอาใจเขาเลย นางไม่ออดอ้อน ไม่พยายามเรียกร้องความสนใจจากเขา และยิ่งกว่านั้น… นางไม่แม้แต่จะแคร์ว่าความรู้สึกของเขาจะเป็นเช่นไร นี่เป็นสิ่งที่ลู่เหรินเจ๋อไม่คุ้นชิน "ดี" เขาเอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “กินให้อิ่ม ข้าไม่อยากเห็นเจ้าล้มป่วยให้วุ่นวาย” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากเรือน ทิ้งให้หลี่อวี้จิงนั่งกินต่อไปตามลำพัง แต่ถึงแม้เขาจะเดินจากไปแล้ว ดวงตาของหลี่อวี้จิงกลับมีแววครุ่นคิด “หมอนี่มาไม้ไหนกันแน่?” แม้ปากจะยังเย็นชา แต่การกระทำของเขากลับดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด…เช้าวันถัดมา ภายในลานกว้างของจวนแม่ทัพ บรรดาบ่าวไพร่พากันจับกลุ่มกระซิบกระซาบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด"ได้ยินว่าคุณหนูซ่งพาแขกมาที่จวน""แขกอะไรกันล่ะ? ข้าได้ยินว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนางหลายคน พวกนางต้องการมาทดสอบนายหญิงของเรา!"บ่าวไพร่ต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดจู่ๆ คุณหนูซ่งจึงพาสตรีชั้นสูงจากจวนต่างๆ มาที่นี่ โดยอ้างว่าต้องการ "เยี่ยมเยียน" หลี่อวี้จิงในเรือนรับรองแขก ซ่งเยว่หรงในชุดสีชมพูอ่อนปักลายกลีบบัว ดูอ่อนหวานและสง่างาม นางยิ้มอ่อนโยน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน"วันนี้ข้าพาคุณหนูจากตระกูลขุนนางมาทักทายคุณนายของจวนแม่ทัพ ข้าได้ยินมาว่าคุณนายลู่เป็นสตรีที่มีความสามารถ จึงอยากขอเรียนรู้จากท่านบ้าง"หญิงสาวที่มาด้วยกันต่างพากันหัวเราะเบา ๆ แววตาของพวกนางมีทั้งเยาะหยันและดูแคลน"จริงหรือเจ้าคะ?" คุณหนูจากตระกูลหลี่แสร้งเอ่ยเสียงอ่อนหวาน "ข้าได้ยินว่าคุณนายลหลี่เหมยหยุนเดิมเป็นสตรีอ่อนแอไร้ความสามารถ มิหนำซ้ำยังชอบทุบตีเด็ก ๆ เมื่อคราวก่อน แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนละคน ข้าอดทึ่งมิได้จริง ๆ"บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความกดดัน บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ต่างตัวสั่น พวกนางรู้ดีว่
หลี่อวี้จิงเพิ่งกินอาหารเสร็จและกำลังจะเอนตัวพักผ่อนหลังจากวันที่เหน็ดเหนื่อยแต่ก่อนที่นางจะได้พัก เสียงอึกทึกก็ดังขึ้นที่หน้าตำหนัก"บังอาจ! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้กล้าทำตัวสูงส่งเช่นนี้!?"เสียงแหลมสูงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น ก่อนที่บ่าวไพร่จะรีบวิ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก"นายหญิง! คุณหนูซ่งมาหาเรื่องเจ้าค่ะ!"หลี่อวี้จิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางยังไม่ทันจะตอบอะไร เสียงฝีเท้าก็เร่งรุดเข้ามาด้านในร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดแพรไหมหรูหราสีแดงสดเดินเข้ามาอย่างองอาจ นางมีใบหน้างดงามแต่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง สายตาที่มองมาที่หลี่อวี้จิงเต็มไปด้วยความดูแคลนซ่งเยว่หรงบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายขวา หญิงสาวที่เป็นที่หมายปองของเหล่าขุนนางและคุณชายชั้นสูง นางตกหลุมรักลู่เหรินเจ๋อมานานแล้ว แต่สุดท้ายกลับต้องเห็นเขาแต่งงานกับหลี่เหมยหยุน หญิงที่นางดูถูกว่าเป็นเพียงของไร้ค่าซ่งเยว่หรงกวาดตามองหลี่อวี้จิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม"เจ้าช่างไม่เจียมตัวจริง ๆ คิดว่าตัวเองเป็นนายหญิงของจวนแม่ทัพแล้วจะสามารถเทียบชั้นกับข้าได้อย่างนั้นหรือ?"หลี่อ
กลิ่นอาหารหอมกรุ่นยังคงอบอวลอยู่ในโรงครัว แต่ทุกคนกลับรู้สึกเหมือนอุณหภูมิรอบตัวลดลงฉับพลัน เมื่อร่างสูงสง่าของ ลู่เหรินเจ๋อ ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูบ่าวไพร่พากันค้อมศีรษะหลบสายตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง"แม่ทัพ..." บางคนพึมพำเสียงสั่น เพราะไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพเดินมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดแต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่สะทกสะท้านต่อบรรยากาศกดดันนั้น…หลี่อวี้จิงนางเหลือบมองพระเอกที่ยืนอยู่ตรงนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปหยิบตะเกียบ คีบข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก จากนั้นก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปากแบบลวก ๆเมื่อเห็นว่าลู่เหรินเจ๋อยังคงยืนจ้องนางนิ่ง ๆ นางก็พ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"เหม็นขี้หน้า"เสียงนั้นดังชัดเจนในโรงครัวเงียบกริบบ่าวไพร่พากันตัวสั่น นายหญิงเอ่ยวาจาสามหาวต่อท่านแม่ทัพ!ลู่เหรินเจ๋อชะงักไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะคำพูดของนาง แต่เพราะน้ำเสียงที่เปล่งออกมา มันเต็มไปด้วยความรำคาญจริง ๆ ไม่มีแม้แต่ความเกรงกลัวหรือยำเกรงแม้แต่น้อยนางพูดจบก็หันหลังเดินหนีทันทีโดยไม่รอฟังปฏิกิริยาของเขา ทิ้งให้บ่าวไพร่และเสี่ยวถิงอ้าปากค้าง"คุณหนู! เอ่อ... นายหญิง!" เสี่ยวถิงรีบ
หลี่อวี้จิงมองกองผ้ากองโตตรงหน้าอย่างสงบ แม้มือจะเริ่มเปียกน้ำจากการชักผ้า แต่นางยังคงสงบนิ่ง ไร้ซึ่งท่าทีอิดออดเหมือนที่บ่าวไพร่คาดหวังเสียงซุบซิบดังขึ้นรอบด้าน"ดูสิ นางกำลังจะยอมแพ้หรือเปล่า?""หึ! นางคุณหนูเคยแต่ใช้นิ้วชี้สั่งคนอื่น คงไม่รู้หรอกว่าการซักผ้ามันเหนื่อยเพียงใด"แต่แทนที่หลี่อวี้จิงจะถอนหายใจ หรือแสดงท่าทีอ่อนล้า นางกลับกวาดตามองรอบ ๆ ลานซักผ้าอย่างพินิจพิเคราะห์ นางสังเกตเห็นว่าบ่อน้ำอยู่ไม่ไกลนัก และรางไม้ที่ใช้รองรับน้ำไหลผ่านลานชักผ้านั้นถูกออกแบบให้สามารถแบ่งน้ำไปได้หลายทิศทาง"หากข้าใช้แรงมากเกินไป ข้าจะหมดแรงเร็วขึ้น เช่นนั้นก็ต้องใช้สติให้มากกว่ากำลัง"นางเดินไปใกล้บ่อและยกถังไม้ขึ้น แต่แทนที่จะตักน้ำด้วยแรงของตนเอง นางกลับใช้คานไม้ที่อยู่ใกล้เคียงมาพาดเป็นคานงัด ทำให้สามารถยกถังน้ำขึ้นได้โดยไม่ต้องออกแรงมาก"นางทำอะไรน่ะ?" บ่าวไพร่บางคนเริ่มสงสัยหลังจากนั้น นางนำผ้าหลายผืนไปแช่ในรางน้ำที่ไหลผ่านลานชักผ้า ก่อนจะใช้ไม้ซักผ้าขัดเพียงเบา ๆ แทนที่จะต้องออกแรงขยี้หนัก ๆ แบบที่บ่าวไพร่ทำ"ข้าเพียงแค่ใช้กระแสน้ำให้เป็นประโยชน์เท่านั้น" นางยิ้มบาง ๆ พลางใช้มือสะบัดฟ
แสงแดดยามสายส่องกระทบผืนน้ำในสระบัว ทำให้เกิดประกายระยิบระยับ ดอกบัวหลากสีบานสะพรั่ง แผ่นใบบัวเขียวขจีลอยนิ่งเหนือผิวน้ำ ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ ช่วยให้บรรยากาศดูผ่อนคลายหลี่อวี้จิงยืนอยู่บนสะพานหินที่ทอดข้ามสระบัว นางทอดสายตามองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ทุกสิ่งในที่แห่งนี้ดูงดงามราวภาพวาด แต่ภายในจวนแห่งนี้กลับเย็นชาไร้ชีวิตชีวา"นางปีศาจตัวจริงถึงกับยอมออกมาเดินเล่นกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?"เสียงทุ้มต่ำเย็นชาเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง หลี่อวี้จิงหันกลับไปมอง ก็พบชายร่างสูงสง่าผู้หนึ่งยืนกอดอกอยู่ หัวคิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ราวกับกำลังพิจารณาบางสิ่ง"ท่านลู่เหรินเจ๋อ?" นางเรียกชื่อเขาออกมาโดยไม่รู้ตัวลู่เหรินเจ๋อจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะกวาดมองรูปลักษณ์ของนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า "ข้าเกือบจำเจ้าไม่ได้..."หลี่อวี้จิงขมวดคิ้วเล็กน้อย "ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น?"ลู่เหรินเจ๋อยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย คล้ายรอยยิ้มแต่ก็ไม่ใช่ "ปกติเจ้ามักจะอยู่ในสภาพรกรุงรัง ราวกับไม่เคยสนใจตัวเอง แต่วันนี้กลับแต่งตัวเรียบร้อย ดูสะอาดสะอ้านขึ้นผิดหูผิดตา น่าประหลาดนัก หรือว่าเจ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเ
หลังจากที่หลี่อวี้จิง หลี่เหมยหยุนในร่างใหม่ ได้จัดการอาบน้ำและเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองจนดูสะอาดสะอ้านและสง่างามกว่าเดิม นางก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่นและมั่นใจมากขึ้น"ถึงแม้ข้าจะอยู่ในร่างของหญิงที่ไม่มีใครรัก แต่ข้าก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่กับอดีต" นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปสำรวจภายในจวนเมื่อเดินออกจากเรือนพัก นางก็สัมผัสได้ถึงอากาศบริสุทธิ์และกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบลาน แม้จวนของลู่เหรินเจ๋อจะดูโอ่อ่าและยิ่งใหญ่สมฐานะบุรุษผู้มีอำนาจ แต่บรรยากาศกลับเงียบสงบ ราวกับไร้ชีวิตชีวาไม่นานนัก เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ สองคู่ก็ดังขึ้นจากอีกฟากของทางเดิน"นางปีศาจออกมาแล้ว!"เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างตกใจ นางหันไปมองตามเสียง ก่อนจะเห็นเด็กชายสองคนที่ยืนจับมือกันแน่น พวกเขาตัวเล็กกว่าวัยที่นางคาดไว้ หน้าตาของทั้งคู่มีเค้าโครงเดียวกับลู่เหรินเจ๋อโดยไม่ต้องสงสัย"เจ้าสองคน..." นางเอ่ยขึ้นเบา ๆแต่ไม่ทันที่นางจะพูดอะไรต่อ เด็กชายที่โตกว่าก็รีบยืนกำหมัดแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง "เจ้าอย่าคิดว่าอาบน้ำแล้วจะเปลี่ยนไปได้! พวกข้ารู้ว่าเจ้าชอบทุบตีพวกข้า!"เด็กชายอีกคนที
หลี่อวี้จิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย ไม่ใช่เพราะร่างกายเจ็บปวดจากอุบัติเหตุ แต่เพราะหัวใจของเธอมันแตกสลาย เมื่อต้องสูญเสียความรักที่เคยมีทุกสิ่ง ทุกอย่างในชีวิตของเธอค่อย ๆ หลุดลอยไปจากมือ การเลือกที่ผิดพลาดในชีวิตคู่ทำให้เธอไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว วันหนึ่ง ขณะที่นั่งอยู่ในห้องมืด ๆ เธอได้พบกับหนังสือเก่าเล่มหนึ่งที่พ่อแม่เคยทิ้งไว้ ก่อนที่จะตัดสินใจเปิดมันขึ้น เธอก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นประตูสู่โลกที่เธอไม่เคยรู้จัก หนังสือเล่มนั้นไม่ได้แค่บอกเล่าความรู้หรือเรื่องราวในอดีต แต่มันพาเธอไปสู่สถานที่หนึ่งที่เต็มไปด้วยอันตราย ความลึกลับ และการต่อสู้ที่ยากจะเข้าใจ หลี่อวี้จิงรู้สึกตัวอีกทีเมื่อภาพทุกอย่างรอบตัวเธอเริ่มเบลอไป แล้วเธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เมื่อมองไปข้างๆ เธอเห็นสภาพแวดล้อมที่เป็นห้องหรูหราแบบจีนโบราณ ภาพผนังที่แกะสลักลวดลายและเครื่องเรือนที่สวยงามบ่งบอกว่าเธออยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่โลกเดิมของเธอ เธอพยายามรวบรวมสติ แต่มือที่ยื่นออกมาจากกระจกเงากลับไม่ใช่มือของเธอเอง มันเป็นมือของผู้หญิงอีกคนที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกัน แต่ที่แตกต่างออกไปคือใบหน้าของผู้หญิงใน