กลิ่นอาหารหอมกรุ่นยังคงอบอวลอยู่ในโรงครัว แต่ทุกคนกลับรู้สึกเหมือนอุณหภูมิรอบตัวลดลงฉับพลัน เมื่อร่างสูงสง่าของ ลู่เหรินเจ๋อ ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู
บ่าวไพร่พากันค้อมศีรษะหลบสายตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง "แม่ทัพ..." บางคนพึมพำเสียงสั่น เพราะไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพเดินมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่สะทกสะท้านต่อบรรยากาศกดดันนั้น… หลี่อวี้จิง นางเหลือบมองพระเอกที่ยืนอยู่ตรงนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปหยิบตะเกียบ คีบข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก จากนั้นก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปากแบบลวก ๆ เมื่อเห็นว่าลู่เหรินเจ๋อยังคงยืนจ้องนางนิ่ง ๆ นางก็พ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เหม็นขี้หน้า" เสียงนั้นดังชัดเจนในโรงครัวเงียบกริบ บ่าวไพร่พากันตัวสั่น นายหญิงเอ่ยวาจาสามหาวต่อท่านแม่ทัพ! ลู่เหรินเจ๋อชะงักไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะคำพูดของนาง แต่เพราะน้ำเสียงที่เปล่งออกมา มันเต็มไปด้วยความรำคาญจริง ๆ ไม่มีแม้แต่ความเกรงกลัวหรือยำเกรงแม้แต่น้อย นางพูดจบก็หันหลังเดินหนีทันทีโดยไม่รอฟังปฏิกิริยาของเขา ทิ้งให้บ่าวไพร่และเสี่ยวถิงอ้าปากค้าง "คุณหนู! เอ่อ... นายหญิง!" เสี่ยวถิงรีบตามหลังไปด้วยความตกใจ แต่ลู่เหรินเจ๋อกลับยืนมองแผ่นหลังของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย "เหม็นขี้หน้า?" เขาทวนคำพูดของนางเบา ๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นช้า ๆ หลี่เหมยหยุนที่เขาเคยรู้จัก ไม่มีทางกล้าพูดกับเขาแบบนี้ นางเคยออดอ้อน อ้างสิทธิ์ของภรรยา และพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้เขาเหลียวมอง แต่หญิงตรงหน้ากลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง นางทั้งเมินเฉย ทั้งพูดจาเสียมารยาทใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ และที่สำคัญ… นางดู ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ลู่เหรินเจ๋อหลุบตาลง คิดอะไรบางอย่างในใจ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปเช่นกัน เรือนของหลี่อวี้จิง เมื่อกลับมาถึงเรือน เสี่ยวถิงก็รีบวิ่งตามมาด้วยความร้อนรน "นายหญิง! เหตุใดท่านจึงพูดจาเช่นนั้นกับท่านแม่ทัพ!?" หลี่อวี้จิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย "ข้าต้องพูดเพราะกับเขาหรือ?" "แต่ว่า !" " เจ้าอย่าลืมสิว่าแม่ทัพลู่ของเจ้ามิเคยใส่ใจข้าเลยด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดข้าต้องใส่ใจเขาด้วย?" เสี่ยวถิงอ้าปากค้างก่อนจะนิ่งไป นางไม่อาจโต้แย้งได้จริง ๆ หลี่อวี้จิงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาของนางฉายแววครุ่นคิด หากเขามองว่านางเป็นแค่ของไร้ค่า นางก็จะไม่เสียเวลาสนใจเขาเช่นกัน แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ... การที่นางไม่สนใจเขานั้น กลับยิ่งทำให้แม่ทัพหนุ่มเริ่มให้ความสนใจในตัวนางมากขึ้นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว... หลี่อวี้จิงนั่งพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคลอไปด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้นางต้องเผชิญกับงานชักผ้าที่หนักหน่วง ไหนจะต้องไปหาของกินในโรงครัวท่ามกลางสายตาดูถูกของบ่าวไพร่อีก แต่เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้คงต้องรับมือกับเรื่องยุ่งยากอีก นางก็รู้สึกปลง… "เฮ้อ..." นางถอนหายใจยาว แล้วหลับตาลงชั่วครู่ แต่ไม่ทันที่นางจะได้พักนาน เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นด้านนอกเรือน พร้อมกับเสียงบ่าวไพร่ที่รีบโค้งคำนับ "คารวะท่านแม่ทัพ!" "ท่านแม่ทัพมาแล้วเจ้าค่ะ!" เสี่ยวถิงรีบสะกิดนางเบา ๆ ด้วยความตกใจ หลี่อวี้จิงลืมตาขึ้นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย นางยังไม่ทันจะหายเหนื่อยดี หมอนั่นก็ตามมาถึงที่นี่อีกแล้วหรือ? และแล้วร่างสูงของ ลู่เหรินเจ๋อ ก็เดินเข้ามาในห้องโถงของเรือนอย่างสง่าผ่าเผย ชายหนุ่มสวมชุดแม่ทัพสีดำปักลวดลายมังกรอันทรงอำนาจ ใบหน้าหล่อเหลายังคงเย็นชาและเฉยเมย ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่นาง หลี่อวี้จิงยังคงนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นต้อนรับราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ นางเพียงปรายตามองเขาอย่างเฉยชา "มีธุระอะไร?" นางถามเสียงเรียบ บรรยากาศในห้องเงียบกริบไปชั่วขณะ บ่าวไพร่รอบ ๆ พากันตัวสั่น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดกับแม่ทัพลู่ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้! ลู่เหรินเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับท่าทีไม่แยแสของนาง แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงแค่ตวัดสายตาไปทางบ่าวรับใช้ ก่อนที่เหล่าบ่าวจะรีบนำสำรับอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะตรงหน้านาง อาหารทั้งหมดถูกจัดเรียงอย่างประณีต มีทั้งซุปไก่ตุ๋นสมุนไพร ผัดผักสดใหม่ และข้าวหอมกรุ่น หลี่อวี้จิงเหลือบมองสำรับอาหารด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย "นี่มันอะไร?" ลู่เหรินเจ๋อทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามนาง สายตาของเขายังคงเฉยชาและหยิ่งทระนงเช่นเคย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เจ้าทำอาหารเอง ดูท่าจะไม่มีผู้ใดเตรียมสำรับให้ ข้าจึงให้แม่ครัวทำมาให้ใหม่" บ่าวไพร่รอบ ๆ ต่างพากันเบิกตากว้าง ท่านแม่ทัพลู่เป็นผู้สั่งให้แม่ครัวทำอาหารให้กับนายหญิงเอง!? เสี่ยวถิงถึงกับตะลึง นางไม่คิดว่านายของตนจะได้รับความใส่ใจเช่นนี้ แต่ในขณะที่ทุกคนตกตะลึงกับความเมตตาของแม่ทัพหนุ่ม หลี่อวี้จิงกลับมองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ข้าคิดว่าท่านไม่ต้องการเห็นหน้าข้าเสียอีก" ลู่เหรินเจ๋อจ้องหน้านางนิ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "อย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่ไม่ต้องการให้เจ้าไปวุ่นวายในโรงครัวจนทำให้บ่าวไพร่แตกตื่น" หลี่อวี้จิงหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ "เช่นนั้นหรือ?" สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาตักอาหารเข้าปากโดยไม่รอให้เขาเอ่ยอะไรอีก บ่าวไพร่พากันลอบมองด้วยความลุ้นระทึก นายหญิงจะซาบซึ้งใจหรือไม่!? แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ หลี่อวี้จิงเพียงแค่กินไปอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าอาหารนี้เป็นสิ่งที่ควรได้รับอยู่แล้ว "รสชาติใช้ได้" นางเอ่ยเรียบ ๆ ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีท่าทีตื้นตันใจ มีเพียงท่าทางเฉยเมยที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง ลู่เหรินเจ๋อมองนางเงียบ ๆ ดวงตาคมกริบจับจ้องใบหน้าของนางที่กำลังกินข้าวอย่างสงบ เขาพบว่านับตั้งแต่ที่นาง เปลี่ยนไป นางไม่ได้แสดงความพยายามจะเอาใจเขาเลย นางไม่ออดอ้อน ไม่พยายามเรียกร้องความสนใจจากเขา และยิ่งกว่านั้น… นางไม่แม้แต่จะแคร์ว่าความรู้สึกของเขาจะเป็นเช่นไร นี่เป็นสิ่งที่ลู่เหรินเจ๋อไม่คุ้นชิน "ดี" เขาเอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “กินให้อิ่ม ข้าไม่อยากเห็นเจ้าล้มป่วยให้วุ่นวาย” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากเรือน ทิ้งให้หลี่อวี้จิงนั่งกินต่อไปตามลำพัง แต่ถึงแม้เขาจะเดินจากไปแล้ว ดวงตาของหลี่อวี้จิงกลับมีแววครุ่นคิด “หมอนี่มาไม้ไหนกันแน่?” แม้ปากจะยังเย็นชา แต่การกระทำของเขากลับดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด…สามวันผ่านไปหลังจากงานแต่งงานของลู่เหรินเจ๋อและหลี่เหมยหยุน ข่าวการแต่งงานของพวกเขาสร้างความฮือฮาไปทั่วแคว้น และในวันนี้ งานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ได้ถูกจัดขึ้น โดยมีเหล่าทูตจากแคว้นต่างๆ และคุณหนูจากตระกูลขุนนางมากมายมาร่วมงานบริเวณลานกว้างของวังหลวงถูกประดับประดาด้วยโคมไฟและผ้าสีสดใส เสียงดนตรีขับกล่อมดังกังวานไปทั่ว ผู้คนมากมายต่างแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรา งานเลี้ยงนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองทั่วไป แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่เหล่าตระกูลชั้นสูงจะได้พบปะสานสัมพันธ์ในหมู่แขกที่มาร่วมงาน หลี่เหมยหยุนเองก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วม นางอยู่ในชุดสีแดงเข้มปักลวดลายดอกโบตั๋น ตัวเสื้อบางเบาแต่สง่างามเข้ากับรูปร่างของนางได้อย่างพอดี ความงามของนางทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างพากันมองอย่างไม่อาจละสายตาลู่เหรินเจ๋อซึ่งอยู่ไม่ไกล มองดูนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความภาคภูมิใจ แม้ในงานจะมีหญิงงามจากทั่วทุกแคว้นเข้าร่วม แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่มีใครงดงามไปกว่าหลี่เหมยหยุนอีกแล้ว“ท่านสามี งานเลี้ยงในวันนี้ดูยิ่งใหญ่มากทีเดียว” หลี่เหมยหยุนกล่าวพลางหันไปมองเขาลู่เหรินเจ๋อพยักหน้า “แน่นอน มันเป็นโอกาสสำค
แสงเช้าที่สาดส่องเข้ามาในตำหนักของพระเอก อากาศเย็นสบายในยามเช้าทำให้ทุกอย่างดูเงียบสงบ แต่ภายในจวนของพระเอกกลับเต็มไปด้วยความเครียดและความตึงเครียดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เมื่อข่าวการสังหารตระกูลซ่งแพร่กระจายไปถึงตำหนักต่างๆ และจวนของชนชั้นสูงหลายๆ ตระกูล ทุกคนที่ได้รับข่าวต่างตกใจและหวาดกลัวไปตามๆ กัน ราวกับมีเงื้อมมือของความตายที่แผ่กระจายไปทั่วเมืองหลวง“ท่านอ๋อง...” ขันทีในชุดขาวเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง พร้อมกับท่าทางที่ไม่มั่นใจ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพยายามไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ผิดพลาด “ข่าวเรื่องตระกูลซ่ง...เริ่มแพร่กระจายไปถึงตระกูลอื่นๆ แล้วขอรับ หลายท่านเริ่มวิตกกังวลและสงสัยว่า...ท่านอ๋องจะลงโทษกับพวกเขาเช่นเดียวกันหรือไม่”พระเอกนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ท่าทางราบเรียบและไม่แสดงอารมณ์มากนัก เมื่อได้ยินคำพูดของขันที เขาก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “ทุกคนในราชสำนักต้องรู้ไว้ ว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดนั้นจะต้องได้รับการลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นใคร”ขันทีได้ยินดังนั้น ก็อดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้ แม้ว่าพระเอกจะไม่แสดงท่าทีรุนแรงอะไร แต่คำพูดนั้นก็แฝงไปด้วยความเด็ดขาดท
ซ่งจิ้นหมิงถูกนำตัวไปยังห้องสอบสวนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันตราย ภายในห้องนั้นมีทั้งพระเอกและข้าราชการที่พร้อมจะรับฟังคำสารภาพจากเขา ท่ามกลางความเงียบงัน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่จิ้นหมิงที่ถูกผูกมัดอยู่ในเก้าอี้พระเอกยืนอยู่ข้างโต๊ะยาว พร้อมกับสายตาที่ไม่ละสายตาจากผู้ต้องสงสัย "ท่านซ่ง ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมพี่ชายของข้า" เสียงของพระเอกดังขึ้นอย่างแน่วแน่ ท่ามกลางความเงียบซึ่งทำให้ความกดดันในห้องเพิ่มสูงขึ้นซ่งจิ้นหมิงเริ่มเหงื่อไหลซึมจากหน้าผาก เขาพยายามดึงตัวเองออกจากสถานการณ์นี้ แต่ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถามและความหวาดกลัว เขาเคยคิดว่าคำสั่งที่ได้รับมาจะสามารถทำให้การตัดสินใจของเขาง่ายดาย แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจหลีกหนีได้"ท่านจะทำอย่างไรกับข้า?" ซ่งจิ้นหมิงถามเสียงเบาหวิว เขาเข้าใจแล้วว่าคำตอบจากพระเอกจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลพระเอกยืนนิ่งก่อนจะตอบกลับอย่างเย็นชา "ไม่ใช่ข้า ที่จะตัดสินชีวิตท่าน แต่ความจริงจะเป็นผู้ตัดสินเอง"การเงียบไปชั่วขณะ ซ่งจิ้นหมิงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาเริ่มกล่าวเสียงสั่น "ข้าไม่ได้ฆ
หลังจากเหตุการณ์การลอบสังหารที่เกิดขึ้นในค่ายทหาร และการตรวจสอบที่ไม่พบเบาะแสที่ชัดเจน พระเอกได้เริ่มดำเนินการหาข้อมูลและเชื่อมโยงเงื่อนงำจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตพระเอกยืนอยู่หน้าห้องทำงานส่วนตัวของเขา สีหน้าครุ่นคิดไปในหลายทิศทาง เขาหมายมั่นที่จะเอาความจริงออกมาให้ได้ แม้ว่าเรื่องนี้จะยากเย็นและเต็มไปด้วยอุปสรรคที่อาจทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับคนที่เขาไม่คิดว่าจะต้องเป็นศัตรู"ข้าไม่สามารถปล่อยให้คนที่ฆ่าพี่ชายข้าไปง่าย ๆ ได้" พระเอกพูดเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ในใจหลี่เหมยหยุนยืนอยู่ข้าง ๆ รับรู้ถึงความเจ็บปวดในใจของสามี เธอเข้าใจดีว่าเขาต้องการหาความจริง และเธอจะอยู่เคียงข้างเขาเพื่อช่วยสืบหาผู้กระทำ"ท่านสามี ข้าจะช่วยท่านเอง" หลี่เหมยหยุนกล่าวด้วยความมั่นใจพระเอกหันไปมองภรรยา แล้วยิ้มบาง ๆ "ข้ารู้ ข้าจะต้องใช้ความช่วยเหลือของเจ้ามากในการหาข้อมูลครั้งนี้"ทหารที่ได้รับคำสั่งจากพระเอกเริ่มดำเนินการสืบสวนไปในทุกทิศทาง ทั้งจากบันทึกในค่ายทหาร การสนทนาของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่ และการสืบหาความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่พี่ชายของพระเอกเสียชีวิตแต่ก็ยั
พระเอกนั่งอยู่ในห้องมืดสนิทภายในตำหนักของตน ดวงตาของเขาจ้องไปที่เอกสารในมืออย่างตั้งใจ ข้อมูลทุกชิ้นที่เขาได้รับมาในช่วงที่ผ่านมาเริ่มบ่งชี้ทิศทางที่น่าสงสัย—เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการตายของพี่ชายของเขากำลังจะเปิดเผยเบื้องหลังที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน"ท่านอ๋อง..." เสียงของหลี่เหมยหยุนดังขึ้นข้างหลังเขา นางเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางนุ่มนวล และเห็นพระเอกที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความคิด นางเข้าไปยืนข้าง ๆ พระเอก แล้วจ้องไปที่เอกสารในมือ "ท่านพบอะไรหรือไม่?"พระเอกหันไปมองหลี่เหมยหยุน ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด "ข้าเพิ่งได้ข้อมูลที่สำคัญ..." เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ "ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของพี่ชายข้าคือพี่ชายของคุณหนูซ่ง"หลี่เหมยหยุนเบิกตากว้าง "ท่านหมายความว่าอย่างไร? พี่ชายของคุณหนูซ่งเป็นคนฆ่าพี่ชายของท่าน?"พระเอกพยักหน้า "ใช่...จากข้อมูลที่ข้าได้รับ ข้าเชื่อว่าเขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ข้าค้นพบว่าพี่ชายของคุณหนูซ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการลับที่พี่ชายข้าพบเข้าโดยบังเอิญ และเมื่อพี่ชายข้าเริ่มสงสัยเขา เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้หลุดไปได้"หลี่เหมยหยุนขมวดคิ้ว "ทำไมพ
หลังจากที่หลี่เหมยหยุนและเด็กแฝดกลับไปยังตำหนักได้สำเร็จ ความตึงเครียดก็ยังคงอยู่ในอากาศ ในขณะที่พระเอกนั่งอยู่ข้างหลี่เหมยหยุนที่กำลังโอบเด็กทั้งสองในอ้อมกอด เขาสังเกตเห็นสีหน้าของภรรยาที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกังวลใจ แม้ว่าเด็กทั้งสองจะปลอดภัยแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบลง"เราคงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป" พระเอกกล่าวเสียงทุ้มหลี่เหมยหยุนพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่เด็กแฝดที่นั่งอยู่บนตักของเธอ ทั้งสองคนยังคงรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าไม่ยอมให้เด็กทั้งสองต้องเผชิญกับอันตรายอีกเด็ดขาด"ในช่วงเวลานั้นเอง ขันทีที่เฝ้าประตูเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน "ท่านอ๋อง เจ้าค่ะ มีข่าวจากตระกูลซ่ง ว่าคนลักพาตัวที่ถูกจับไปเมื่อคืนนี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลซ่ง"คำพูดนี้ทำให้หลี่เหมยหยุนถึงกับเงียบไป หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างหนัก "หมายความว่าอย่างไร?" เธอถามออกไปขันทีกราบ "มีข่าวลือว่าคุณหนูซ่งได้รับคำสั่งจากผู้มีอำนาจในตระกูลซ่ง ให้ทำแผนนี้เพื่อแย่งชิงเด็กแฝดไป แต่แผนกลับล้มเหลวเสียก่อน"หลี่เหมยหยุนรู้สึกตกใจ แต่ก็ไม่แปลกใจ