แสงแดดยามสายส่องกระทบผืนน้ำในสระบัว ทำให้เกิดประกายระยิบระยับ ดอกบัวหลากสีบานสะพรั่ง แผ่นใบบัวเขียวขจีลอยนิ่งเหนือผิวน้ำ ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ ช่วยให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย
หลี่อวี้จิงยืนอยู่บนสะพานหินที่ทอดข้ามสระบัว นางทอดสายตามองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ทุกสิ่งในที่แห่งนี้ดูงดงามราวภาพวาด แต่ภายในจวนแห่งนี้กลับเย็นชาไร้ชีวิตชีวา "นางปีศาจตัวจริงถึงกับยอมออกมาเดินเล่นกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?" เสียงทุ้มต่ำเย็นชาเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง หลี่อวี้จิงหันกลับไปมอง ก็พบชายร่างสูงสง่าผู้หนึ่งยืนกอดอกอยู่ หัวคิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ราวกับกำลังพิจารณาบางสิ่ง "ท่านลู่เหรินเจ๋อ?" นางเรียกชื่อเขาออกมาโดยไม่รู้ตัว ลู่เหรินเจ๋อจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะกวาดมองรูปลักษณ์ของนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า "ข้าเกือบจำเจ้าไม่ได้..." หลี่อวี้จิงขมวดคิ้วเล็กน้อย "ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น?" ลู่เหรินเจ๋อยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย คล้ายรอยยิ้มแต่ก็ไม่ใช่ "ปกติเจ้ามักจะอยู่ในสภาพรกรุงรัง ราวกับไม่เคยสนใจตัวเอง แต่วันนี้กลับแต่งตัวเรียบร้อย ดูสะอาดสะอ้านขึ้นผิดหูผิดตา น่าประหลาดนัก หรือว่าเจ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเอาใจข้า?" หลี่อวี้จิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ "ข้าแต่งตัวเพื่อความสบายของตัวเอง หาใช่เพื่อเอาใจผู้ใด" ลู่เหรินเจ๋อเลิกคิ้ว "เช่นนั้นหรือ?" "แน่นอน" นางตอบเสียงเรียบ "ข้าคิดว่าการปล่อยตัวเองให้สกปรกไม่ใช่เรื่องดีนัก ไม่ว่าในอดีตข้าจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนไปแล้ว" ลู่เหรินเจ๋อหัวเราะในลำคอ แต่แววตากลับเย็นชา "เปลี่ยนไป? ข้าไม่เคยเชื่อว่าคนอย่างเจ้าจะเปลี่ยนได้ นี่คงเป็นเพียงกลอุบายของเจ้าเท่านั้น" หลี่อวี้จิงสบตาเขาโดยไม่หลบเลี่ยง "กลอุบายหรือ? แล้วข้าจะต้องวางแผนอะไรอีกหรือ ในเมื่อท่านไม่เคยคิดจะสนใจข้าอยู่แล้ว?" คำพูดของนางทำให้ลู่เหรินเจ๋อชะงักไปเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวเขาก็หัวเราะเยาะ "อย่างไรเสีย เจ้าก็ยังเป็นภรรยาของข้าในนามเท่านั้น อย่าได้คิดว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของเจ้าจะทำให้ข้ามองเจ้าต่างไปจากเดิม" หลี่อวี้จิงยิ้มบาง ๆ "ข้าไม่เคยต้องการให้ท่านมองข้าเป็นพิเศษอยู่แล้ว" ลู่เหรินเจ๋อจ้องหน้านางอย่างพิจารณา เขาสัมผัสได้ว่านางแตกต่างจากเดิมจริง ๆ แต่ก็ยังไม่วางใจ เขาหรี่ตาลง "ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเสแสร้งได้นานเพียงใด" พูดจบ เขาก็สะบัดชายเสื้อก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้หลี่อวี้จิงยืนอยู่ที่สะพานสระบัวเพียงลำพัง นางมองตามแผ่นหลังของเขา ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ "หากคิดว่าข้าเสแสร้ง... เช่นนั้นก็คอยดูไปเถิด" หลังจากการปะทะคารมกับลู่เหรินเจ๋อที่สะพานสระบัว หลี่อวี้จิงก็เดินกลับไปยังเรือนของตน แต่ยังไม่ทันได้นั่งพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมเสียงของบ่าวรับใช้หญิงคนหนึ่ง "คุณหนูเจ้าคะ... เอ่อ... นายหญิงเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่ามีคำสั่งให้ท่านไปที่ลานชักผ้าเจ้าค่ะ" หลี่อวี้จิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูออกไป บ่าวรับใช้ที่ยืนรออยู่คือสาวใช้ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า มารดาของลู่เหรินเจ๋อ "ลานชักผ้า?" นางทวนคำเสียงเรียบ "เหตุใดข้าต้องไปที่นั่น?" สาวใช้ก้มหน้าลงเล็กน้อย "บ่าวเองก็มิกล้าถามเพคะ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ารับสั่งว่าท่านต้องไปเดี๋ยวนี้" หลี่อวี้จิงเงียบไปครู่หนึ่ง ในความทรงจำของร่างเดิม ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยโปรดปรานนางเลยแม้แต่น้อย เพราะการแต่งงานระหว่างนางกับลู่เหรินเจ๋อเป็นเพียงการถูกยัดเยียด มิได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของฝ่ายชาย อีกทั้งหลี่เหมยหยุนคนเดิมยังมีนิสัยหยิ่งยโสและไม่เคารพผู้ใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ชอบหน้านางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว "เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้" นางก้าวเดินตามสาวใช้ไปยังลานชักผ้า ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหล่าบ่าวไพร่ในจวนใช้ซักเสื้อผ้าและจัดการผ้าต่าง ๆ สำหรับทุกคนในจวน เมื่อไปถึง นางพบว่ามีบ่าวไพร่หลายคนกำลังยืนรออยู่ บ้างก้มหน้าทำงาน บ้างเหลือบมองนางด้วยสายตาเยาะหยัน ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นจากด้านหน้า "เจ้ามาช้าไป!" ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ยืนอยู่ตรงกลางลาน ดวงตาคมกริบของนางสะท้อนความไม่พอใจ นางสวมอาภรณ์เนื้อดี สีหน้าทรงอำนาจ ด้านข้างมีพี่สะใภ้ของลู่เหรินเจ๋อยืนอยู่ด้วย ราวกับรอชมเรื่องสนุก หลี่อวี้จิงโค้งคำนับอย่างมีมารยาท "ข้าน้อยคารวะฮูหยินผู้เฒ่า" "หึ" ฮูหยินผู้เฒ่ากอดอก มองนางด้วยสายตาเย็นชา "เจ้าคิดว่าแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของเหรินเจ๋อแล้วจะใช้ชีวิตสบาย ๆ ได้หรือ? ที่นี่มิใช่จวนของตระกูลหลี่ที่จะให้นางคุณหนูผู้เอาแต่ใจอย่างเจ้าทำอะไรตามอำเภอใจ" หลี่อวี้จิงรู้ทันทีว่านี่คือการกลั่นแกล้ง นางยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ "ฮูหยินผู้เฒ่ามีสิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือไม่?" "ดี! ในเมื่อเจ้าถามเช่นนี้ ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าได้แสดงความกตัญญู" ฮูหยินผู้เฒ่าชี้ไปที่กองผ้ากองโต "ตั้งแต่วันนี้ เจ้าจะต้องมาชักผ้าให้คนทั้งจวนเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อให้รู้ว่าความลำบากของบ่าวไพร่เป็นเช่นไร!" บรรดาบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ต่างหันมามองด้วยความตกใจ พวกนางรู้ดีว่าไม่มีฮูหยินหรือนายหญิงคนใดต้องมาทำงานเช่นนี้ แต่นี่เป็นคำสั่งโดยตรงจากฮูหยินผู้เฒ่า ไม่มีใครกล้าคัดค้าน หลี่อวี้จิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองมือของตนเอง นางเกิดและเติบโตในยุคอนาคต งานใช้แรงงานเช่นนี้แม้จะไม่เคยทำ แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินไป "หากเป็นคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า ข้าย่อมทำตาม" คำตอบของนางทำให้ทุกคนประหลาดใจ พวกเขาคิดว่านางจะโวยวายหรือแสดงท่าทางเอาแต่ใจเช่นเคย แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้ว "หึ คิดว่าทำได้ก็ลองดู" หลี่อวี้จิงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปที่กองผ้า นางหยิบผ้าขึ้นมาแล้วเริ่มลงมือซักโดยไม่ปริปากบ่น ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ทิ้งให้นางต้องรับมือกับบททดสอบที่ได้รับมา...สามวันผ่านไปหลังจากงานแต่งงานของลู่เหรินเจ๋อและหลี่เหมยหยุน ข่าวการแต่งงานของพวกเขาสร้างความฮือฮาไปทั่วแคว้น และในวันนี้ งานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ได้ถูกจัดขึ้น โดยมีเหล่าทูตจากแคว้นต่างๆ และคุณหนูจากตระกูลขุนนางมากมายมาร่วมงานบริเวณลานกว้างของวังหลวงถูกประดับประดาด้วยโคมไฟและผ้าสีสดใส เสียงดนตรีขับกล่อมดังกังวานไปทั่ว ผู้คนมากมายต่างแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรา งานเลี้ยงนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองทั่วไป แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่เหล่าตระกูลชั้นสูงจะได้พบปะสานสัมพันธ์ในหมู่แขกที่มาร่วมงาน หลี่เหมยหยุนเองก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วม นางอยู่ในชุดสีแดงเข้มปักลวดลายดอกโบตั๋น ตัวเสื้อบางเบาแต่สง่างามเข้ากับรูปร่างของนางได้อย่างพอดี ความงามของนางทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างพากันมองอย่างไม่อาจละสายตาลู่เหรินเจ๋อซึ่งอยู่ไม่ไกล มองดูนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความภาคภูมิใจ แม้ในงานจะมีหญิงงามจากทั่วทุกแคว้นเข้าร่วม แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่มีใครงดงามไปกว่าหลี่เหมยหยุนอีกแล้ว“ท่านสามี งานเลี้ยงในวันนี้ดูยิ่งใหญ่มากทีเดียว” หลี่เหมยหยุนกล่าวพลางหันไปมองเขาลู่เหรินเจ๋อพยักหน้า “แน่นอน มันเป็นโอกาสสำค
แสงเช้าที่สาดส่องเข้ามาในตำหนักของพระเอก อากาศเย็นสบายในยามเช้าทำให้ทุกอย่างดูเงียบสงบ แต่ภายในจวนของพระเอกกลับเต็มไปด้วยความเครียดและความตึงเครียดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เมื่อข่าวการสังหารตระกูลซ่งแพร่กระจายไปถึงตำหนักต่างๆ และจวนของชนชั้นสูงหลายๆ ตระกูล ทุกคนที่ได้รับข่าวต่างตกใจและหวาดกลัวไปตามๆ กัน ราวกับมีเงื้อมมือของความตายที่แผ่กระจายไปทั่วเมืองหลวง“ท่านอ๋อง...” ขันทีในชุดขาวเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง พร้อมกับท่าทางที่ไม่มั่นใจ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพยายามไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ผิดพลาด “ข่าวเรื่องตระกูลซ่ง...เริ่มแพร่กระจายไปถึงตระกูลอื่นๆ แล้วขอรับ หลายท่านเริ่มวิตกกังวลและสงสัยว่า...ท่านอ๋องจะลงโทษกับพวกเขาเช่นเดียวกันหรือไม่”พระเอกนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ท่าทางราบเรียบและไม่แสดงอารมณ์มากนัก เมื่อได้ยินคำพูดของขันที เขาก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “ทุกคนในราชสำนักต้องรู้ไว้ ว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดนั้นจะต้องได้รับการลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นใคร”ขันทีได้ยินดังนั้น ก็อดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้ แม้ว่าพระเอกจะไม่แสดงท่าทีรุนแรงอะไร แต่คำพูดนั้นก็แฝงไปด้วยความเด็ดขาดท
ซ่งจิ้นหมิงถูกนำตัวไปยังห้องสอบสวนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันตราย ภายในห้องนั้นมีทั้งพระเอกและข้าราชการที่พร้อมจะรับฟังคำสารภาพจากเขา ท่ามกลางความเงียบงัน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่จิ้นหมิงที่ถูกผูกมัดอยู่ในเก้าอี้พระเอกยืนอยู่ข้างโต๊ะยาว พร้อมกับสายตาที่ไม่ละสายตาจากผู้ต้องสงสัย "ท่านซ่ง ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมพี่ชายของข้า" เสียงของพระเอกดังขึ้นอย่างแน่วแน่ ท่ามกลางความเงียบซึ่งทำให้ความกดดันในห้องเพิ่มสูงขึ้นซ่งจิ้นหมิงเริ่มเหงื่อไหลซึมจากหน้าผาก เขาพยายามดึงตัวเองออกจากสถานการณ์นี้ แต่ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถามและความหวาดกลัว เขาเคยคิดว่าคำสั่งที่ได้รับมาจะสามารถทำให้การตัดสินใจของเขาง่ายดาย แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจหลีกหนีได้"ท่านจะทำอย่างไรกับข้า?" ซ่งจิ้นหมิงถามเสียงเบาหวิว เขาเข้าใจแล้วว่าคำตอบจากพระเอกจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลพระเอกยืนนิ่งก่อนจะตอบกลับอย่างเย็นชา "ไม่ใช่ข้า ที่จะตัดสินชีวิตท่าน แต่ความจริงจะเป็นผู้ตัดสินเอง"การเงียบไปชั่วขณะ ซ่งจิ้นหมิงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาเริ่มกล่าวเสียงสั่น "ข้าไม่ได้ฆ
หลังจากเหตุการณ์การลอบสังหารที่เกิดขึ้นในค่ายทหาร และการตรวจสอบที่ไม่พบเบาะแสที่ชัดเจน พระเอกได้เริ่มดำเนินการหาข้อมูลและเชื่อมโยงเงื่อนงำจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตพระเอกยืนอยู่หน้าห้องทำงานส่วนตัวของเขา สีหน้าครุ่นคิดไปในหลายทิศทาง เขาหมายมั่นที่จะเอาความจริงออกมาให้ได้ แม้ว่าเรื่องนี้จะยากเย็นและเต็มไปด้วยอุปสรรคที่อาจทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับคนที่เขาไม่คิดว่าจะต้องเป็นศัตรู"ข้าไม่สามารถปล่อยให้คนที่ฆ่าพี่ชายข้าไปง่าย ๆ ได้" พระเอกพูดเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ในใจหลี่เหมยหยุนยืนอยู่ข้าง ๆ รับรู้ถึงความเจ็บปวดในใจของสามี เธอเข้าใจดีว่าเขาต้องการหาความจริง และเธอจะอยู่เคียงข้างเขาเพื่อช่วยสืบหาผู้กระทำ"ท่านสามี ข้าจะช่วยท่านเอง" หลี่เหมยหยุนกล่าวด้วยความมั่นใจพระเอกหันไปมองภรรยา แล้วยิ้มบาง ๆ "ข้ารู้ ข้าจะต้องใช้ความช่วยเหลือของเจ้ามากในการหาข้อมูลครั้งนี้"ทหารที่ได้รับคำสั่งจากพระเอกเริ่มดำเนินการสืบสวนไปในทุกทิศทาง ทั้งจากบันทึกในค่ายทหาร การสนทนาของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่ และการสืบหาความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่พี่ชายของพระเอกเสียชีวิตแต่ก็ยั
พระเอกนั่งอยู่ในห้องมืดสนิทภายในตำหนักของตน ดวงตาของเขาจ้องไปที่เอกสารในมืออย่างตั้งใจ ข้อมูลทุกชิ้นที่เขาได้รับมาในช่วงที่ผ่านมาเริ่มบ่งชี้ทิศทางที่น่าสงสัย—เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการตายของพี่ชายของเขากำลังจะเปิดเผยเบื้องหลังที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน"ท่านอ๋อง..." เสียงของหลี่เหมยหยุนดังขึ้นข้างหลังเขา นางเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางนุ่มนวล และเห็นพระเอกที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความคิด นางเข้าไปยืนข้าง ๆ พระเอก แล้วจ้องไปที่เอกสารในมือ "ท่านพบอะไรหรือไม่?"พระเอกหันไปมองหลี่เหมยหยุน ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด "ข้าเพิ่งได้ข้อมูลที่สำคัญ..." เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ "ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของพี่ชายข้าคือพี่ชายของคุณหนูซ่ง"หลี่เหมยหยุนเบิกตากว้าง "ท่านหมายความว่าอย่างไร? พี่ชายของคุณหนูซ่งเป็นคนฆ่าพี่ชายของท่าน?"พระเอกพยักหน้า "ใช่...จากข้อมูลที่ข้าได้รับ ข้าเชื่อว่าเขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ข้าค้นพบว่าพี่ชายของคุณหนูซ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการลับที่พี่ชายข้าพบเข้าโดยบังเอิญ และเมื่อพี่ชายข้าเริ่มสงสัยเขา เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้หลุดไปได้"หลี่เหมยหยุนขมวดคิ้ว "ทำไมพ
หลังจากที่หลี่เหมยหยุนและเด็กแฝดกลับไปยังตำหนักได้สำเร็จ ความตึงเครียดก็ยังคงอยู่ในอากาศ ในขณะที่พระเอกนั่งอยู่ข้างหลี่เหมยหยุนที่กำลังโอบเด็กทั้งสองในอ้อมกอด เขาสังเกตเห็นสีหน้าของภรรยาที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกังวลใจ แม้ว่าเด็กทั้งสองจะปลอดภัยแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบลง"เราคงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป" พระเอกกล่าวเสียงทุ้มหลี่เหมยหยุนพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่เด็กแฝดที่นั่งอยู่บนตักของเธอ ทั้งสองคนยังคงรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าไม่ยอมให้เด็กทั้งสองต้องเผชิญกับอันตรายอีกเด็ดขาด"ในช่วงเวลานั้นเอง ขันทีที่เฝ้าประตูเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน "ท่านอ๋อง เจ้าค่ะ มีข่าวจากตระกูลซ่ง ว่าคนลักพาตัวที่ถูกจับไปเมื่อคืนนี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลซ่ง"คำพูดนี้ทำให้หลี่เหมยหยุนถึงกับเงียบไป หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างหนัก "หมายความว่าอย่างไร?" เธอถามออกไปขันทีกราบ "มีข่าวลือว่าคุณหนูซ่งได้รับคำสั่งจากผู้มีอำนาจในตระกูลซ่ง ให้ทำแผนนี้เพื่อแย่งชิงเด็กแฝดไป แต่แผนกลับล้มเหลวเสียก่อน"หลี่เหมยหยุนรู้สึกตกใจ แต่ก็ไม่แปลกใจ