Share

บทที่ 13

Author: จี้เวยเวย
ซ่งรั่วเจินกินอาหารมื้อกลางวันเสร็จก็ไปที่จวนตระกูลหลิ่ว

มองเห็นผู้คนมากมายเข้าออกประตูจวนตระกูลหลิ่วมาแต่ไกล คนไปมาหาสู่มีจำนวนไม่น้อย เมื่อเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงชมเชยเซ็งแซ่

“ไต้ซือเทียนสุ่ยมีวิชาแก่กล้าจริงๆ เจ้าจำหลานชายของตระกูลจ้าวที่หมู่นี้เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดได้หรือไม่ หาหมอมากมายล้วนไม่เห็นผล เห็นๆ อยู่ว่าสุขภาพย่ำแย่ลงทุกทีจนแทบจะไม่ไหวแล้ว พอไต้ซือเทียนสุ่ยลงมือเท่านั้นก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง!”

“นั่นน่ะสิ หลานชายข้าพักนี้ค้าขายไม่ราบรื่น เกือบทำกิจการของตระกูลล้มละลายไปเสียแล้ว ตั้งแต่ไต้ซือเทียนสุ่ยอัญเชิญเทพเจ้าแห่งโชคลาภมาให้ ทุกวันนี้การค้าเจริญรุ่งเรือง ดีวันดีคืน!”

“ตระกูลหลิ่วเองก็ไม่รู้ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากมายเท่าไหร่จึงสามารถเชิญไต้ซือเทียนสุ่ยมาได้ วันหน้าจะต้องได้ดิบได้ดีแน่”

ได้ยินคำพูดแฝงความอิจฉาเหล่านั้น คิ้วใบหลิวของซ่งรั่วเจินก็เลิกขึ้นเล็กน้อย นางจะไปหยั่งเชิงไต้ซือเทียนสุ่ยผู้นี้ดูสักหน่อยว่ามีความสามารถจริงหรือไม่!

เมื่อนางเข้าไปในจวนตระกูลหลิ่ว เห็นข้ารับใช้ในจวนกำลังจัดฮวงจุ้ยตามคำแนะนำของไต้ซือเทียนสุ่ย ก็แค่นหัวเราะในใจ

ฮวงจุ้ยในจวนตระกูลหลิ่วเดิมทีก็ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อปรับเปลี่ยนเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าเละเทะไปหมด ตกลงแล้วคนผู้นี้ไม่เข้าใจหลักฮวงจุ้ยเลยหรือว่ามีความแค้นกับตระกูลหลิ่วกันแน่?

“รั่วเจิน เจ้าเพิ่งถอนหมั้นไปไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมาที่นี่ได้?” หลิ่วอี้หมิง คุณชายใหญ่ตระกูลหลิ่วถามอย่างประหลาดใจ “ข้าได้ยินเรื่องที่จวนหลินโหวแล้ว เจ้า...”

“ญาติผู้พี่ ท่านอาจไม่รู้เรื่องนี้ ถึงซ่งรั่วเจินจะเป็นฝ่ายถอนหมั้น แต่ยังมีแก่ใจไปส่งสาวใช้ของตัวเองออกเรือน วันนี้มีเวลามาจวนตระกูลหลิ่วจะน่าแปลกตรงไหนกัน?”

“ยามนี้นางต้องอับอายขายหน้า อารมณ์ไม่ดีก็เริ่มไปลงกับคนใกล้ตัว ผู้หญิงจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้ ท่านระวังไว้บ้างจะดีกว่า ถึงคราวเดือดร้อนเพราะนาง อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือนท่านก็แล้วกัน!”

ซ่งรั่วเจินตวัดสายตาไปมองซุนฮั่นเฟยที่พูดจาเยาะเย้ยถากถาง สมกับที่เป็นพี่ชายของซุนเยียนเอ๋อร์ สองพี่น้องศีลเสมอกัน แค่มองหน้าเขาก็นึกอยากตบบ้องหูสักที

“เพียะ!”

ซ่งรั่วเจินไม่ได้แค่คิด แต่นางทำเช่นนั้นจริงๆ

“เจ้ากล้าตบข้า?”

ซุนฮั่นเฟยเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ซ่งรั่วเจินเป็นกุลสตรีมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยลงมือทำร้ายคนอื่นมาก่อน เมื่อก่อนเขาพูดจาล้ำเส้นยิ่งกว่านี้ แต่ละครั้งล้วนทำให้ซ่งรั่วเจินโกรธจัด แต่ก็ทำเพียงอดทนอดกลั้นทั้งขอบตาแดงเรื่อเท่านั้น วันนี้คิดไม่ถึงว่าจะกล้าตบเขา!

“ญาติผู้พี่ ข้าเห็นว่าสติของท่านไม่ค่อยแจ่มใสนัก จึงตบเรียกสติให้ท่านเจ้าค่ะ!”

“ยามนี้หลินโหวรังแกข้าก่อน ข้าถอนหมั้นก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว เรื่องพื้นๆ แค่นี้ท่านยังไม่เข้าใจก็มาวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตรงนี้ ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง แบบนี้ไม่สมควรถูกตบหรือเจ้าคะ?”

“ข้าเป็นบุตรสาวตระกูลซ่ง พ่อข้าคือผิงหยางโหว ท่านประกาศปาวๆ ว่าข้ามีจิตใจชั่วร้ายโดยไม่มีหลักฐาน แล้วจะปล่อยให้ท่านมากล่าวหาส่งเดชเช่นนี้ได้อย่างไร?”

สายตาซ่งรั่วเจินเย็นเยียบ ตระกูลซุนเป็นแค่ขุนนางขั้นห้าตัวเล็กๆ ถ้าพูดถึงลำดับชั้นแล้วยังห่างไกลจากตระกูลซ่งของตน แต่เพราะปกติท่านแม่ไม่ถือสาหาความ ที่ผ่านมาเวลาพบหน้าแม้แต่พวกพี่น้องของตนก็ยอมอดทนอดกลั้นต่อพวกเขามามาก

แต่ตอนนี้นางไม่มีนิสัยของเจ้าของร่างเดิมอีก แล่นมาพูดจาถากถางต่อหน้านางแบบนี้ นางย่อมไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่!

“ข้าไปใส่ร้ายเจ้าตอนไหน? เพ่ยหลานแค่พูดผิดไปนิดเดียว เจ้าก็ให้นางแต่งไปเป็นอนุของพ่อบ้านหลิ่ว แบบนี้ไม่เรียกว่าชั่วร้ายจะให้เรียกอะไร?”

“สาวใช้ข้างกายคุณหนูบ้านใด สุดท้ายแล้วไม่ได้มีที่พักพิงดีๆ บ้าง? เจ้ากลับส่งนางไปเป็นอนุ ส่งคนไปตอนกลางดึกวันนั้น แม้แต่ตำแหน่งออกหน้าออกตาได้ก็ยังไม่มี แบบนี้ยังไม่เรียกว่าชั่วร้าย?”

ซุนฮั่นเฟยโมโหจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ วันนี้เขาตั้งใจพาสหายมาพบไต้ซือเทียนสุ่ย คิดไม่ถึงว่าจะไปได้ยินบทสนทนาระหว่างมารดาของตนเองกับพ่อบ้านหลิ่วเข้า ทั้งเห็นว่าซ่งรั่วเจินก็มาที่นี่ด้วยจึงอดจะพูดจาเหน็บแนมไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าซ่งรั่วเจินจะเปลี่ยนนิสัยแล้ว ยกมือขึ้นได้ก็ตบเขาทันที

“ญาติผู้พี่ ข้ารู้ว่าท่านไม่มีสมองมาแต่ไหนแต่ไร เพ่ยหลานทรยศข้าก่อน รับเงินจากคนอื่น นางเป็นสาวใช้ที่ท่านน้าของข้า ซึ่งก็คือท่านแม่ของท่านส่งมาให้ข้าอย่างไรเล่า!”

“ข้าไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่เพราะอยากรักษาหน้าตาให้ท่านน้า แต่ท่านกลับมาตำหนิข้าเพราะเรื่องนี้? ปกติข้าอดทนอดกลั้นต่อท่านมามากแล้ว แต่ท่านยังคิดจะใส่ร้ายข้า เช่นนั้นข้าก็คงต้องพูดให้ชัดเจนแล้ว!”

สหายหลายคนนั้นของซุนฮั่นเฟยย่อมรู้จักซ่งรั่วเจิน คุณหนูอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง สองปีนี้คอยดูแลจวนหลินโหว ทำให้จวนหลินโหวที่ตอนแรกทรุดโทรมนับวันก็ยิ่งรุ่งเรือง เมื่อก่อนใครเห็นแล้วไม่เอ่ยชมเชยสักสองสามประโยคบ้าง?

เรื่องเมื่อวานลือกันไปทั่วเมืองหลวง ผู้คนพูดถึงเรื่องนี้แตกต่างกันไป บ้างคิดว่าหลินโหวเป็นผู้ชายหลายใจ บ้างคิดว่าซ่งรั่วเจินจิตใจคับแคบเกินไป

เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูใหญ่แล้วพูดว่าไม่แต่งก็จะไม่แต่ง ยังได้ยินซุนฮั่นเฟยพูดแล้วพูดอีกว่านางจิตใจชั่วร้าย ทุกคนบังเกิดความประทับใจที่ไม่ดีไปโดยไม่รู้ตัว คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังยังมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย?

“จะเป็นไปได้อย่างไร?”

ซุนฮั่นเฟยเห็นสายตาทุกคนที่มองตนเองเปลี่ยนไป สีหน้าพลันเปลี่ยน แต่เพ่ยหลานถูกคนซื้อตัว นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?

“เรื่องนี้จะว่าไปแล้วข้าก็อยากถามญาติผู้พี่เหมือนกัน เพ่ยหลานสนิทกับท่านมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ท่านถึงได้มาทวงความเป็นธรรมให้สาวใช้คนหนึ่งเช่นนี้”

“คนที่ซื้อตัวนางไปคือฉินซวงซวง ข้าได้ยินมาว่าท่านสนิทสนมกับพี่ชายคนรองของฉิงซวงซวงมาก ท่านคงไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้หรอกใช่ไหมเจ้าคะ? ไม่อย่างนั้น ฉินซวงซวงจะซื้อตัวสาวใช้ของข้าได้อย่างไร?”

ใบหน้าพริ้มเพราของซ่งรั่วเจินฉายแววกังขา “เรื่องที่หลินโหวต้องการแต่งแม่นางฉิน ข้าถูกปิดบังมาโดยตลอด แต่คิดว่าตระกูลฉินคงทราบเรื่องมาแต่แรก ช่วงนี้ญาติผู้พี่ไปเยี่ยมเยือนจวนตระกูลฉินบ่อยๆ ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไร คงไม่ได้ช่วยคนอื่นมารังแกญาติผู้น้องอย่างข้าหรอกนะเจ้าคะ?”

สาวน้อยกล่าวพลางถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใบหน้าเผยความเจ็บปวด

ชั่วขณะนั้น อย่าว่าแต่หลิ่วอี้หมิง แม้แต่สหายของซุนฮั่นเฟยล้วนรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนซ่งรั่วเจิน

ซ่งรั่วเจินอาจไม่รู้ แต่สหายอย่างพวกเขากลับรู้ดี ซุนฮั่นเฟยเคยบอกพวกเขาเรื่องที่หลินโหวต้องการตบแต่งฉินซวงซวง เมื่อก่อนพวกเขาไม่คิดว่ามีอันใดไม่เหมาะ แต่มารังแกญาติผู้น้องของตนเพื่อคนนอกเช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ?

หลายปีมานี้ตระกูลซ่งดูแลตระกูลซุนอย่างดี คนที่คุ้นเคยกันล้วนรู้ดี ช่วยน้องสาวของสหายซื้อตัวสาวใช้ข้างกายญาติผู้น้อง เรื่องแบบนี้ทำลงไปได้อย่างไร?

“ซุนฮั่นเฟย เจ้าออกจะทำเกินไปหน่อยกระมัง แม่นางซ่งได้รับความไม่เป็นธรรมถึงเพียงนี้ ดีชั่วอย่างไรเจ้าก็เป็นญาติผู้พี่ มาทำเช่นนี้กับนางได้อย่างไร?”

“พวกเจ้า...”

ซุนฮั่นเฟยเผยอปาก มองซ่งรั่วเจินที่ก้มหน้าด้วยท่าทางเจ็บช้ำใจก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ซ่งรั่วเจินลอบยิ้มเย็นในใจ หลายปีมานี้นิสัยเจ้าของร่างเดิมหยั่งรากลึกในจิตใจคนหมู่มาก นับว่าอำนวยความสะดวกให้นางพอดี

“แม่นางซ่ง เจ้าพูดจาเหลวไหล ใส่ร้ายญาติผู้พี่ ประพฤติชั่วด้วยวาจา ทั้งยังจิตใจคับแคบ ทำให้เดินทางผิดได้ง่าย อาตมาขอเกลี้ยกล่อมให้เจ้าสั่งสมบุญกุศลผ่านวาจา มิฉะนั้นจะไม่ได้พบจุดจบที่ดี”

เวลานั้นเอง ชายวัยกลางคนที่แต่งกายอย่างผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ สายตาจับจ้องซ่งรั่วเจิน สีหน้าฉายแววหยิ่งยโส

“ไต้ซือเทียนสุ่ย!”

ซุนฮั่นเฟยราวกับเห็นดาวช่วยชีวิตก็ไม่ปาน เอ่ยอย่างย่ามใจว่า “ไต้ซือเทียนสุ่ย รีบมาเป็นพยานให้ข้าเถิด นางจงใจใส่ร้ายข้า!”

ซ่งรั่วเจินมองชายตรงหน้าอย่างประเมิน ขนคิ้วเบาบาง ตาลอย หน้าตอบ โหงวเฮ้งอัปมงคลแบบคนถ่อยได้ดี คนเช่นนี้น่ะหรือที่เป็นไต้ซือ?
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1498

    นางไม่เคยปรารถนาสิ่งใด สิ่งเดียวที่หวังก็คือให้ลูกสาวได้ไปเกิดใหม่ในครอบครัวที่ดี อย่าได้มีมารดาไร้ประโยชน์เช่นนางอีกเลยในฐานะมารดา แม้แต่ลูกของตนเองก็ยังปกป้องไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูลูกของตนถูกส่งไปตาย!“ท่านมองเห็นลูกของข้าจริงหรือ?” สายตาของจิ้งอินซือไท่จับจ้องซ่งรั่วเจิน เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังซ่งรั่วเจินพยักหน้า สายตาหันไปยังด้านข้างตัวนาง “ความจริงแล้วลูกสาวของท่านอยู่ข้างกายท่านมาโดยตลอด นางสามารถไปเกิดใหม่ได้ตั้งนานแล้ว แต่เพราะห่วงใยท่าน จึงยังไม่ยอมไป”เด็กหญิงคนนั้นเห็นว่าซ่งรั่วเจินมองเห็นตนจริง ก็ดีใจขึ้นมาซ่งรั่วเจินจึงค่อยๆ ถ่ายทอดความรู้สึกและคำพูดที่เด็กหญิงอยากบอกออกมา“นางบอกว่าคนที่นางรักที่สุดก็คือแม่ นางเข้าใจดีว่าท่านจำต้องทำเช่นนั้น แต่ไรมาไม่เคยโกรธเคืองท่านเลย”เพียงเอ่ยออกมา จิ้งอินซือไท่ก็ยกมือปิดหน้าร้องไห้ ความขมขื่นที่กดทับอยู่ในใจตลอดหลายปีพลันระเบิดออกมาทั้งหมดในห้วงขณะนั้น“ท่านโกหกข้า! ลูกของข้าเด็กเพียงนั้น กลับต้องตายไปก่อนเวลาอันควร ข้าที่เป็นแม่ไร้ค่าคนหนึ่งทำไม่ได้แม้แต่ปกป้องนาง นางจะไม่โกรธเคืองข้าได้อย่างไรกัน! นางต้องเกลียดข้าแน่ๆ

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1497

    จิ้งอินซือไท่เผชิญหน้ากับคำถามไล่เรียงนั้น นางเพียงแต่ส่ายหน้า สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็มิปาน“ใต้เท้า ข้าไม่รู้เรื่อง หากท่านไม่เชื่อ ก็ฆ่าข้าเถิด”“เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้หนีไม่พ้นพวกเจ้า เจ้าคิดหรือว่าปิดบังเช่นนี้แล้วพวกเราจะสืบหาความจริงไม่พบ?”ใบหน้าเสนาบดีศาลต้าหลี่พลันเย็นชา เดิมทีคิดว่าคนของสำนักเทียนฉือน่าจะพูดจาง่าย ไม่นึกเลยว่าล้วนเป็นพวกหัวแข็ง ถามไล่เรียงอย่างไรก็ไม่อาจเค้นเอาความจริงที่เป็นประโยชน์ออกมาได้แม้สักนิด“จิ้งอินซือไท่ ท่านรู้สึกผิดต่อลูกสาวของตนมาตลอดใช่หรือไม่?” จู่ๆ ซ่งรั่วเจินก็เอ่ยขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แววตาของจิ้งอินซือไท่พลันสะท้อนความตกใจวูบหนึ่ง แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดอันใด”“จิ้งอินซือไท่ ลูกสาวของท่านใช่หรือไม่ว่ามีผิวขาวดุจหยก ดวงตาสดใสดั่งดวงจันทร์ มัดผมเปียสองข้าง ชอบสวมกระโปรงสีเขียว?”“น่าเสียดาย วันที่นางถูกพาตัวไป กลับถูกเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีแดงทั้งชุด อีกทั้งยังสวมปลอกคอประดับกระดิ่งเงินที่นางชื่นชอบที่สุด” “นางร้องไห้อ้อนวอนท่าน นางไม่อยากถูกพาไป แต่แม้ท่านจะพยายามจนหมดส

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1496

    เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเซียวอ๋องไม่ชั่วร้ายต่ำต้อยเช่นเดียวกับเช่ออ๋อง กลับดูเหมือนเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าหากไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ ในชาติที่แล้วก็คงไม่ถูกเช่ออ๋องใส่ร้ายป้ายสีจนกลายเป็นองค์ชายไร้อำนาจ“เมื่อคนเราผ่านประสบการณ์มามาก ก็ย่อมคิดตก” ฉู่จวินถิงคีบอาหารให้ซ่งรั่วเจินพลางพูดว่า “ทีแรกยังกลัวว่าเจ้ามาที่นี่แล้วจะรู้สึกเบื่อเสียอีก ตอนนี้ดีเลย มีเรื่องวุ่นวายให้ดู พอดีเลยไม่ใช่หรือ?”ซ่งรั่วเจินยกมือเกาจมูก อยู่ด้วยกันนานแล้ว ความลับเล็กๆ น้อยๆ ล้วนปิดไม่มิดหลังกินข้าวแล้ว ซ่งรั่วเจินเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราไปดูศพเถอะ หมอชันสูตรน่าจะนับได้ไม่น้อยแล้ว จากปริมาณย่อมสามารถมองออกได้ว่าทิศทางที่พวกเราวิเคราะห์นั้นถูกหรือไม่”ถังเสวี่ยหนิงสามคนเองก็กินเสร็จแล้ว เดิมทีพวกเขาก็ไม่สนใจอาหารเจอยู่แล้ว เพียงกินๆ ไปเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นตามซ่งรั่วเจินและฉู่จวินถิงไปสืบคดีพร้อมกันเห็นดังนั้น ทั้งสองคนหันมองเหลียงอ๋อง อยากติดตามไปด้วย“พระชายาเหลียงอ๋อง โครงกระดูกในเรือนหลังนี้น่าตกใจเป็นพิเศษ ข้าชี้แนะพวกท่านอย่าไปเลยจะดีที่สุด” เสนาบดีศาลต้าหลี่เอ่ยเตือน“ถ้าอย่างนั้นเหตุใด

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1495

    “เจ้ากับเซียวอ๋องเดิมทีก็ไม่คุ้นเคยกัน ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มอยู่ร่วมกัน อีกอย่าง เจ้าก็ยังมิได้แสดงความในใจ เซียวอ๋องจะรักษาระยะห่างกับเจ้าก็ปกติ” “เขาเป็นถึงท่านอ๋อง หรือเจ้าหวังว่าเขามาทำตัวเอาอกเอาใจเจ้าเหมือนบุรุษอื่นหรือ?” ฉีชิงอีเห็นว่าถังเสวี่ยหนิงเพิ่งเจออุปสรรคเพียงเล็กน้อยก็เริ่มคิดถอย แววตาจึงฉายความไม่อยากจะเชื่อ ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกนางคบหากัน ถังเสวี่ยหนิงมั่นใจอยู่เสมอไม่ใช่หรือ? ท่าทางในวันนี้ แม้แต่นางยังรู้สึกดูแคลน! “เจ้าควรคิดให้ดีนะ ข้าที่อุตส่าห์มาเมืองฉีหยางพร้อมท่านอ๋องก็เพื่อช่วยเจ้า หากเจ้าคิดจะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้จริง ๆ พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว” น้ำเสียงของฉีชิงอีแฝงความไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเมิ่งชิ่นกำลังจะได้เป็นพระชายาหยางอ๋อง และความสัมพันธ์ระหว่างตนกับองค์หญิงฉีเยว่ก็แย่ลงเพราะเรื่องวุ่นวายครั้งก่อน อีกทั้งไม่มีผู้ช่วยที่เหมาะสมอยู่ข้างกาย นางก็คงไม่คิดจะดึงถังเสวี่ยหนิงขึ้นมา หากถังเสวี่ยหนิงได้เป็นพระชายาเซียวอ๋อง แม้แต่นางเองก็ต้องเรียกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับการถูกซ่งรั่วเจินกดไว้ อย่า

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1494    

    ว่าพลาง เขาก็ไม่สนใจถังเสวี่ยหนิงกับพวก ก่อนจะไปนั่งลงตรงที่ว่างระหว่างซ่งรั่วเจินและพวก และตักข้าวใส่ชามให้ตนเอง โชคดีที่เขาถือว่ามาไม่สายเกินไป ช่วงหลายวันนี้กินแต่อาหารมังสวิรัติมากพอแล้วจริง ๆ เดิมยังคิดว่าเสนาบดีศาลต้าหลี่ไปทำธุระแล้ว ใครจะคิดว่าบุรุษผู้นี้ช่างหัวไวจริง ๆ ถึงกลับตามมากินข้าวแล้ว ซ่งรั่วเจินเห็นท่าทีเช่นนั้นของเซียวอ๋องก็ชะงักไปชั่วขณะ นางไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเซียวอ๋องจะมีสติถึงเพียงนี้ เสนาบดีศาลต้าหลี่อดหัวเราะไม่ได้ แต่ก่อนก็เห็นว่าเซียวอ๋องกับฉู่อ๋องมีสถานะที่อ่อนไหว เวลาอยู่ด้วยกันย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะขัดแย้งกัน กลัวว่าจะยุ่งยากไม่น้อย แต่ว่าหลังจากผ่านช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันที่ศาลต้าหลี่ความสัมพันธ์ก็ดูปรองดองอย่างเห็นได้ชัด เข้ากันได้ดีไม่น้อย ซ่งรั่วเจินมองไปที่ฉู่จวินถิง ก็พบว่าเขาไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจเลย เห็นได้ชัดว่าได้คาดเดาท่าทีของเซียวอ๋องไว้นานแล้ว “เซียวอ๋องเห็นว่าฝีมือเจ้าดีมาโดยตลอด เพียงแต่ตั้งแต่คราวก่อน เจ้าก็ไม่ได้ส่งอาหารมาอีก คราวก่อนยังได้ยินเขากับเสนาบดีศาลต้าหลี่พูดถึงเรื่องนี้ด้วยความเสียดายอยู่เลย” ฉู่

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1493

    ตอนที่เหลียงอ๋องกับพวกมาถึง ก็เห็นซ่งรั่วเจินกับอีกสองคนกำลังนั่งที่โต๊ะเล็กและเริ่มกินกันแล้ว ถังเสวี่ยหนิงเดิมคิดว่าในสำนักเทียนฉือคงไม่มีอะไรอร่อยแน่ ๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีเนื้อสัตว์ด้วย จึงอดประหลาดใจไม่ได้ เซียวอ๋องบอกว่ามากินอาหารมังสวิรัติไม่ใช่หรือ? ครู่ถัดมา เมื่อนางเห็นอาหารมังสวิรัติที่เตรียมไว้ ก็อดตะลึงไม่ได้ อาหารมังสวิรัติที่จืดชืดเช่นนี้ดูแล้วไม่น่ากินเอาเสียเลย จึงอดถามไม่ได้ว่า “ฝ่าบาท เหตุใดพวกเรากินไม่เหมือนพวกเขา?” ฉีชิงอีเห็นซ่งรั่วเจินกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “พระชายาฉู่อ๋องคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นจริง ๆ หรอกกระมัง ถึงกับตั้งใจพาพ่อครัวมาด้วย?” ในแววตาของฉีชิงอีฉายความภาคภูมิใจ นางได้ยินมานานแล้วว่าซ่งรั่วเจินถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอม ใช้ชีวิตในเมืองหลวงเรียกได้ว่าฟุ่มเฟือยสิ้นดี ใครให้สกุลซ่งร่ำรวย ร้านค้าเหล่านั้นในมือซ่งรั่วเจินแต่ละแห่งล้วนเป็นก้อนทองคำที่ออกไข่ได้ เดิมทีก็ไม่เห็นมีอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่บัดนี้มาที่สำนักเทียนฉือเพื่อสืบคดีกับฉู่อ๋อง แล้วยังฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ก็ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง! ฉู่อ๋องมา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status