Share

บทที่ 14

Author: จี้เวยเวย
ไต้ซือเทียนสุ่ยมองซ่งรั่วเจินนิ่งๆ “แม่นางซ่ง หลายวันก่อนอาตมาไปดูฮวงจุ้ยที่จวนตระกูลซ่ง หมู่นี้จวนตระกูลซ่งเกิดเรื่องติดต่อกัน ใช่ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าเลยเสียทีเดียว”

“อ้อ? ไหนท่านลองพูดให้ฟังที ว่าเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไรบ้าง?”

ซ่งรั่วเจินยิ้มหยัน มองคนตรงหน้าด้วยความสงบเยือกเย็น นางอยากรู้นักว่าคนผู้นี้จะแต่งเรื่องอย่างไรออกมา!

“ข้าเคยดูเวลาตกฟากของเจ้ามาก่อน เจ้าชะตาอาภัพมีดวงพิฆาต หลินโหวเป็นดาวนำโชคในชีวิตเจ้า มีเพียงต้องออกเรือนให้เขาจึงจะสามารถคลี่คลายได้”

“เดิมทีหลินโหวไม่มีทางแต่งเจ้า หากไม่ใช่เพราะข้าใช้วิธีการบางอย่าง แม้แต่ภรรยาหลวงเจ้าก็คงไม่ได้เป็น วันนี้เจ้าอยากอยู่อย่างสงบก็มีแต่ต้องเดินทางนี้เท่านั้น มิเช่นนั้น ดวงพิฆาตของเจ้ายังจะทำให้คนอื่นเคราะห์ร้ายไปด้วย”

ได้ยินเช่นนั้น คนที่เดินตามไต้ซือเทียนสุ่ยออกมาล้วนเผยสีหน้าตื่นตกใจ

ดวงพิฆาต นี่เป็นชะตาชีวิตที่ทุกคนหวาดกลัวที่สุด เดิมนึกว่าหลินโหวทอดทิ้งซ่งรั่วเจินเป็นการปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรม แต่ดูจากตอนนี้ หลินโหวเป็นดาวช่วยชีวิตนาง นางกลับไม่รู้ดีชั่ว!

“มิน่าเล่า หมู่นี้ตระกูลซ่งถึงได้เกิดเรื่องไม่หยุดหย่อน ที่แท้ก็เคราะห์ร้ายเพราะซ่งรั่วเจินหรือนี่?”

“ไต้ซือเทียนสุ่ยเคยทำนายดวงชะตาให้นาง นางรู้ดีว่าจะเดือดร้อนถึงคนในครอบครัวแต่ก็ยังถอนหมั้นต่อหน้าธารกำนัล นี่ไม่ใช่แค่ไม่รู้ความแล้ว แต่เรียกว่าจิตใจชั่วช้าอำมหิตมากกว่า!”

“นั่นน่ะสิ ข้าได้ยินมาว่าคืนวาน ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหลินกับหลินโหวไปขอโทษแล้ว แต่กลับถูกไล่ออกมา ไม่รู้จริงๆ ว่านางยังไม่พอใจอะไรอีก?

“ผู้ชายมีสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกติ ดีชั่วอย่างไรก็เป็นคุณหนูผู้ดี ความใจกว้างแค่นี้ก็ยังไม่มี ข้ากลับคิดว่าแม่นางฉินที่หลินโหวแต่งเป็นภรรยาวันนั้นดีกว่ามาก”

“ซ่งรั่วเจินน่ะหรือ ไม่คู่ควรเป็นฮูหยินของจวนโหวเลยสักนิด!”

“สามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกติ ท่านเต็มใจแต่งก็ไปแต่งเองสิ พ่อแม่ข้ายังไม่คัดค้าน ท่านมีสิทธิ์อะไรมาวิพากษวิจารณ์อยู่ตรงนี้?”

ซ่งรั่วเจินปรายตามองฝ่ายตรงข้ามอย่างเย็นชา แววตาลึกล้ำดุจบ่อลึกฉายประกายเย็นเยียบ ไอสังหารที่กดดันผู้คนแผ่ซ่านออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

หญิงผู้นั้นรู้ว่าซ่งรั่วเจินมีนิสัยหัวอ่อนถึงได้กล้าเอ่ยปากอย่างเหิมเกริม จู่ๆ ถูกสายตาคู่นั้นจับจ้องก็รู้สึกหนาววาบในใจ เงียบเสียงไปโดยไม่รู้ตัว

“ไต้ซือเทียนสุ่ย ท่านพูดว่าข้ามีดวงพิฆาต แต่ดวงชะตาที่ข้าดูมาตั้งเด็กล้วนดีเลิศมาโดยตลอด”

“นอกจากนี้ หลายวันก่อน แม่ข้าเชิญท่านมาดูฮวงจุ้ยที่จวน ท่านรับเงินหนึ่งแสนตำลึงไปแล้ว บอกว่าแค่ต้องถมสระบัว อีกทั้งในร้อยปีนี้ห้ามไปแตะต้อง เช่นนี้จึงจะสามารถแก้ไขชะตาของตระกูลซ่งได้”

“แต่ท่านพูดเช่นนั้นได้ไม่ทันไร พี่รองของข้าก็ตาบอดสองข้าง งานวิวาห์ของข้าก็เกิดเรื่อง วันนี้ท่านเห็นว่าเรื่องราวไม่อาจคลี่คลายได้ก็หันมาพูดว่าข้ามีดวงพิฆาต ช่างพูดจากลอกกลับดีเสียจริง คำพูดแบบใดล้วนถูกท่านพูดออกมาจนหมดแล้ว!”

ซ่งรั่วเจินมองไต้ซือเทียนสุ่ยอย่างเย็นชา สายตาไปหยุดลงบนเงาดำกลุ่มหนึ่งด้านหลังเขา

ชั่วขณะที่คนผู้นี้ปรากฏตัว นางก็สังเกตเห็นแล้ว ต้องยอมรับว่าคนผู้นี้มีความสามารถ ถึงกับเลี้ยงผีน้อยเอาไว้ด้วยตนหนึ่ง

จะว่าไปก็น่าขัน นักพรตหรือภิกษุทั่วไปล้วนบำเพ็ญตนเพื่อละวางกิเลส โปรดสรรพสัตว์ คนตรงหน้ากลับประเสริฐนัก เลี้ยงผีน้อยตนหนึ่งไว้ข้างกาย อาศัยผีน้อยตนนี้จนได้ชื่อว่าเป็นไต้ซือ

แต่พลังของผีน้อยมีจำกัด ต่อให้สามารถมองทะลุสิ่งของบางอย่างได้ แต่ไม่มีความสามารถส่งวิญญาณไปสู่สุคติ

“อาตมาจัดการทุกอย่างไว้ดีแล้ว ถ้าแม่นางซ่งยอมออกเรือนไปแต่โดยดี ทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปเอง แต่เจ้าไม่ยินยอม ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวันนี้ จะมาโทษอาตมาได้อย่างไร?”

ไต้ซือเทียนสุ่ยแค่นเสียง สีหน้าเย็นชาถึงที่สุด “อาตมาเห็นแก่หน้าฮูหยินตระกูลซุนจึงได้คิดจะช่วยเหลือเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าไม่รับน้ำใจ อาตมาก็จะไม่ช่วยอีกแล้ว!”

“เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม? แม่ข้าทุ่มเทเพียงใดเพื่อช่วยเหลือเจ้า แต่เจ้านอกจากจะไม่รับน้ำใจแล้วยังมาล่วงเกินไต้ซือเทียนสุ่ยอีก เกรงว่าตระกูลซ่งคงต้องเคราะห์ร้ายหมดบ้านเพราะเจ้าคนเดียว!”

ซุนฮั่นเฟยสุดจะระงับความพลุ่งพล่าน มารดากับท่านป้าเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ออกเรือนให้ตระกูลสูงศักดิ์เหมือนท่านป้า กอปรกับพี่น้องตระกูลซ่งล้วนมีชื่อเสียงอยู่ข้างนอก เหนือกว่าเขาไปเสียทุกอย่าง เวลาปกติถึงออกไปไหนด้วยกัน เขาก็เป็นได้แค่ตัวประกอบมาตลอด

ยามนี้ตระกูลซ่งเสื่อมถอย คนเหล่านั้นทยอยเกิดเรื่องไปทีละคน ไม่ต้องบอกเลยว่าในใจเขารู้สึกปลอดโปร่งมากแค่ไหน!

“อาศัยแค่คำโกหกพกลมของพวกสิบแปดมงกุฎอย่างท่าน ก็คิดจะมาตัดสินชะตาตระกูลซ่ง ท่านคู่ควรด้วยรึ?”

“ข้าจะทำนายให้ท่านก็แล้วกัน ท่านหว่างคิ้วหม่นหมอง ขนคิ้วบางเบา ใบหน้ามีสีแดงเรื่อ ผีน้อยข้างกายเลี้ยงไว้นานไปจะต้องแว้งกัดแน่นอน อย่างมากไม่เกินสามวัน จะต้องประสบกับเคราะห์ร้ายเลือดตกยางออก!”

ซ่งรั่วเจินแววตาเฉยเมย วิญญาณอาฆาตข้างหลังคนผู้นี้ขยายใหญ่ขึ้นทุกที เงาดำนั้นแทบจะกลืนกินเขาหมดแล้ว

เลี้ยงผีน้อย ตนเองก็ต้องมีความสามารถข่มมันได้ หากไม่มีความสามารถนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องสูญเสียสิ่งที่ได้มาเพราะอาศัยผีน้อย เจ้าตัวยังต้องประสบกับการแว้งกัด คนผู้นี้เห็นได้ชัดว่ากำลังจะรับมือไม่ไหวแล้ว

สิ้นเสียงซ่งรั่วเจิน คนรอบข้างก็พูดถากถางขึ้นมา

“นางพูดเหลวไหลอะไร? ทำนายดวงชะตาให้ไต้ซือเทียนสุ่ยเนี่ยนะ?”

“เกรงว่าซ่งรั่วเจินคงสะเทือนใจเกินไปจนเริ่มพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อนแล้วกระมัง?”

ไต้ซือเทียนสุ่ยมีสีหน้าเย้ยหยัน “แม้แต่ฮวงจุ้ยง่ายๆ เจ้ายังดูไม่เป็น ถึงกับกล้าพูดว่าข้าจะมีเคราะห์โชกเลือด ช่างเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี!”

“ญาติผู้น้อง ข้าว่าเจ้ายอมรับผิดแต่โดยดีเถอะ ไยต้องปากแข็ง? ก่อเรื่องต่อไปไม่เป็นผลดีต่อเจ้าหรอกนะ”

ซุนฮั่นเฟยแสร้งเกลี้ยกล่อมด้วยความปรารถนาดี ในใจกลับอดหัวเราะเยาะเย้ยไม่ได้ ญาติผู้น้องคงสมองเลอะเลือนไปแล้ว ถึงกับกล้าสงสัยไต้ซือเทียนสุ่ยทั้งยังสาปแช่งเขาอีกด้วย!

“ไต้ซือเทียนสุ่ย ลูกสาวข้าหายตัวไปหลายปี ได้โปรดช่วยทำนายให้ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะว่าชีวิตนี้ข้ายังมีโอกาสหาลูกสาวพบหรือไม่?”

ฮูหยินหน้าตางดงามนางหนึ่งที่อยู่ข้างๆ มองไต้ซือเทียนสุ่ยด้วยความร้อนใจ นางทุ่มเทไปมากกว่าจะได้พบไต้ซือเทียนสุ่ย เดิมนั้นตอนนี้ควรช่วยนางคลี่คลายปัญหาได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกขัดจังหวะเพราะการปรากฏตัวขึ้นของซ่งรั่วเจิน

นางไม่อาจปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลย จะต้องหาลูกสาวนางให้พบให้ได้

ซ่งรั่วเจินได้ยินแล้วก็หันไปมองผู้หญิงตรงหน้าคนนั้น นางแต่งกายเรียบร้อย สวมเครื่องประดับหรูหรา ทั้งยังดูคุ้นตาอย่างมาก เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน

“ลูกสาวหายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อน คงไม่ใช่ฮูหยินของราชครูสวีหรอกนะ?”

ในสมองปรากฏภาพคนผู้หนึ่งอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเรื่องนี้โด่งดังไปทั่วเมืองหลวง ได้ยินว่าสวีฮูหยินพาลูกสาวไปเดินเล่นที่งานวัด แต่ลูกสาวกลับหายตัวไป ยังหาคนไม่พบจนถึงบัดนี้

ไต้ซือเทียนสุ่ยเหลือบมองสวีฮูหยินแวบหนึ่ง แล้วหันไปมองซ่งรั่วเจิน ฉับพลันก็คิดแผนการขึ้นได้

“ในเมื่อเจ้าพูดเองว่าตัวเองมีความสามารถในการทำนายทายทัก มิสู้พวกเรามาประลองกันว่าใครทำนายได้แม่นยำกว่ากัน? ดูว่าใครจะสามารถตามหาลูกสาวให้ฮูหยินท่านนี้ได้ก่อน!”

เมื่อวาจานั้นดังขึ้น ทุกคนล้วนกวาดสายตามามองซ่งรั่วเจิน รู้สึกเพียงว่านางหาเรื่องใส่ตัว นางที่เป็นคุณหนูที่อยู่แต่ในเรือน จะไปรู้เรื่องพวกนั้นได้อย่างไร?

ทว่ามุมปากของซ่งรั่วเจินกลับหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มนึกสนุก “ตกลง!”

“ถ้าข้าชนะ ท่านจะต้องโขกศีรษะขอขมาข้า และสารภาพว่าใครเป็นคนบงการให้ท่านนำของสกปรกมาฝังไว้ในสระบัวบ้านข้า!”
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1498

    นางไม่เคยปรารถนาสิ่งใด สิ่งเดียวที่หวังก็คือให้ลูกสาวได้ไปเกิดใหม่ในครอบครัวที่ดี อย่าได้มีมารดาไร้ประโยชน์เช่นนางอีกเลยในฐานะมารดา แม้แต่ลูกของตนเองก็ยังปกป้องไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูลูกของตนถูกส่งไปตาย!“ท่านมองเห็นลูกของข้าจริงหรือ?” สายตาของจิ้งอินซือไท่จับจ้องซ่งรั่วเจิน เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังซ่งรั่วเจินพยักหน้า สายตาหันไปยังด้านข้างตัวนาง “ความจริงแล้วลูกสาวของท่านอยู่ข้างกายท่านมาโดยตลอด นางสามารถไปเกิดใหม่ได้ตั้งนานแล้ว แต่เพราะห่วงใยท่าน จึงยังไม่ยอมไป”เด็กหญิงคนนั้นเห็นว่าซ่งรั่วเจินมองเห็นตนจริง ก็ดีใจขึ้นมาซ่งรั่วเจินจึงค่อยๆ ถ่ายทอดความรู้สึกและคำพูดที่เด็กหญิงอยากบอกออกมา“นางบอกว่าคนที่นางรักที่สุดก็คือแม่ นางเข้าใจดีว่าท่านจำต้องทำเช่นนั้น แต่ไรมาไม่เคยโกรธเคืองท่านเลย”เพียงเอ่ยออกมา จิ้งอินซือไท่ก็ยกมือปิดหน้าร้องไห้ ความขมขื่นที่กดทับอยู่ในใจตลอดหลายปีพลันระเบิดออกมาทั้งหมดในห้วงขณะนั้น“ท่านโกหกข้า! ลูกของข้าเด็กเพียงนั้น กลับต้องตายไปก่อนเวลาอันควร ข้าที่เป็นแม่ไร้ค่าคนหนึ่งทำไม่ได้แม้แต่ปกป้องนาง นางจะไม่โกรธเคืองข้าได้อย่างไรกัน! นางต้องเกลียดข้าแน่ๆ

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1497

    จิ้งอินซือไท่เผชิญหน้ากับคำถามไล่เรียงนั้น นางเพียงแต่ส่ายหน้า สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็มิปาน“ใต้เท้า ข้าไม่รู้เรื่อง หากท่านไม่เชื่อ ก็ฆ่าข้าเถิด”“เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้หนีไม่พ้นพวกเจ้า เจ้าคิดหรือว่าปิดบังเช่นนี้แล้วพวกเราจะสืบหาความจริงไม่พบ?”ใบหน้าเสนาบดีศาลต้าหลี่พลันเย็นชา เดิมทีคิดว่าคนของสำนักเทียนฉือน่าจะพูดจาง่าย ไม่นึกเลยว่าล้วนเป็นพวกหัวแข็ง ถามไล่เรียงอย่างไรก็ไม่อาจเค้นเอาความจริงที่เป็นประโยชน์ออกมาได้แม้สักนิด“จิ้งอินซือไท่ ท่านรู้สึกผิดต่อลูกสาวของตนมาตลอดใช่หรือไม่?” จู่ๆ ซ่งรั่วเจินก็เอ่ยขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แววตาของจิ้งอินซือไท่พลันสะท้อนความตกใจวูบหนึ่ง แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดอันใด”“จิ้งอินซือไท่ ลูกสาวของท่านใช่หรือไม่ว่ามีผิวขาวดุจหยก ดวงตาสดใสดั่งดวงจันทร์ มัดผมเปียสองข้าง ชอบสวมกระโปรงสีเขียว?”“น่าเสียดาย วันที่นางถูกพาตัวไป กลับถูกเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีแดงทั้งชุด อีกทั้งยังสวมปลอกคอประดับกระดิ่งเงินที่นางชื่นชอบที่สุด” “นางร้องไห้อ้อนวอนท่าน นางไม่อยากถูกพาไป แต่แม้ท่านจะพยายามจนหมดส

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1496

    เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเซียวอ๋องไม่ชั่วร้ายต่ำต้อยเช่นเดียวกับเช่ออ๋อง กลับดูเหมือนเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าหากไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ ในชาติที่แล้วก็คงไม่ถูกเช่ออ๋องใส่ร้ายป้ายสีจนกลายเป็นองค์ชายไร้อำนาจ“เมื่อคนเราผ่านประสบการณ์มามาก ก็ย่อมคิดตก” ฉู่จวินถิงคีบอาหารให้ซ่งรั่วเจินพลางพูดว่า “ทีแรกยังกลัวว่าเจ้ามาที่นี่แล้วจะรู้สึกเบื่อเสียอีก ตอนนี้ดีเลย มีเรื่องวุ่นวายให้ดู พอดีเลยไม่ใช่หรือ?”ซ่งรั่วเจินยกมือเกาจมูก อยู่ด้วยกันนานแล้ว ความลับเล็กๆ น้อยๆ ล้วนปิดไม่มิดหลังกินข้าวแล้ว ซ่งรั่วเจินเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราไปดูศพเถอะ หมอชันสูตรน่าจะนับได้ไม่น้อยแล้ว จากปริมาณย่อมสามารถมองออกได้ว่าทิศทางที่พวกเราวิเคราะห์นั้นถูกหรือไม่”ถังเสวี่ยหนิงสามคนเองก็กินเสร็จแล้ว เดิมทีพวกเขาก็ไม่สนใจอาหารเจอยู่แล้ว เพียงกินๆ ไปเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นตามซ่งรั่วเจินและฉู่จวินถิงไปสืบคดีพร้อมกันเห็นดังนั้น ทั้งสองคนหันมองเหลียงอ๋อง อยากติดตามไปด้วย“พระชายาเหลียงอ๋อง โครงกระดูกในเรือนหลังนี้น่าตกใจเป็นพิเศษ ข้าชี้แนะพวกท่านอย่าไปเลยจะดีที่สุด” เสนาบดีศาลต้าหลี่เอ่ยเตือน“ถ้าอย่างนั้นเหตุใด

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1495

    “เจ้ากับเซียวอ๋องเดิมทีก็ไม่คุ้นเคยกัน ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มอยู่ร่วมกัน อีกอย่าง เจ้าก็ยังมิได้แสดงความในใจ เซียวอ๋องจะรักษาระยะห่างกับเจ้าก็ปกติ” “เขาเป็นถึงท่านอ๋อง หรือเจ้าหวังว่าเขามาทำตัวเอาอกเอาใจเจ้าเหมือนบุรุษอื่นหรือ?” ฉีชิงอีเห็นว่าถังเสวี่ยหนิงเพิ่งเจออุปสรรคเพียงเล็กน้อยก็เริ่มคิดถอย แววตาจึงฉายความไม่อยากจะเชื่อ ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกนางคบหากัน ถังเสวี่ยหนิงมั่นใจอยู่เสมอไม่ใช่หรือ? ท่าทางในวันนี้ แม้แต่นางยังรู้สึกดูแคลน! “เจ้าควรคิดให้ดีนะ ข้าที่อุตส่าห์มาเมืองฉีหยางพร้อมท่านอ๋องก็เพื่อช่วยเจ้า หากเจ้าคิดจะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้จริง ๆ พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว” น้ำเสียงของฉีชิงอีแฝงความไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเมิ่งชิ่นกำลังจะได้เป็นพระชายาหยางอ๋อง และความสัมพันธ์ระหว่างตนกับองค์หญิงฉีเยว่ก็แย่ลงเพราะเรื่องวุ่นวายครั้งก่อน อีกทั้งไม่มีผู้ช่วยที่เหมาะสมอยู่ข้างกาย นางก็คงไม่คิดจะดึงถังเสวี่ยหนิงขึ้นมา หากถังเสวี่ยหนิงได้เป็นพระชายาเซียวอ๋อง แม้แต่นางเองก็ต้องเรียกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับการถูกซ่งรั่วเจินกดไว้ อย่า

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1494    

    ว่าพลาง เขาก็ไม่สนใจถังเสวี่ยหนิงกับพวก ก่อนจะไปนั่งลงตรงที่ว่างระหว่างซ่งรั่วเจินและพวก และตักข้าวใส่ชามให้ตนเอง โชคดีที่เขาถือว่ามาไม่สายเกินไป ช่วงหลายวันนี้กินแต่อาหารมังสวิรัติมากพอแล้วจริง ๆ เดิมยังคิดว่าเสนาบดีศาลต้าหลี่ไปทำธุระแล้ว ใครจะคิดว่าบุรุษผู้นี้ช่างหัวไวจริง ๆ ถึงกลับตามมากินข้าวแล้ว ซ่งรั่วเจินเห็นท่าทีเช่นนั้นของเซียวอ๋องก็ชะงักไปชั่วขณะ นางไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเซียวอ๋องจะมีสติถึงเพียงนี้ เสนาบดีศาลต้าหลี่อดหัวเราะไม่ได้ แต่ก่อนก็เห็นว่าเซียวอ๋องกับฉู่อ๋องมีสถานะที่อ่อนไหว เวลาอยู่ด้วยกันย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะขัดแย้งกัน กลัวว่าจะยุ่งยากไม่น้อย แต่ว่าหลังจากผ่านช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันที่ศาลต้าหลี่ความสัมพันธ์ก็ดูปรองดองอย่างเห็นได้ชัด เข้ากันได้ดีไม่น้อย ซ่งรั่วเจินมองไปที่ฉู่จวินถิง ก็พบว่าเขาไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจเลย เห็นได้ชัดว่าได้คาดเดาท่าทีของเซียวอ๋องไว้นานแล้ว “เซียวอ๋องเห็นว่าฝีมือเจ้าดีมาโดยตลอด เพียงแต่ตั้งแต่คราวก่อน เจ้าก็ไม่ได้ส่งอาหารมาอีก คราวก่อนยังได้ยินเขากับเสนาบดีศาลต้าหลี่พูดถึงเรื่องนี้ด้วยความเสียดายอยู่เลย” ฉู่

  • ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง   บทที่ 1493

    ตอนที่เหลียงอ๋องกับพวกมาถึง ก็เห็นซ่งรั่วเจินกับอีกสองคนกำลังนั่งที่โต๊ะเล็กและเริ่มกินกันแล้ว ถังเสวี่ยหนิงเดิมคิดว่าในสำนักเทียนฉือคงไม่มีอะไรอร่อยแน่ ๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีเนื้อสัตว์ด้วย จึงอดประหลาดใจไม่ได้ เซียวอ๋องบอกว่ามากินอาหารมังสวิรัติไม่ใช่หรือ? ครู่ถัดมา เมื่อนางเห็นอาหารมังสวิรัติที่เตรียมไว้ ก็อดตะลึงไม่ได้ อาหารมังสวิรัติที่จืดชืดเช่นนี้ดูแล้วไม่น่ากินเอาเสียเลย จึงอดถามไม่ได้ว่า “ฝ่าบาท เหตุใดพวกเรากินไม่เหมือนพวกเขา?” ฉีชิงอีเห็นซ่งรั่วเจินกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “พระชายาฉู่อ๋องคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นจริง ๆ หรอกกระมัง ถึงกับตั้งใจพาพ่อครัวมาด้วย?” ในแววตาของฉีชิงอีฉายความภาคภูมิใจ นางได้ยินมานานแล้วว่าซ่งรั่วเจินถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอม ใช้ชีวิตในเมืองหลวงเรียกได้ว่าฟุ่มเฟือยสิ้นดี ใครให้สกุลซ่งร่ำรวย ร้านค้าเหล่านั้นในมือซ่งรั่วเจินแต่ละแห่งล้วนเป็นก้อนทองคำที่ออกไข่ได้ เดิมทีก็ไม่เห็นมีอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่บัดนี้มาที่สำนักเทียนฉือเพื่อสืบคดีกับฉู่อ๋อง แล้วยังฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ก็ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง! ฉู่อ๋องมา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status