“พี่ใหญ่ เหตุใดจึงกล่าววาจาร้ายแรงเช่นนั้นเล่า? พี่รอง ท่านดูเขาสิ...”“พี่ใหญ่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว” กู้ชิงซิวเองก็เอ่ยด้วยใบหน้าเยียบเย็นเช่นกัน “หากเจ้าอยากไปก็ไปเสียเถิด ส่วนเรื่องพ่อแม่ต่อไปพวกข้าจะดูแลตอบแทนคุณท่านอย่างดีเอง“หากเจ้ายังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง วันข้างหน้าก็จงกตัญญูต่อพ่อแม่เสียบ้าง อย่างไรเสียเจ้าอยู่ข้างนอกก็มีเรือนมีเหย้าตน จะอยู่กับน้องสาวแสนดีของเจ้าก็สุดแล้วแต่ใจเจ้าเถิด แต่อย่าหวนมาหาพวกข้าอีก!”กู้ชิงเจ๋อตะลึงงันอยู่กับที่ ไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าตนเพียงกล่าวช่วยน้องสาวไปไม่กี่คำเท่านั้น พวกเขาก็ถึงกับคิดจะตัดสัมพันธ์กับเขาเสียแล้ว!“อวิ๋นเวยเป็นน้องสาวของพวกท่าน หาใช่ศัตรู! ข้าก็เพียงอยากช่วยเหลือนางเท่านั้น แต่พวกท่านกลับโกรธเกรี้ยวได้ถึงเพียงนี้ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ!”กู้ชิงเจ๋อเองก็เริ่มมีน้ำโหแล้วเช่นกัน เขารู้สึกเพียงว่าสองคนนี้อาจโดนสกุลซ่งครอบงำไปแล้วก็ได้ จึงได้ทำตัวไร้เหตุผลได้ถึงเพียงนี้?“ยังคิดไม่ได้ก็ไปทบทวนเสียให้ดี คิดได้เมื่อใดค่อยกลับมา!”“หากคิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ได้ ก็ไปหาน้องสาวแสนดีของเจ้าเสียเถิด!”กู้ชิงซิวคร้านจะต่อล้อต่อเถียง คิดแต่
ตราบใดที่หลินรั่วหลานกลับคำพูดเสีย ความผิดทั้งหมดก็ย่อมไม่ตกอยู่ที่นางอีกต่อไปกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นางจะต้องออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเป็นแน่!“ลูกแม่ ท้องนี้ของเจ้าถือว่าดียิ่งนัก หากมิมีเรื่องพวกนี้แล้วเล่าก็ จะดีแค่ไหนหากเจ้าได้พักผ่อนดูแลครรภ์อยู่กับบ้านให้ดี?”“บัดนี้ต้องตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ดีกับเด็กในครรภ์เจ้านัก”กู้อวิ๋นเวยมองฉินซวงซวงอย่างห่วงใย ก่อนจะเหลือบมองหลินจือเยว่ด้วยความไม่พอใจ “เรื่องก่อนนี้ข้ามิอยากพูดถึงแล้ว บัดนี้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดเจ้าก็ต้องดูแลเด็กในครรภ์นี้ให้ดี!”“ซวงซวงมิเคยทำสิ่งใดผิดต่อเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นบุรุษ จะให้ภรรยาและลูกต้องมารับเคราะห์ด้วยกันหมดได้อย่างไรเล่า!”หลินจือเยว่รู้สึกสลับซับซ้อนในใจ เขาย่อมเข้าใจความหมายของกู้อวิ๋นเวยดี ซวงซวงกำลังตั้งครรภ์ลูกของเขา ย่อมต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเพียงแต่เมื่อคิดดูแล้ว เรื่องครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย หากต้องให้เขามาแบกรับทุกสิ่งอย่างแล้วเล่าก็ ในใจเขาเองก็อดรู้สึกขัดข้องไม่ได้หากไม่ใช่เพราะซวงซวง เขาก็คงไม่ต้องกลายมาเป็นคนคุก แล้วยังต้องทนฟังถ้อยคำตำหนิ
“กว่าเจ้าจะมีลูกได้สักคนมิได้ง่ายดาย ขอเพียงนางตั้งใจคลอดเด็กคนนี้อย่างสงบ ข้าเชื่อว่าด้วยกำลังของตระกูลฉิน ย่อมมิปล่อยให้นางต้องลำบาก จะต้องมีหนทางให้เจ้าได้กลับมาเมืองหลวงอีกครั้งเป็นแน่”ทว่าเมื่อได้ฟังถ้อยคำนี้แล้วหลินจือเยว่กลับเผยสีหน้าขมขื่นออกมา“เป็นไปมิได้หรอกขอรับ แม่ทัพฉินก็ปลดฉินฮูหยินไปแล้ว กระทั่งสองแม่ลูกคู่นั้นยังมิอยากจะข้องเกี่ยว เช่นนั้นจะมาช่วยเหลือข้าได้อย่างไร?”ได้ยินเช่นนั้น หลินรั่วหลานถึงกับเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าว่ากระไรนะ? แม่ทัพฉินจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับพวกนางแม่ลูกได้อย่างไร?”“เป็นเรื่องจริงขอรับ” หลินจือเยว่ถอนหายใจยาวเหยียด แรกได้ยินข่าวเขาก็รู้สึกตกใจเช่นกัน ทว่าเมื่อลองคิดดูแล้วแต่ไหนแต่ไรแม่ทัพฉินก็เป็นคนไม่แยแสเช่นนี้อยู่แล้วขณะนั้นเอง หลินรั่วหลานก็พลันลุกพรวดขึ้นมา ตะโกนด่ากราดกู้อวิ๋นเวยด้วยความเดือดดาล“นังหญิงชั่ว! เจ้าโกหกข้า!”กู้อวิ๋นเวยกลับหัวเราะเยาะขึ้นมา “ข้าหลอกเจ้าแล้วจะอย่างไร? หากมิใช่เพราะเจ้าก่อเรื่อง มีหรือที่ข้าจะถูกปลดได้?”“หากเจ้ามิก่อเรื่องเช่นนี้ ข้าก็ยังมีโอกาสช่วยพวกเขาได้ แต่ตอนนี้เจ้ากลับทำให้ข้าสูญเ
“ท่านแม่ จู่ๆ กลับคำพูดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเช่นนั้น มีโทษถึงตายเลยมิใช่หรือ?”“ก็แน่นอนว่านางต้องตายอยู่แล้วสิ!”ภายในดวงตาของกู้อวิ๋นเวยฉายชัดถึงความตื่นเต้นและอำมหิต นางเฝ้ารอที่จะได้เห็นหลินรั่วหลานตายตกไปแทบไม่ไหวอยู่แล้ว!หญิงมากความผู้นี้กล้าตบตีทำร้ายนาง ซ้ำยังทำนางต้องตกเป็นภรรยาที่ถูกขับไล่ หากปล่อยให้อยู่ดีมีสุขต่อไปแล้วความแค้นที่สุมแน่นอยู่ในอกนางจะมอดดับลงได้อย่างไรเล่า?ฉินซวงซวงถึงกับหน้าถอดสี “โทษถึงตายเชียวหรือ?”กู้อวิ๋นเวยพยักหน้า “นางทำตัวเองแท้ๆ หากนางมิเข้าวังไปร้องทุกข์ต่อฝ่าบาทเรื่องราวก็คงมิบานปลายมาถึงขั้นนี้หรอก นางสมควรแล้ว!”“นางตายไปเสียก็ดีแล้ว อยู่ไปก็คอยแต่จะสร้างปัญหามิให้ได้หยุดหย่อน ขอเพียงไร้นาง วันข้างหน้าเจ้าก็จะมิมีแม่สามีน่ารำคาญใจเช่นนี้อีกต่อไป”แม้ฉินซวงซวงจะรู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้าง ทว่าเมื่อครุ่นคิดให้ดีก็กลับรู้สึกโล่งอกขึ้นมา อย่างไรเสียนางก็ไม่ถูกชะตากับหลินรั่วหลานอยู่นานแล้ว!“หลินรั่วหลานจะถูกกุดหัวในเที่ยงวันพรุ่งนี้!”ผู้คุมผู้หนึ่งเดินเข้ามาแจ้งข่าวคราวได้ยินเช่นนั้น หลินรั่วหลานที่เดิมทียังคงพร่ำพรรณาถึงความทุกข์ยากในห้อ
หลินจือเยว่หน้าซีดขาวไร้สีเลือด ท่านพ่อสิ้นชีพไปนานแล้ว เหลือก็แต่เพียงเขาและท่านแม่สองคนให้ได้พึ่งพาอาศัยหล่อเลี้ยงกันไปหากบัดนี้ยังต้องสูญสิ้นท่านแม่ไปอีกคน บนโลกนี้จะไม่เหลือเพียงตัวเขาโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ผู้เดียวหรอกหรือ?ทว่าฝ่าบาทมีพระราชโองการลงมาเช่นนี้ ไม่ว่าจะวิงวอนร้องขออย่างไรก็ไร้ผลแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานภาพของเขาที่แม้แต่โอกาสให้ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทก็ยังไม่มี“เจ้ารีบตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้เถิด ความผิดที่เจ้าทำลงไปมีโทษสถานเดียวคือโทษถึงตาย!”นัยตากู้อวิ๋นเวยเต็มด้วยความเยาะหยัน เมื่อเห็นหลินรั่วหลานตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว หัวใจของนางก็พองโตสุขสะใจเสียจนไม่อาจอธิบายสมควรแล้ว!กล้าทำร้ายนาง แค่กุดหัวยังนับว่าปรานีเกินไปมากแล้ว!“ท่านแม่ยาย ที่ท่านแม่ข้าพลั้งมือทำลงไปก็เพียงเพื่อปกป้องข้าเท่านั้น ไยท่านจะต้องใจร้ายต่อกันถึงเพียงนี้เล่า?” หลินจือเยว่เอ่ยถามด้วยดวงตาแดงก่ำกู้อวิ๋นเวยปรายตามองเขาจังหวะหนึ่ง ทีท่าฉายชัดถึงความยโสโอหัง “หลินจือเยว่ เจ้าจะต้องเข้าใจเสียทีว่าข้าเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยเจ้าได้!”“แม่ของเจ้าก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้เอง มิใช่นางก็ข้าที่ต้อ
กู้อวิ๋นเวยร้องไห้อย่างเจ็บปวด มองเส้นผมถูกดึงหลุดบนพื้น รู้สึกคล้ายศีรษะของตนว่างเปล่าไปหย่อมใหญ่หลินจือเยว่เองก็ไม่สามารถระงับไหวอีกต่อไป “ท่านทำร้ายท่านแม่ข้าจนไม่มีทางรอดแล้ว บัดนี้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย หรือยังเสียใจอีก?”กู้อวิ๋นเวยรู้สึกเหลือจะเชื่อ “เจ้าพูดอะไร?”สายตาหลินรั่วหลานโกรธแค้น อาศัยช่วงกู้อวิ๋นเวยร้องไห้โอดครวญ มือที่เปื้อนเลือดจับปิ่นปักผมกรีดหน้าของกู้อวิ๋นเวย!อย่างไรเสียนางก็ไม่มีหนทางรอดแล้ว ต่อให้ไม่สามารถฆ่ากู้อวิ๋นเวยได้ ก็ไม่มีวันปล่อยให้นางมีชีวิตที่ดี!กู้อวิ๋นเวยสัมผัสได้ถึงอันตรายครู่ต่อมาจึงอยากหลบไปข้างหลัง จนใจที่ไม่ทันการณ์แล้ว นางรู้สึกเพียงปิ่นปักผมกรีดลงบนหน้าตนเอง นำพาเอาความเจ็บปวดมาด้วย“กรี๊ด!”เสียงแหลมสูงดังขึ้น ภายในสายตากู้อวิ๋นเวยเปี่ยมความตกตะลึงหวาดกลัว ปิดใบหน้าที่ได้รับบาดเจ็บของตน ก้มหน้ามองก็พบมือสีแดงเปื้อนเลือด“เลือด ล้วนคือเลือด...”กู้อวิ๋นเวยเกิดความกลัวภายในใจ หันมองทางฉินซวงซวงอย่างว้าวุ่น “ใบหน้าข้าถูกทำลายไปแล้วใช่หรือไม่?”ฉินซวงซวงถูกหลินรั่วหลานที่เสียสติไปทำให้ตกตะลึงอึ้งงันอยู่กับที่แล้ว วันปกติเลวร้าย
“ท่านพูดอะไรน่ะ?” ฉินซวงซวงเบิกตากว้าง “ทั้งๆ ที่ข้าอุ้มท้องลูกของท่าน ท่านถึงขั้นสงสัยว่าเป็นลูกของคนอื่น?”หลินรั่วหลานที่กำลังตัวชาเพียงได้ยินว่าเด็กอาจไม่ใช่ของหลินจือเยว่ หัวใจตึงเครียดขึ้นมา รีบจับมือหลินจือเยว่ถามไล่เรียงว่า “นางตั้งครรภ์นานมากเพียงใดแล้ว?”“หนึ่งเดือน” หลินจือเยว่ตอบสีหน้าแข็งทื่อดุจเหล็ก“นั่นมิใช่ช่วงที่จับได้ว่ามีชู้หรือ?”หลินรั่วหลานจดจำเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน คำนวณดูแล้วบังเอิญเป็นช่วงเวลานั้นจริง!ยิ่งไปกว่านั้น นางจำได้ว่าช่วงนั้นจือเยว่และฉินซวงซวงขัดแย้งกัน ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ไม่ดี น่ากลัวว่ามิได้นอนร่วมห้องกันเช่นนี้แล้ว เด็กคนนี้ก็อาจเป็นลูกชู้หลินจือเยว่พยักหน้า ในฐานะบุรุษ นี่คือการหยามเกียรติอย่างใหญ่หลวงฮูหยินมีชู้ ยังไม่ต้องพูดว่าบัดนี้อาจท้องลูกชู้ของคนอื่น แท้จริงแล้วเขาเองก็คำนวณวันภายในใจมาโดยตลอดทีแรกยังสามารถพูดเอาชนะใจตนเองได้ ทว่าลองนึกถึงสถานการณ์เมื่อหนึ่งเดือนก่อนอย่างละเอียดแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ เด็กคนนี้น่าจะเป็นของเหยาจิ่นเฉิง ชนิดที่ว่าฉินซวงซวงมีชายอื่นอยู่ภายนอกหรือไม่เขาก็ไม่แน่ใจสรุปก็คือ เด็กคนนี
“ไม่ต้อง อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนดี ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”หัวหน้าผู้คุมโบกมือ เขาเชี่ยวชาญการมองสีหน้าคนที่สุด คนหนึ่งคือภรรยาลูกสาวสกุลฉินที่ถูกทอดทิ้ง คนหนึ่งคือสกุลหลินที่ไม่อาจพลิกชะตากลับมาได้อีก เดิมทีก็ไม่มีเบื้องหลังให้พูดถึงพวกเขายังล่วงเกินท่านอ๋องอีกด้วย ช่วยพวกเขาไม่เพียงไม่มีข้อดียังจะพลอยซวยตามตกกันไป ตัวโง่งมเท่านั้นถึงจะทำเรื่องพรรค์นี้!……ณ สกุลซ่งซ่งรั่วเจินมั่นใจว่าอีกไม่นานบิดาของตนก็สามารถกลับมาได้ รู้สึกยินดีอย่างมากนับตั้งแต่นางทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ยังไม่เคยพบบิดามาก่อน แต่ภายในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็รู้ว่าบิดาดีต่อนางมากเดิมทีต้องการแจ้งข่าวนี้ต่อมารดาก่อน แต่กังวลนางรู้แล้วจะร้อนใจ นี่จึงตัดสินใจรอข่าวที่แน่นอนยืนยันกลับมาก่อนแล้วค่อยพูดจากนั้น นางเพิ่งกลับมาก็ได้ยินว่าคนสกุลกู้มาเยี่ยมเยียน หลิ่วหรูเยียนเรียกนางไปพร้อมกันที่เรือนส่วนหน้า“สกุลกู้มาเยี่ยมอย่างกะทันหันในตอนนี้ คาดว่ามาขอบคุณกระมัง?”หลังหลิ่วหรูเยียนกลับมาแล้วก็อดรู้สึกกังวลสถานการณ์ของฮูหยินผู้เฒ่ากู้ไม่ได้ นางเชื่อวิชาแพทย์ของเจินเอ๋อร์ เพียงแต่ความสัมพันธ์ของสองตระกูลก็เป็นเ
ฉู่จวินถิงสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของซ่งรั่วเจิน ไหวพริบบ่งบอกว่ามีปัญหาซ่งรั่วเจินส่ายหน้าเบาๆ “เพียงแต่ได้ยินจงเฟยพูดเรื่องบูชาเซียนโบตั๋นจึงรู้สึกแปลกอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าใช่เซียนโบตั๋นที่หม่อมฉันรู้จักหรือไม่”นางเคยได้ยินเรื่องเซียนโบตั๋นมาก่อน เป็นสิ่งที่สตรีบูชาจริง เซียนบุปผา มีสรรพคุณช่วยคืนความอ่อนเยาว์ เพียงแต่ภายในนี้กลับมีเคล็ดลับบางอย่าง ทำให้คนเสพติดอย่างง่ายดาย สุดท้ายลุ่มหลงจนยากจะถอนตัวขึ้นมาได้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีหากเป็นคนฝีมือโหดเหี้ยม ก็สามารถใช้ของสิ่งนี้แลกเปลี่ยนโชคชะตาได้ น่ากลัวอย่างมากจงเฟยมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ ตนเองเก็บไว้บูชาเองก็พอ ทว่านางกลับนำมามอบให้ฮองเฮา แปลกเกินไปแล้วกระมัง“พูดให้ฟังเถอะ”ฉู่จวินถิงกลับไม่รีบร้อนจากไป เอียงหูฟัง รอฟังคำพูดของว่าที่ฮูหยินอย่างอารมณ์ดีแท้จริงแล้ว ไม่ว่าเจินเอ๋อร์พูดอะไร เขาล้วนอยากฟัง“หม่อมฉันเคยเห็นเซียนโบตั๋นมาก่อน ทำให้สตรีงดงามอ่อนเยาว์ผ่านการบูชาอาหาร หากจริงใจมากเพียงพอ ยังสามารถใช้เลือดเป็นเครื่องบูชาได้ ผลลัพธ์ดีมากนัก”“เพียงแต่จะทำให้สตรีลุ่มหลง กลายเป็นรีบร้อนอยากได้ผลลัพธ์ จากนั้นยากจะถอนตัวขึ
วังหลังวันนี้ซ่งรั่วเจินและฉู่จวินถิงเข้าวังไปขอบพระทัยความเมตตาด้วยกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นความครึกครื้นทั้งภายในภายนอกตำหนักของฮองเฮายังไม่ทันเข้าไปก็ได้ยินเสียงตวนเฟยดังออกมาจากภายใน“ระยะนี้น้องหญิงจงเฟยงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว คนเองก็สดใสมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษ ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่ง ข้าถามนางว่าใช้เคล็ดลับอะไร นางก็ไม่ยอมบอกข้า ต่อมาข้ายังเห็นด้วยตนเอง”ตวนเฟยมองเซียนโบตั๋นข้างห้องบรรทมของฮองเฮาแวบหนึ่ง สายตาสะท้อนแววละโมบ“ที่แท้นางก็ตั้งใจขอเซียนโบตั๋นจากพระผู้ทรงศีล เพื่อรักษาความเยาว์วัยของสตรี ทำให้งดงามมีเสน่ห์!”เพียงถ้อยคำนี้พูดออกมา สนมคนอื่นก็ตาร้อนผ่าว ความเปลี่ยนแปลงของจงเฟยในระยะนี้ พวกนางล้วนเห็นอยู่ในสายตา ฝ่าบาทเองก็ประทับค้างแรมกับจงเฟยที่นั่นติดต่อกันหลายคืน ใครจะไม่อิจฉากันเล่า?สนมภายในวังมีไม่น้อย พวกเขาทำเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ปกติทำทุกวิธี ก็ไม่แน่ว่าจะได้ผลบัดนี้ได้เห็นจงเฟยได้รับความโปรดปรานมากขึ้นทุกที แต่ละคนร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว“เดิมทีคิดว่าจงเฟยจะซ่อนไว้ คิดไม่ถึงเลยว่ายังมอบให้ฮองเฮาอีกด้วย น้องหญิงจงเฟยจริงใจต่อฮองเอาจริงๆ!
“บัดนี้ข้าและองค์หญิงเพียงแต่มีปัญหากันเล็กน้อยเท่านั้น รอข้าไปอธิบายให้ชัดเจน ทั้งหมดย่อมกลับมาเป็นเหมือนเดิม”เสิ่นหวยอันพูดอย่างมีเหตุผล ชนิดที่ว่าหน้าตายังเผยแววลำพองใจ “เจ้าคิดดูให้ดี หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก่อเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมา ป่านนี้คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”“ส่วนข้า ก็แค่ถูกโบย สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างว่องไว หรือเจ้าไม่เข้าใจความหมายกันเล่า?”“ตกลงเจ้าจะพูดอะไร?” เสิ่นจวินเจ๋อหรี่ตาลง สังเกตเห็นปัญหาแล้ว เสิ่นหวยอันมั่นใจในตนเองเกินไป“เหตุที่องค์หญิงทำเช่นนี้ ก็เพราะหึงหวงเท่านั้น” เสิ่นหวยอันหัวเราะเบาๆ ลูบแต่งผมและพูด “องค์หญิงมีจิตปฏิพัทธ์ต่อข้า เพียงแต่เห็นซ่งปี้อวิ๋นอยู่ข้างกายข้ามาโดยตลอด เข้าใจผิดคิดว่าข้าและนางมีความสัมพันธ์กัน นี่ถึงเป็นเช่นนี้”“ระหว่างสตรีย่อมหนีไม่พ้นความหึงหวง นี่คือเรื่องธรรมดาอย่างมาก เพียงแต่องค์หญิงอารมณ์รุนแรงอยู่บ้าง นี่ถึงโบยข้า”“หากไม่รัก นางก็คงไม่โมโหถึงเพียงนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”เสิ่นจวินเจ๋อชะงักไปในทันใด ครู่ต่อมาคิดว่าสายตาของฉู่มู่เหยาไม่น่าจะแย่ถึงเพียงนี้ เพียงแต่ลองคิดดูแล้วเขาก็เริ่มไม่มั่นใจเพราะเสิ่นหวยอันมั่นใจในตน
ได้ยินคำพูดของอวิ๋นเฉิงเจ๋อ ภายในสายตาอวิ๋นเนี่ยนชูเปี่ยมความแปลกใจ มากที่สุดคือต้องการรู้เหตุผลทั้งหมดตกลงเป็นเพราะอะไร?เพราะเหตุใดหลายปีมานี้ ทั้งๆ ที่นางแสดงความชอบของตนออกมาไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ทว่าญาติผู้พี่กลับหลบเลี่ยงนางมาโดยตลอด นางต้องการคำตอบหนึ่ง กลับไม่ได้รับทั้งๆ ที่ดีต่อนางถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่ภายในใจมีนางมาโดยตลอด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?อวิ๋นเฉิงเจ๋อเอ่ยปากพูดเสียงขมปร่า นี่ถึงพูดความคิดที่เก็บซ่อนไว้ภายในใจตลอดหลายปีมานี้ออกมา...อวิ๋นเนี่ยนชูได้ยินทั้งหมดนี้ สายตาสะท้อนแววเหลือจะเชื่อ ยากจะเชื่อได้ว่าทั้งหมดนี้ถึงขั้นยังมีเรื่องที่นางไม่รู้มากถึงเพียงนี้“ดังนั้น...พวกเราไม่ใช่ญาติพี่น้องแท้ๆ?”อวิ๋นเนี่ยนชูเผยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด นี่คือเรื่องที่นางไม่เคยรู้ หลายปีมานี้ญาติผู้พี่ก็ไม่เคยพูดมาก่อนอวิ๋นเฉิงเจ๋อพยักหน้า “ปีนั้นข้าถูกทิ้งไว้ที่ประตูเรือนด้านหลัง หากไม่ใช่ท่านแม่ใจดีรับเลี้ยงข้า ข้าคงตายไปตั้งนานแล้ว...”หลายปีมานี้เขาเคยคิดอยู่หลายค่ำคืน บิดามารดาแท้ๆ ของเขาเป็นใคร เหตุใดต้องทิ้งเขา บางครั้งก็เกลี้ยกล่อมตนเอง คิดถึงปัญหาเหล่านี้ไปล้วนไ
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที