เมื่อเห็นท่าทีฉงนของฉู่มู่เหยา ฉู่อวิ๋นกุยกับซ่งจิ่งเซินก็สบตากัน แววตาทั้งคู่พลันสะท้อนรอยยิ้มที่เผยถึงความเข้าใจแจ่มชัด “หมายความว่าอย่างไรหรือ?” เมื่อฉู่มู่เหยาเห็นว่าทั้งสองเพียงยิ้มบาง ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าดูอะไรออกแล้ว แววตาของนางจึงฉายแววสับสนวูบหนึ่ง “เจ้ามองผู้คนในโลกนี้ง่ายเกินไป ตั้งแต่เล็กเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมในวัง ย่อมมิรู้ว่า พวกแมลงเหม็นในท่อโสโครกเหล่านั้น เพื่อจะไต่เต้าขึ้นไปข้างบน วิธีอะไรก็ทำได้ทั้งหมด” ฉู่อวิ๋นกุยส่ายหน้า ก่อนหน้านี้เสด็จพี่ก็เคยกล่าวไว้ว่า หลาย ๆ เรื่องไม่จำเป็นต้องปิดบังมู่เหยา ต้องให้นางได้เห็นด้านมืดมากมายให้ชัดเจน จึงจะไม่ถูกผู้อื่นหลอกลวงได้ง่าย แต่เสด็จแม่กับเขาต่างก็คิดว่ามู่เหยาเป็นแค่สตรีนางหนึ่งเท่านั้น พวกเขาปกป้องนางให้ดีเป็นพอ ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป ตอนนี้เห็นที… สิ่งที่เสด็จพี่เคยกล่าวก็หาใช่เรื่องไร้เหตุผลไม่ “เสิ่นหวยเป็นบุตรสายรองของสกุลเสิ่น มารดาเองถือว่าได้รับความรักใคร่โปรดปรานอยู่บ้าง แต่ใต้เท้าเสิ่นเป็นคนเจ้าชู้คนหนึ่ง ในจวน นอกจากฮูหยินเอกแล้ว เพียงแค่สนมที่ให้
น่าขยะแขยงยิ่งนัก! ตอนนี้เป็นความโชคดีของนาง แต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ พวกเขาเคยเล่นงานตน ไม่แน่ว่า ในอนาคตอาจไปเล่นงานคนอื่นอีก พวกเขาต้องการยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สมบัติ นางก็จะให้พวกเขาต้องคว้าน้ำเหลว! ฉู่อวิ๋นกุยกับซ่งจิ่งเซินสบตากัน ทั้งสองต่างดูออกว่าสตรีนางนี้มีแผนการอยู่ในใจ แต่ก็หาได้รีบร้อนไม่ เฝ้ารอฟังความคิดของนางอย่างใจเย็น แต่ทว่า ฉู่มู่เหยาตบโต๊ะฉาดหนึ่ง “เรื่องนี้มอบหมายให้ข้าจัดการเอง พวกเจ้าทั้งหมดไม่ต้องออกหน้า หลังจากเจอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าค่อยช่วยข้าก็ยังไม่สาย” “ดี เช่นนั้นก็มอบหมายให้เจ้าจัดการ!” ฉู่อวิ๋นกุยพยักหน้า ถึงอย่างไรก็เป็นองค์หญิง คนที่สามารถใช้งานได้อยู่ในมือมีมากมายถึงเพียงนั้น ตอนนี้มู่เหยาเองก็เติบโตขึ้นแล้ว เรื่องพวกนี้ก็ควรจะเรียนรู้ว่าจะจัดการเช่นไรได้แล้ว จวนสกุลซ่ง ซ่งรั่วเจินตอนที่พบกับกู้ฮวนเอ๋อร์ ก็เห็นท่าทีล่องลอยของสตรีนางนี้ ราวกับว่าเกิดเรื่องที่น่ายินดีอะไรขึ้น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ ออกมาเป็นระยะ ๆ “ฮวนเอ๋อร์ เกิดเรื่องที่น่ายินดีอันใดขึ้นหรือ?” กู้ฮวนเอ๋อร์อึ้งไปชั่วค
กู้ฮวนเอ๋อร์มีสีหน้าเก้อเขิน “ข้าผู้นี้ ก็แค่คนไม่เอาไหน ทุกครั้งตอนที่เจอเรื่องซึ้งใจหรือเสียใจ ความจริงข้าก็มิได้อยากจะร้องไห้แต่น้ำตามันก็ไหลลงมาอย่างหมดสภาพ ควบคุมไม่ได้เลย” นางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่ บางครั้งทั้ง ๆ ที่โกรธจนตาแดง เวลาทะเลาะกับผู้อื่นก็ยังอยากจะร้องไห้อยู่ดี “ข้าและสวี่หยวนชิงเป็นสหายวัยเยาว์ เดิมทีความสัมพันธ์ยังดีอยู่มาก แต่ข้าเห็นเขาเป็นเพียงสหายเท่านั้น เขากลับดื้อดึงจะไปสู่ขอข้าที่จวน พอเป็นเช่นนี้อยู่บ่อยเข้า ข้าก็รู้สึกรำคาญเขามาก” “ตอนนั้นข้าก็คิดว่าข้าชอบอวิ๋นอ๋องมากถึงเพียงนี้ แม้นจะมิสามารถทำให้เขาชอบข้าได้ อย่างน้อยก็อย่าทำให้เขารังเกียจข้า” “เพราะฉะนั้น ข้าจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา มิคิดว่าหลังจากที่พูดแล้ว อยู่ ๆ ท่านอ๋องก็กล่าวขอโทษข้า บอกว่าเขามิได้รังเกียจข้าเลย อีกทั้งยังปลอบข้าอย่างอ่อนโยน...” แก้มทั้งสองข้างของกู้ฮวนเอ๋อร์แดงระเรื่อ นางก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความเขินอาย แน่นอนว่านางอายที่จะบอกว่าอวิ๋นอ๋องกอดนาง จึงเอ่ยเพียงว่า “บอกว่าจะรับผิดชอบข้า” มุมปากของซ่งรั่วเจินยกขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “เขาพูด
“หากเปลี่ยนเป็นท่าน ท่านจะชอบแบบไหนหรือเจ้าคะ?” กู้ฮวนเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยมซ่งรั่วเจินนึกถึงผลงานชิ้นใหญ่ของซ่งจิ่งเซินในอดีตขึ้นได้ อีกทั้งยังนึกถึงสิ่งที่เจ้าของร่างเดิมจ่ายไปในอดีตทั้งหมดนั้น รู้สึกเพียงน่าขันยิ่งนักสองพี่น้องคู่นี้ช่างทุ่มเททั้งเงินทั้งใจให้คนที่ตนรักโดยแท้ แต่สายตากลับไม่ดีนัก...“ขอเพียงเป็นคนในดวงใจ ไม่ว่าทำเรื่องใดก็ชอบทั้งหมดกระมัง” ซ่งรั่วเจินหัวเราะเบาๆ ในอดีตอ่านนิยายมามากมาย เล่ห์เหลี่ยมแสนเผด็จการเหล่านั้น ไม่พูดไม่ได้ว่าชวนให้คนประหลาดใจอย่างมาก“ญาติผู้พี่ไม่มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษเลยหรือ?” กู้ฮวนเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างไม่ยอมตัดใจซ่งรั่วเจินครุ่นคิด ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ในอดีตนางเพียงแต่เห็นเรื่องของผู้อื่น ไม่เคยนึกถึงตนเองมาก่อนนางคิดว่าความสัมพันธ์อันยาวนานนั้นดีมากนัก ความจริงใจสำคัญที่สุดกู้ฮวนเอ๋อร์ถอนหายใจหนักๆ “ญาติผู้พี่ ใช่หรือไม่ว่าท่านมีเงินมากเกินไป มีทั้งหมดแล้ว จึงไม่มีความฝันอะไร?”นางเพ่งพินิจมองของตกแต่งภายในห้องของซ่งรั่วเจินอย่างอดไม่ได้ ทุกชิ้นล้วนราคาไม่ธรรมดา ต่อให้เป็นถ้วยชาก็ล้วนเป็นของชั้นดีนึกถึงตอนแรก
“เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปย่อมส่งผลเสียต่อชื่อเสียงขององค์หญิง คาดว่าฮองเฮาจะต้องไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปแน่” หลี่ซื่อรีบพูด“เจ้าโง่!” ใต้เท้าเสิ่นตะคอกเสียงดัง “ฮองเฮาให้ความสำคัญมากก็ยิ่งเข้มงวดมาก ประเดี๋ยวจะมีคนไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเฉกเดียวกับเขา ใช้วิธีพรรค์นี้มาเป็นราชบุตรเขย!”“เจ้าเองก็ไม่ดูบ้างว่าเจ้ามีคุณธรรมเช่นไร สามารถมีโอกาสช่วยองค์หญิงเอาไว้ได้ก็เป็นวาสนาที่เจ้าบำเพ็ญมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว ยังเพ้อฝันถึงสิ่งอื่น ไม่รู้จักประมาณตน โง่งมยิ่งนัก!”เสิ่นหวยอันได้ยินคำด่าว่าสั่งสอนของบิดา แทบจะเหยียบย่ำเขาให้ต่ำต้อยไม่ต่างจากเถ้าธุลี สีหน้าของเขาแดงก่ำ กลับไม่รู้ว่าจะแก้ตัวเช่นไรหากไม่ใช่เพราะอยู่ที่ครอบครัวนี้แล้วมองไม่เห็นความหวัง เขาก็คงไม่เดินบนคมดาบ คิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้เขาครุ่นคิดตลอดทั้งคืน สามารถแน่ใจได้ว่าองค์หญิงเคยหวั่นไหวกับเขามาก่อน มองผ่านท่าทีและอารมณ์ที่แสดงออกในอดีตก็สามารถมองออกได้ว่าสาเหตุที่ทำให้กลายเป็นเช่นนี้ น่ากลัวว่าเกี่ยวข้องกับซ่งปี้อวิ๋นหากไม่ใช่นางมักจะระงับตนไม่อยู่ เรื่องก็คงไม่ถูกเปิดเผยออกมาหากเขาสามารถแต่งองค์หญิงได้จริง ย่อมสามารถกลับมาผงา
“ได้เลย!” ดวงตาซ่งจิ่งเซินทอประกายระยับ บัดนี้เขาไม่สงสัยในความสามารถของน้องหญิงห้าแล้วขอเพียงเป็นความคิดของนาง เขาก็เห็นด้วยอย่างไม่ลังเล“ตอนนี้บ้านพวกเรามีโรงกลั่นสุราสองสามแห่ง ถึงตอนนั้นให้พวกเขาลองดู หรือบางทีพวกเราก็หาร้านที่เหมาะสมสักแห่ง เปิดร้านเสียเลย!”ซ่งจิ่งเซินโบกมือ ยังไม่ต้องพูดว่าแต่ไหนแต่ไรมาร้านค้าของน้องหญิงห้ายอดเยี่ยมมาก ต่อให้ไม่ดี ก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรซ่งรั่วเจินพยักหน้า อยู่เพียงในบ้านตลอดทั้งวันก็น่าเบื่อ ทำการค้าสักหน่อย นางกลับรู้สึกว่าน่าสนใจ“พี่สี่ วันนี้ท่านมาหาข้ามีธุระหรือ?” ซ่งรั่วเจินเอ่ยถามอย่างแปลกใจซ่งจิ่งเซินชะงักเบาๆ นี่ถึงนึกเป้าหมายที่มาได้จึงพูดว่า “เมื่อครู่คนของจวนฉู่อ๋องมาส่งข่าว พูดว่าฉู่อ๋องเชิญเจ้าไปร่วมงานเทศกาลโคมไฟด้วยกัน ยังตั้งใจส่งเสื้อผ้ามาให้หนึ่งชุดด้วย”“บังเอิญข้าไปพบเข้าจึงรับมา เจ้าดูเถอะ”พูดไป ซ่งจิ่งเซินยื่นของที่บ่าวถือไว้ในมือทางด้านข้างส่งให้ซ่งรั่วเจินเปิดออกก็ได้เห็นชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนแต้มสีม่วงเล็กน้อย ราวกับดอกจื่อเจียวเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ ชายกระโปรงปักดิ้นเงิน ขับเน้นให้งดงามราวกับความฝัน“นี่
ภายในสายตาฉู่จวินถิงไม่ปกปิดความตกตะลึง ตอนเขาได้เห็นผ้านี้ก็คิดว่านางสวมแล้วจะต้องงามมากแน่ขณะเดียวกันชุดนี้สวมอยู่บนร่างกายนาง ผิวที่เดิมทีขาวผ่องอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ขับเน้นให้ขาวกระจ่างมากยิ่งขึ้น สีชาดอ่อนๆ ทำให้นางงดงามยิ่งกว่ามวลบุปผาดวงตาดุจสายน้ำยามวสันต์ผินมองทางเขา ชวนให้เขาใจสั่นอย่างสุดระงับเดิมทีซ่งรั่วเจินก็กำลังชื่นชมความหล่อเหลาของฉู่จวินถิง บัดนี้เห็นเขาจับจ้องตนเอง ภายในสายตาราวกับไม่ปกปิดความตกตะลึงหลงใหลและชื่นชม นางหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างสุดระงับ“พี่สะใภ้ วันนี้เจ้างามเหลือเกิน!”ฉู่มู่เหยามองซ่งรั่วเจิน ภายในสายตาเปี่ยมความตกตะลึงระคนเสียดาย ที่ผ่านมานางคิดว่าตนเองเป็นหญิงงามคนหนึ่ง แต่ทุกครั้งได้เห็นพี่สะใภ้ นางรู้สึกอิจฉาอย่างอดไม่ได้ นี่ต่างหากหญิงงามที่แท้จริง!ผิวพรรณเนียนละเอียด งดงามชวนหลงใหลต่อให้เป็นสตรีเช่นเดียวกัน นางก็มองจนไม่อาจละสายตาได้ ยามหันไปมองเสด็จพี่ของตนอีกครั้ง สายตานั้นคล้ายแค้นใจที่ไม่อาจครอบครองพี่สะใภ้ไว้ในทันทีเลยได้“มู่เหยาวันนี้ก็งามมากนัก”ซ่งรั่วเจินหัวเราะเบาๆ วันนี้ฉู่มู่เหยาสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน ใบหน้าเรียวเล็กงดง
ตอนไม่ชอบ นั่นคือไม่มีความรักเลยแม้แต่น้อย ทว่าชอบไปแล้วจริงๆ ก็ทำให้ทุกคนล่วงรู้อย่างไม่ลังเลฮวนเอ๋อร์คบหากับเขา ย่อมทำให้คนวางใจได้อย่างไม่ต้องสงสัยได้ยินความชื่นชมในคำพูดของฝ่ายหญิง ฉู่จวินถิงขยับเข้าใกล้ ดึงระยะห่างของทั้งคู่ให้ใกล้ชิดกันดวงตาดำดุจหมึกคู่นั้นจับจ้องคนตรงหน้า เจือความปรารถนาที่จะครอบครองอันแรงกล้าหลายส่วน เสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ชวนหลงใหล “ชมผู้อื่นต่อหน้าข้าหรือ?”ระยะห่างที่ชิดใกล้อย่างกะทันหันทำให้ซ่งรั่วเจินชะงักไปในทันใด มองรอบด้านอย่างตื่นเต้น “อย่าเล่นเลย เดี๋ยวจะถูกคนเห็นเพคะ”“วางใจเถอะ ตอนนี้พวกเขาไม่มองมาทางนี้” สีหน้าฉู่จวินถิงเรียบเฉย ภายในสายตากลับสะท้อนใบหน้าเรียวเล็กของฝ่ายหญิง เจือความดื้อรั้นที่ไม่ยอมเลิกราหากไม่ได้รับคำตอบ“อวิ๋นอ๋องเป็นน้องชายของท่าน ไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย”ซ่งรั่วเจินผินมองฉู่จวินถิงอย่างเอือมระอา พบว่าคืนนี้เขาคล้ายแตกต่างไปจากปกติ แต่ที่ใดแตกต่างออกไป กลับบอกไม่ถูก“ในเมื่อคนมาครบแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางเถอะ!” ซ่งเยี่ยนโจวร้องตะโกนจากนั้นทุกคนต่างพากันจากไป ซ่งหลินนี่ถึงมองกู้หรูเยียน “ฮูหยิน ไป พวกเราเองก็ไปเที่ยวเล่นง
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง