“แกว่าถ้าเราตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก... มันจะแย่มากมั้ย”
คำถามจากแพรพิมพ์ดาวเอ่ยขึ้น ฝ่าความเงียบให้เจ้าของห้องอย่างธารตะวันเงยหน้ามอง เธอกำลังตั้งใจโซ้ยสุกี้น้ำที่อีกฝ่ายซื้อมาฝากถึงห้องในยามดึก ทว่าพอเกริ่นเรื่องนี้เธอก็รีบเคี้ยวแล้วกลืนทันที
“แกมีความรักเหรอ” เธอเลิกคิ้วถามอย่างใจจดใจจ่อ
“ก็เปล่าหนิ” คู่สนทนาสั่นหัวปฏิเสธตอบกลับมา
“แล้วถามทำไมอ่า”
ธารตะวันหรี่ตาอย่างจับผิดพิรุธ เมื่อแพรพิมพ์ดาวแสร้งทำเป็นหลบสายตา ก้มหน้าใช้ช้อนตักสุกี้ตัวเองเข้าปากกลบเกลื่อนอาการ
เรื่องนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน
“สรุปถามทำไมหรา” พอได้ทีเธอก็ลากเสียงยาว เท้าแขนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วยื่นหน้าเพื่อคาดเค้น ให้ผู้ต้องสงสัยคายหลักฐานออกมา
“แล้วถามไม่ได้รึไง๊ล้า” แพรพิมพ์ดาวขึ้นเสียงสูง ก่อนจะยกมือเกาที่ต้นคอแล้วกลอกตาไปมา
“เสียงสูงทะลุเพดานแล้วจ้ะ”
“ก็... ก็อาจจะมีบ้าง”
“ดูจากสีหน้าแกแล้วเนี่ย น่าจะมีเยอะเลยแหละ”
พูดจบประโยค แพรพิมพ์ดาวก็ลอบถอนหายใจ พลางงุดหน้าจนคางเกือบชิดอกแล้วช้อนตามองเพื่อนสนิท วันนี้ที่เธอมาหาซะมืดค่ำก็เพราะมีปัญหานี้กวนใจนี่แหละ
แพรพิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตั้งท่าเล่าด้วยสีหน้าจริงจังดูเคร่งเครียด แทบไม่เหลือเค้าโครงคนยิ้มง่ายเลย
“คือเรื่องมันมีอยู่ว่า... มีรุ่นน้องมาจีบฉันน่ะแก” ว่าแล้วก็ลอบถอนหายใจเบาๆ ทั้งที่เป็นเรื่องดีแต่เธอกลับยิ้มไม่ออก
“ไม่ดีเหรอ”
“มันก็ดีสิ”
“ถ้าดีแล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“เพราะมันดีมากไงแก... แต่เรื่องบางอย่างเราก็ควรรู้ตัวไม่ใช่เหรอตะวัน ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นไปไม่ได้น่ะ”
ใบหน้าจิ้มลิ้มของคนฟังฉงนใจเมื่อได้ยิน เธอเอียงคอมุ่นคิ้วแล้วส่ายตาไปมาอย่างครุ่นคิด ถ้ามันดีมากแล้วทำไมเป็นไปไม่ได้ล่ะ ในเมื่อความรักมันก็เป็นเรื่องของคนสองคนนี่นา
“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะ เขาเป็นเอเลี่ยนต่างโลกหรือไง”
“ขำจะบ้า เหอะ มนุษย์ต่างดาวน่ะเหรอ แฮะๆ”
แพรพิมพ์ดาวหัวเราะแห้งๆ จนคนเล่นมุกยิ้มเจื่อน ฉับพลันก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังทันทีที่เห็นว่าเพื่อนหน้าเครียด
เพราะตัวละครแพรพิมพ์ดาวเป็นคนร่าเริง มักจะสร้างเสียงหัวเราะและเป็นที่ปรึกษา พอเจอในมุมที่ต้องเครียดกับความรักก็เลยไปไม่ถูก
“อยากเล่าให้ฉันฟังมั้ย... ตรงนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเพื่อนนะแก” เธอพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม เรียวคิ้วสวยมุ่นเข้าหากันในเชิงเห็นใจ
“แกอย่าพูดแบบนี้สิตะวัน ฮื่อ ฉันจะร้องไห้อ่า... แง”
“โอเคไหมเนี่ย ไม่สิ พร้อมเล่าเมื่อไหร่ฉันจะฟังแกเอง”
พูดจบเธออ้าแขนให้อีกฝ่ายเข้ามากอด เพื่อนสนิทรีบคลานเข่าเข้ามาหา กอดร่างบางแล้วส่งเสียงกระเง้ากระงอดเบาๆ ในลำคอ
นิสัยของแพรพิมพ์ดาวคอยเป็นที่ปรึกษา และแก้ไขปัญหาให้คนอื่นมาตลอด ทว่าพอถึงคราวที่ตัวเองต้องเจอบ้างก็คงไม่รู้ต้องแก้ยังไง เพราะคนเจอปัญหามักมองไม่เห็นรอยรั่วของปัญหา
เขาถึงมีวลีที่บอก... เมื่อเป็นเรื่องตัวเองดันเอาตัวไม่รอด
กระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก แพรพิมพ์ดาวที่พร้อมเล่าก็กระเถิบตัวนั่งกอดเข่าข้างธารตะวัน เอนพิงโซฟาด้านหลังสีหน้ายังวิตกกังวลเล็กน้อย
“รุ่นน้องที่ชื่อไทเกอร์ตามจีบฉันมาสักพักแล้วอ่ะ เด็กนั่น... พูดว่าจะจีบฉันให้ติดตั้งแต่วันที่ไปกินเลี้ยงบริษัทเลย”
คนนั่งฟังคอยพยักหน้าช้าๆ หลังอีกฝ่ายพูดจบ แพรพิมพ์ดาวมุ่นคิ้วพลันลอบถอนหายใจอีกครั้ง ไม่รู้ว่าถอนหายใจไปกี่รอบแล้ว แต่พอต้องนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันก็อดจะลำบากใจไม่ได้อยู่ดี
“แล้วเด็กนั่นก็ทำสำเร็จด้วยสิ... ฉันหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ” เธอหน้าแดงขึ้นมา เมื่อพูดถึงรุ่นน้องที่ตามจีบมาสักพักใหญ่
“ฟังดูมันก็ดีไม่ใช่เหรอแก”
“บอกแล้วว่ามันดีแต่...”
คำว่าแต่ของแพรพิมพ์ดาวดูลำบากใจ อีกทั้งสีหน้าก็ฉายชัดถึงความวิตกกังวลหนัก จนดวงตาที่เคยเป็นประรอยยิ้มหม่นอับแสงลง
นิ้วมือเธอจิกลงบนหน้าขาตัวเอง คนที่รอฟังก็เลยหยิบน้ำใกล้มือขึ้นมาดื่ม ในจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าของเรื่องเล่าต่อ
“แต่ไทเกอร์เป็นลูกชายประธานบริษัทที่ฉันทำงานอยู่”
พรวด
พอสิ้นคำพูดแพรพิมพ์ดาว น้ำเปล่าเย็นที่เพิ่งเข้าปากเธอไปก็ถูกพ่นออกมา กระจายเป็นฝอยเต็มหน้าคนเล่าเพราะดันหันไปหาพอดี
“แค่ก... อึก เมื่อกี้แกว่ายังไงนะ” เธอเช็ดคราบน้ำที่มุมปาก ก่อนจะคว้ากระดาษทิชชู่ใกล้มือซับหน้าให้อีกฝ่ายด้วย
“ชุ่มฉ่ำเลยแก”
“ขอโทษทีๆ”
แพรพิมพ์ดาวขำขันจนไหล่กระตุก พอมีน้ำเย็นเข้าลูบใบหน้าก็พาให้ใจที่ร้อนรุ่มทุเลาลง เพราะเรื่องความรักไม่ง่ายสำหรับใครเลย รวมถึงเธอที่คิดว่าทุกอย่างจะไปได้ดี แต่ดันมีก้อนหินใหญ่ให้สะดุดซะงั้น
ก้อนหินความรักที่เป็นอุปสรรคใหญ่เสียด้วย...
“เด็กที่ชื่อไทเกอร์มาจีบแก พอแกหวั่นไหว... ถึงได้มารู้ทีหลังว่าเขาเป็นลูกชายประธานบริษัทเหรอ” เธอร่ายยาวจนแทบลืมหายใจ เก็บทุกรายละเอียดเป็นอย่างดี ซึ่งแพรพิมพ์ดาวก็พยักหน้าหงึกหงักๆ ทันที
“อื้อ... ตามนั้นเลยแก”
“เหมือนละครสั้นที่เคยดูเลยอ่า”
“ละครสั้นอะไรของแกเนี่ย”
“ใช่ เพราะฉันคือลูกชายของประธานบริษัทยังไงล่ะ”
พูดจบเธอก็ชูกำปั้นแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย อนึ่งกำลังสวมบทบาทเป็นตัวละครในละครเรื่องสั้นที่เคยดู ทำเอาแพรพิมพ์ดาวยิ้มแหยเพราะไม่รู้จะชักสีหน้าไปต่อยังไงดี
“แกไม่เหมือนธารตะวันที่ฉันเคยรู้จักเลย” แพรพิมพ์ดาวยิ้มปนมุ่นคิ้วที่ดูจะสับสนในอารมณ์
“แล้ว... ธารตะวันที่เป็นฉันแบบนี้ มันแย่หรือเปล่า”
“ใครบอกว่าแย่ฉันตีปากนะ แกสดใสแบบนี้มันดีมากต่างหาก”
เธอคลี่ยิ้มกว้างจนตาหยี แต่ก็หุบยิ้มฉับทันทีที่รู้ว่าเพื่อนอมทุกข์ใจ
“ว่าแต่... เรื่องรุ่นน้องแก ถ้าชอบกันจะเครียดทำไมล่ะพิมพ์ดาว”
“เครียดสิ ลูกชายเจ้าของบริษัทกับลูกแม่ค้าจะคบกันได้ยังไง”
“แต่ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคนไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่...”
แพรพิมพ์ดาวซุกใบหน้าลงบนท่อนแขน สีหน้าเธอเศร้าแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พาให้ใจคนนั่งปลอบห่อเหี่ยวตามไปด้วย
“แต่โลกความเป็นจริง มันจะมีบุคคลที่ 2 แล้วก็ 3 เสมอ”
“ประมาณว่าครอบครัวเขาไม่ปลื้มน่ะเหรอ”
“อื้ม ลูกเขากำลังจะมีอนาคต จะมาฝากไว้ที่ฉันได้ยังไงล่ะ”
“แล้วแกไม่มีอนาคตตรงไหนเล่า แกเป็นสุดยอดนักออกแบบอันดับหนึ่งในบริษัทเชียวนะ... เป็นมันสมองของทีมด้วย”
เธอเถียงสุดใจขาดดิ้น หากบอกว่าเพื่อนเธอไม่มีอนาคต ในเมื่อแพรพิมพ์ดาวเป็นถึงหัวหน้าทีมออกแบบ ผ่านร้อนผ่านหนาวกับบริษัทมาตั้งเท่าไหร่
จะบอกว่าไม่มีอนาคตได้ไง...
“ต่อให้ฉันทำงานจนตัวตาย ก็ไม่มีวันทัดเทียมพวกเขาไง”
“แพรพิมพ์ดาว...”
“ถ้าเด็กนั่นโตกว่านี้ก็จะมีสังคมอีกแบบอยู่ดี ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็แค่ความวาบหวามชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นแหละตะวัน”
คนประสบปัญหาความรักน้ำตาคลอ ก่อนจะผินใบหน้าสบตาเพื่อนรัก เป็นจังหวะเดียวกันที่หยดน้ำตารินไหลออกมา
“ทีนี้แกรู้หรือยัง... ฮึก ทำไมเรื่องของเราถึงเป็นไปไม่ได้”
“แกว่าถ้าเราตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก... มันจะแย่มากมั้ย”คำถามจากแพรพิมพ์ดาวเอ่ยขึ้น ฝ่าความเงียบให้เจ้าของห้องอย่างธารตะวันเงยหน้ามอง เธอกำลังตั้งใจโซ้ยสุกี้น้ำที่อีกฝ่ายซื้อมาฝากถึงห้องในยามดึก ทว่าพอเกริ่นเรื่องนี้เธอก็รีบเคี้ยวแล้วกลืนทันที“แกมีความรักเหรอ” เธอเลิกคิ้วถามอย่างใจจดใจจ่อ“ก็เปล่าหนิ” คู่สนทนาสั่นหัวปฏิเสธตอบกลับมา“แล้วถามทำไมอ่า”ธารตะวันหรี่ตาอย่างจับผิดพิรุธ เมื่อแพรพิมพ์ดาวแสร้งทำเป็นหลบสายตา ก้มหน้าใช้ช้อนตักสุกี้ตัวเองเข้าปากกลบเกลื่อนอาการเรื่องนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน“สรุปถามทำไมหรา” พอได้ทีเธอก็ลากเสียงยาว เท้าแขนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วยื่นหน้าเพื่อคาดเค้น ให้ผู้ต้องสงสัยคายหลักฐานออกมา“แล้วถามไม่ได้รึไง๊ล้า” แพรพิมพ์ดาวขึ้นเสียงสูง ก่อนจะยกมือเกาที่ต้นคอแล้วกลอกตาไปมา“เสียงสูงทะลุเพดานแล้วจ้ะ”“ก็... ก็อาจจะมีบ้าง”“ดูจากสีหน้าแกแล้วเนี่ย น่าจะมีเยอะเลยแหละ”พูดจบประโยค แพรพิมพ์ดาวก็ลอบถอนหายใจ พลางงุดหน้าจนคางเกือบชิดอกแล้วช้อนตามองเพื่อนสนิท วันนี้ที่เธอมาหาซะมืดค่ำก็เพราะมีปัญหานี้กวนใจนี่แหละแพรพิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตั้งท่าเล่าด้วยสีหน้าจริ
ห้างสรรพสินค้าหลังจากพาน้องกรมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า จัดรถบังคับชุดใหญ่ให้แบบเต็มเหนี่ยว ธันย์ธาราก็พาเด็กน้อยมาเล่นบ้านลม ส่วนเขานั่งเฝ้ากับคุณผู้ช่วยที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอเก็บไว้ธารตะวันยิ้มเอ็นดูน้องกรมากๆ รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้ม ส่งไปถึงดวงตาเธอให้เป็นรูปสระอิ ส่งเสียงหัวเราะปนยิ้มจังหวะที่น้องกรหันมาโบกมือให้“น่ารักจัง...” เธอชมออกเสียงแล้วยิ้มอย่างอิ่มเอมใจแต่ขณะที่เธอมองเด็กน้อย เจ้าของดวงตาคู่คมก็จับจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ในแววตาที่สบมองมีประกายรอยยิ้มเจือจางอยู่ด้วยหากทว่าจู่ๆ ร่างบางก็นิ่งงันไป รอยยิ้มที่ปรากฏค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด เมื่อคิดถึงเรื่องราวสุดเศร้าจากนิยายที่เคยอ่าน จนนอนร้องไห้จมกองน้ำตาขี้มูกโป่งพูดจาสะอึกสะอื้นมาแล้ว“คุณคิดอะไรอยู่”“คะ”“เห็นอยู่ดีๆ คุณก็เหม่อ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายคงไม่ทันได้สังเกต ในมุมเงียบๆ ของคนไม่ค่อยพูดแอบมองเธออยู่ก่อนแล้วร่างบางลอบถอนลมหายใจอย่างปลงปลด ก่อนจะลดโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายภาพน้องกรลง นัยน์ตาหม่นแสงขึ้นมาในฉับพลันเธอก็เป็นแค่นักอ่านจอมเพ้อ ชอบอินกับบทบาทของตัวละครเกินไปหน่อย พอได้เห็น
เมืองเอกเข้าปรึกษาหาลือเรื่องธุรกิจที่หุ้นส่วนกัน เกี่ยวกับธุรกิจบาร์เครื่องดื่มกึ่งร้านอาหารใจกลางเมือง ซึ่งเมืองเอกก็นำเอกสารมาแจกแจงรายละเอียดทั้งหมด ถึงการปรับปรุงร้านด้านในใหม่ล่าสุดถึงธันย์ธาราจะจำคนรอบตัวไม่ได้เลย แต่พอทราบข่าวว่าเพื่อนรักประสบอุบัติเหตุ เมืองเอกก็เป็นคนแรกๆ ที่เข้าช่วยเหลือทันทีทั้งติดต่อทนายและคนพื้นที่ทั้งหมด มาให้ช่วยกันระดมหาหลักฐานเพิ่มเติมในคืนวันเกิดเหตุ แต่กลับสืบสาวราวเรื่องถึงต้นตอไม่ได้ จนธันย์ธาราค่อนข้างมั่นใจว่าอาจเป็นคนมีอิทธิพลเข้ามาเอี่ยว“เรื่องผ่านมาสักพักใหญ่ละ แต่คดีความยังไม่คืบหน้าเหรอวะ” พอพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จ เมืองเอกก็ไถ่ถามเรื่องคดีความต่อทันทีทั้งคู่นั่งคุยกันในห้องทำงาน ร่างสูงของประธานธันย์นั่งหลังตรงแล้วหลุบตาคิดหนัก ส่วนเมืองเอกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิดตามไปด้วย“ทำไงได้ กล้องวงจรปิดพร้อมใจกันเสียเลยนี่หว่า”“อมพระทั้งโบสถ์มากูยังไม่อยากจะเชื่อเลยเหอะ”ธันย์ธาราพ่นลมขำเบาๆ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเหมือนบทละคร ทั้งโดนลอบทำร้ายจนความจำเสื่อมแต่จับคนก่อเหตุไม่ได้อีกทั้งกล้องวงจรปิดสำคัญๆ รอบบริเวณที
เจตกวินอาสามาส่งธารตะวันถึงหน้าบริษัท เขายื่นแขนให้เธอจับพยุงร่างเดินกะเผลกเข้างาน ทว่าตั้งแต่ที่เขาพูดว่าจะจีบเธอขณะเดินข้ามสะพานแม่น้ำ บทสนทนาก็จบลงโดยการที่เธอเงียบมาตลอดทาง“เราเดินไหวแน่นะ” เขาถามขึ้น ตอนมาส่งเธอที่หน้าบริษัทแล้ว“ไหวค่ะ” เธอพยักหน้า พลางคลี่รอยยิ้มฝืดฝืนส่งให้ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มหวานราวกับบริหารเสน่ห์ใส่ ใบหน้าหล่อเหลาตามพิมพ์นิยมของเจตกวิน เกือบทำให้ธารตะวันเคลิ้มตามรอยยิ้มที่ชวนอบอุ่นใจ จนบางทีอาจลืมไปว่านี่คือตำนานตัวร้ายได้บทพระเอกมาแต่แล้วเธอก็ถูกกระชากสติให้กลับมาฉับพลัน รีบส่ายสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าให้ออกจากสมองไปทันที“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่งแล้วก็... ให้ขี่หลังด้วย”“ไม่เป็นไรครับ แต่พรุ่งนี้พี่ไปรับเราอีกได้มั้ย”พอได้ที เจตกวินก็ใช้ช่องทางนี้ไล่ต้อนเธอ ก่อนที่จะจ้องมองใบหน้าน่ารักของรุ่นน้อง พลางมุ่นคิ้วรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ“ยังไงทางมาบริษัทก็ทางเดียวกันอยู่แล้วหนิครับ” เขาพูดต่อในเชิงกดดันกันทางอ้อม แต่ใช้รอยยิ้มสวยกดข่มอารมณ์ความต้องการไว้“ตะวันไม่รบกวนพี่เจตดีกว่า” เธอยิ้มแล้วตอบกลับอย่างชัดเจน“รังเกียจพี่เหรอ...”“คะ”“เราคุยกับพี่ตาม
“ญี่ปุ่นต้องสนุกมากแน่เลยใช่มั้ยคะป้าขา... ฮือ”ร่างบางยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็คิดถึงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เจ้าประจำจะแย่ ถึงขั้นเบะปากจะร้องไห้มาร่อมมาร่ออยู่แล้วญี่ปุ่นในช่วงเดือนนี้คงมีหิมะให้เล่นสนุกแน่เลย จะว่าไปแล้วตั้งแต่เกิด ตัวเธอไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่เที่ยวเมืองนอกเลย แค่เดินทางในประเทศยังเป็นไปได้ยากชีวิตที่ต้องก้มหน้าหาเงินงกๆ หนึ่งวันก็เก้าชั่วโมง ไม่รวมเดินทางไปกลับที่ต้องเผชิญอุปสรรคแต่ละวันต่างกันออกไปอีก“รีบกลับมาไวๆ น้าคุณป้าขา” เธอได้แต่มองรถเข็นของป้าที่คลุมผ้าใบไว้ตาละห้อยทว่าวินาทีที่เธอหมุนตัวหันหลัง ร่างสูงของเจตกวินดันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำเอาเธอชะงักตัวมองอีกฝ่ายที่ยิ้มหวานให้แต่เช้า“พี่เจต...”เจตกวินมุ่นคิ้วเข้าหากัน พลางชะเง้อตัวมองไปด้านหลังเธอ แล้วทำหน้าเสียดายที่เห็นป้ายกระดาษติดประกาศว่าหยุด แต่เขาก็แค่เล่นละครตบตาเพราะมาดักรอธารตะวันแต่แรกแล้ว“อ้าว พี่เพิ่งรู้ว่าร้านป้าเขาปิด” เจตกวินยิ้มหวานให้หญิงสาว อันที่จริงเมื่อวานเขาขับผ่านทางนี้แล้วเห็นธารตะวันขึ้นรถเมล์พ
ซ่าเสียงห่าฝนชุดใหญ่เทกระจาดอย่างหนัก ระหว่างทางขับรถกลับมาหอพักของธารตะวันยังไม่แรงเท่านี้เลยกระทั่งรถยนต์ของประธานธันย์จอดหน้าหอพักคุณผู้ช่วย พายุฝนก็พร้อมใจสาดซัดกระหน่ำ ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทางด้านหน้า เสียงฟ้าร้องดังครืนจนร่างบางหดตัวตกใจ“ฝนตกหนักขนาดนี้คุณจะขับกลับไหวเหรอคะ”“ไหวครับ”“แต่ฉันเป็นห่วงคุณไงคะ...”เธอชะเง้อมองสายฝนผ่านหน้าต่างรถ สีหน้าเคร่งเครียดหนัก ก่อนที่จะหันไปเสนอความเห็นด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย เกรงว่าถ้าเขาขับรถฝ่าพายุกลับไปแล้วจะเกิดอันตราย อย่างน้อยรอฝนซาก็ยังดี“ขึ้นไปนั่งรอบนห้องฉันก่อนดีมั้ยคะ รอให้ฝนซาแล้วคุณธันย์ค่อยกลับดีกว่าค่ะ... ขับไปแบบนี้อันตรายมากเลย”“รอบนห้องคุณเหรอ”ธันย์ธาราถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด พลางส่ายตาครุ่นคิด จนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน“ค่ะ ทำไมคะ” ร่างบางมุ่นคิ้วที่มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นถูปลายจมูกนิดๆสุดท้ายพายุฝนก็ไม่มีท่าทีจะเบาลง ธารตะวันเดินกางร่มคันเดียวกับเจ้านายขึ้นห้อง จนเสื้อผ้าบางส่วนของทั้งคู่ถูกสาดกระเซนจนเปียกชุ่มร่างสูงวางร่มที่เปียกฝนกางไว้หน้าห้องเธอ เพราะห