“จ้า...แม่นักเขียนใหญ่ พี่จะรออ่านนิยายของเรานะ”
“ค่ะ ช่วงก่อนเปิดเรียนแบบนี้โซดามีเวลาเขียนหนังสือได้สบายเลย เอ่อ...แล้วร้านหมูหยองยังจะให้โซดาไปช่วยดูร้านเนทอยู่ไหมคะ “
“จะดีเหรอ ไหนบอกจะเขียนนิยายให้จบก่อนเปิดเรียนแล้วจะไปทำงานพิเศษอีก”
“โธ่พี่เบียร์ ก็เพราะเป็นร้านเนทนะซิ โซดาถึงอยากทำ จะได้ใช้คอมพ์ฟรีไง เดี๋ยวนี้เขียนเรื่องโพสตามเวบไซด์แล้วได้ตีพิมพ์เป็นเล่มเยอะแยะไป”
“เอาไว้พี่มีเงินจะหาคอมพ์ ให้ใช้สักเครื่องนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เก็บเงินไว้เถอะมันยังไม่จำเป็นขนาดนั้นหรอก แค่ที่ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนก็เยอะแล้ว ไหนจะต้องซื้อหนังสือเรียนอีก ค่ากินค่าใช้จ่ายในบ้านมีแต่พี่เบียร์คนเดียวที่ต้องลำบาก นี่ดีนะที่พ่อกับแม่ทิ้งตึกหลังนี้ไว้ให้ซุกหัวนอน ไม่งั้นเราต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีกอะไรอีกสารพัดเลยเน๊าะ ขอบคุณนะคะคุณพ่อคุณแม่” โซดาทำทะเล้นยกมือไหว้ขอบคุณต่อหน้ารูปพ่อกับแม่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง
“เอาละถ้าตั้งใจจะทำงานที่ร้านเนทก็ได้..แต่ห้ามเข้าไปดูเวบโป้นะ”
“ว๊า…ดูนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ ห้ามแชตอะไรนั่นด้วย อันตรายเห็นในข่าวมีแต่คนโดนหลอกไปข่มขืนเยอะแยะ ถ้าพี่จับได้จะไม่ให้เราเขียนนิยงนิยายอะไรแล้ว” พี่ชายทำหน้าเครียดน้ำเสียงจริงจังจนน้องสาวได้แต่ยิ้มแหย ๆ
“รับรองคะจะไม่ให้พี่เบียร์รู้ เอ๊ยไม่ทำให้พี่เบียร์ต้องเป็นห่วงแน่นอน”
“สัญญานะ”
“ค่ะ เอาละ พี่เบียร์ทำข้าวต้มอร่อย ๆ ให้กินแล้วหน้าที่ล้างจานเป็นของโซดาแล้วกันนะ พี่เบียร์ก็อย่าลืมกินยาหลังอาหารละจะได้หายเร็ว ๆ”
คนเป็นพี่ได้แต่ยิ้มบาง ๆ มองดูน้องสาวเก็บถ้วยชามที่เวลานี้ไม่เหลือเศษอาหารให้เดาได้ว่าก่อนนี้จาน ชามพวกนี้เคยมีอะไรอยู่ภายใน เสียงล้างจานดังอยู่ในครัว อาจเป็นเพราะ ฤทธิ์ยาแก้ไข้หวัดใหญ่ทำให้เขาเผลอหลับอยู่ที่โซฟาตัวยาวใหญ่ โซดาเดินผ่านมาจึงหยิบผ้าห่มคลุมร่างพี่ชายก่อนที่จะก้าวเท้าเดินให้เบาที่สุดไปที่ดาดฟ้าของบ้าน
ผ้าที่ตากไว้บนราวพลิ้วไหวตามแรงลม เด็กสาวดึงหนังยางที่รวบผมขึ้นเป็นหางม้าออกปล่อยให้เส้นผมยาวเคลียบ่าเป็นอิสระ โซดาเอาเสื่อมาปูนั่งเป็นประจำที่นี่ยามเย็นที่ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนสี เธอจะนั่งเหยียดขายาวเอาหนังสือเล่มโปรดออกมากางอ่านหรือไม่ก็เขียนอะไรกระจุกกระจิกของเธอ
แต่บ่อยครั้งที่เธอมักนั่งมองการเคลื่อนตัวของเมฆบนท้องฟ้า เฝ้าดูว่ามันเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวอะไรและจิตนาการเป็นเรื่องราวต่าง ๆ นานาราวกับเป็นเทพนิยายแฟนตาซีสุดมหัศจรรย์ แต่ก็นั้นแหละ…คิดอะไรก็คิดได้ ตัวละครเอย ฉากเอย ภาพเคลื่อนไหวในหัวเหล่านั่น มันช่างแสนยากเย็นที่จะเข็นมันออกมาจากหัวกลายเป็นตัวหนังสือบนหน้ากระดาษเปล่า ๆ สักแผ่นหนึ่ง
โซดาจำได้ว่าเธอรู้สึกทึ้งกับการอ่านหนังสือนอกเวลาที่คุณครูแนะนำให้อ่าน เพราะมันไม่ใช่ตำราเรียน แม้จะถูกบังคับให้อ่านแต่เรื่องราวเหล่านั้นสนุกสนานน่าสนใจแถมผสมผสานความรู้เข้ามาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อจบเล่มหนึ่งก็พยายามสรรหาเท่าที่ห้องสมุดเล็ก ๆ ในโรงเรียนกันดารจะพอมี
ยิ่งอ่านไปเรื่อย ๆ ยิ่งรู้สึกเหมือนเปิดประตูมิติได้รู้จักโลกกว้างกว่าที่เธอคิด มันอาจเป็นการเริ่มต้นจากจุดนี้และยิ่งเมื่อเธอเคยได้รับรางวัลประกวดเขียนเรียงความประจำโรงเรียน เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองน่าจะมีพรสวรรค์ทางด้านขีด ๆ เขียน ๆ แต่เอาเข้าจริง นอกจากรายงานเรียงความที่ต้องส่งเป็นการบ้านแล้ว เธอยังไม่เคยเขียน “เรื่อสั้น”หรือ “นิทาน” แม้กระทั้ง “นิยาย” ก็ไม่สำเร็จสักเรื่อง ได้แต่เขียนอะไรครึ่งกลาง ค้างคา ไม่จบสักเรื่อง ก็นั่นแหละมันทำให้นิยายแฟนตาซีสุดพิสดารของเธอก็ไม่ได้หลุดจากสมองเป็นตัวหนังสือได้เสียที
เมื่อตุลาคมปีที่แล้วเธอมาเยี่ยมพี่ชายสุดรัก เขาพาไปเที่ยวงานมหกรรมหนังสือหรืออะไรสักอย่างที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ กองทัพหนังสือนับพันนับหมื่นเล่ม ผู้คนมากมายแน่นขนัดเข้ามาเลือกซื้อหนังสือหนังหา ภาพนักเขียนคนโปรดแจกลายเซ็น ยิ่งจุดประกายให้โซดาวาดฝันว่าสักวันเธอจะนั่งที่หน้าเวทีแจกยิ้มหวานและนั่งเซ็นชื่อหนังสือของตนเองจนมือเป็นระวิง
พอกลับมาถึงขอนแก่นโซดาเม้าท์แหลกกับเพื่อนฝูงเอาตั๋วรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดินที่อุตส่าห์ลงทุนซื้อเก็บไว้ไปเอาอวดเพื่อนและประกาศว่าวันหนึ่งเธอจะเป็นนักเขียน โซดาแอบฝึกเซ็นชื่อ หาลายเซ็นสวย ๆ ดูจากลายเซ็นของดาราในหนังสือนิตยสารวัยรุ่นแล้ววันหนึ่งครูประจำชั้นของเธอผ่านมาเจอโซดาที่กำลังมุ่นมั่นกับลายเซ็นของตัวเองอยู่นั้น ครูหญิงวัยกลางคนก็เอ่ยเบา ๆ กับเธอ
“เธอน่าจะเอาเวลาไปเขียนนิยายให้จบเรื่องก่อนค่อยมาฝึกแจกลายเซ็นอย่างนี้นะ”
แค่คำพูดประโยคเดียวเรียกสติของโซดากลับมาได้ นั้นซิ อย่าว่าแต่นิยายเลยเรื่องสั้นสักเรื่องก็ยังไม่สำเร็จ นี่ฉันมัวทำอะไรอยู่นะเนี่ย…
โซดาจึงกลับมาเริ่มต้นอ่านหนังสืออีกครั้งตามคำแนะนำของครูประจำชั้น และการได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ครั้งนี้เธอมุ่งหวังและตั้งใจอย่างมาก...ว่าจะต้องไปถึงสิ่งที่ฝันให้ได้
เด็กสาวหยิบสมุดบันทึกไร้เส้นของตนออกมาจากเป้ นั่งอ่านลายมือเหมือนถั่วงอกที่โตไม่เต็มที่ของตัวเอง โครงเรื่องหลัก โครงเรื่องรอง คาเร็กเตอร์ตัวละคร เออ..ปวดหัวเหมือนกันแหะ แต่โซดาก็แอบฝันหวานถึงวันหนึ่งที่ตัวเองจะได้มีโอกาสได้ทำงานกับสำนักพิมพ์ “ยักษ์ใหญ่”จนได้ เอานะ...ว่ากฎข้อหนึ่งของนักเขียนที่เธอตั้งขึ้น คิดถึงวันดี ๆ ให้ชีวิตสดชื่นแล้วตื่นมาวิ่งไล่ความฝันให้เป็นจริง
แล้วอยู่ ๆ โซดาก็คิดถึงชายหนุ่มแปลกหน้าที่สวมแว่นตาทรงกลมกรอบเงินวาว เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในแววตาหลังแว่นตานั่น
‘ปิ๊งฉันเหรอ?’
ไม่น่าจะใช่แหะ ใครจะมาสนใจสาวบ้านนอกท่าทางทอมบอยอย่างเธอได้นะ นี่ดีนะที่ไว้ผมยาว ไม่งั้นคงนึกว่าเป็นผู้ชายแน่ ๆ แถมรูปร่างก็ออกแบน ๆ อย่างกับไข่ดาวไม่ได้หน้าตาน่ารักสดใสอ่อนหวาน อย่างกับคนที่เธอทำเปิ่นไปยืนขวางประตูคุณหนูคนสวยคนนั้น
ว่าแต่... ยังเหลือเวลาอบรมการเขียนอีกตั้ง 2 วัน จะได้เจอ ผู้ชายเสื้อฟ้าใต้ต้นไม้คนนั่นอีกไหม อยากรู้จัง
……………
โซดากระโดดลงจากรถเวสป้าด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ก่อนส่งหมวกกันน๊อคคือให้สารถีรุ่นพี่ที่อาสาขับรถส่วนตัวมาส่งถึงหน้าบริษัท R&M เด็กสาวเสยผมยาวประบ่าให้เข้าที่เข้าทางก่อนใช้หนังยางสีดำที่รัดข้อมืออยู่ขึ้นรวบและมัดผมเป็นหางม้า
“ตอนเย็นพี่มารับ ถ้าเลิกเร็วก็โทรเข้ามือถือพี่ เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวสะพานพุทธ” ตั้มเอ่ยแล้วยิ้มให้จนตาหยี
“แหม...จะไปหาพี่น้ำหวานก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเอาโซดาไปอ้าง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ทัน รีบๆ ไปเลยเดี๋ยวไม่ทัน”
“ครับผม!” โซดาทำท่าเลียนแบบทหารรับคำสั่ง ก่อนหมุนตัวจะเดินเข้าไปในตึกแต่กระเป๋าเป้ก็ถูกดึงไว้ก่อนจนเจ้าตัวต้องหันกลับมาอีกที
“มีอะไรอีกอะพี่ตั้ม”
“ขอเบอร์พีอาร์สวย ๆ หรือพริ้ตตี้น่ารัก ๆ มาฝากมั้งนะ”
“อะไรกันอยากได้ก็ไปขอเองสิ แหวะ! ไปล่ะ”
ตั้มโยกหัวน้องสาวเพื่อนอย่างเอ็นดู โซดายกมือยกไม้ปัดป้องไม่อยากให้ผมยุ่งมากไปกว่านี้ แต่เหมือนมีอะไรบางสิ่งเรียกสายตาของเธอให้หันไปมองที่ฝั่งตรงข้าม ใต้เงาร่มไม้ใหญ่ตรงนั้น ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน แว่นตาทรงกลมกรอบเงินยืนอยู่ที่เดิมและสายตาคู่นั้น กำลังจับจ้องมาตรงจุดที่เธอยืนอยู่
เอ๊ะ! เสื้อตัวเดิมกับเมื่อวานนี่น่า...หรือเขาจะมีเสื้อแบบเดียวกันเป็นโหล
“ไปได้แล้ว ตอนเย็นพี่มารับ”
โซดาสะดุ้งแม้จะถูกผลักไหล่เบา ๆ เธอพยักหน้าหงึกงักหันไปมองชายหนุ่มแปลกหน้าแวบหนึ่งก่อนที่จะพาร่างตนเองเข้าไปในตึกบริษัท R&M ขณะยืนรอลิฟต์เพื่อไปห้องอบรม เธอก็รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามายืนข้างหลัง กลิ่นโคโลจญ์ผู้ชายหอมอ่อน ๆ ทำให้เธอหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ
“ตาบ้า!ทำอะไรนะ” โซดายกมือขึ้นปัดออกทันทีที่ได้สติ แต่อีกฝ่ายคว้ามือเล็ก ๆ ได้เขาออกแรงกระชากนิดเดียวร่างเล็ก ๆ ก็เซเข้ามาในวงแขน“โซดาตัวเล็กกว่าที่คิดเยอะเลยนะ ตอนเป็นผีจับตัวไม่ได้เหมือนอย่างนี้เลย”“บ้า...ตาบ้า ปล่อยนะ”โซดาดิ้นขลุกขลักในวงแขน ชายหนุ่มนึกสนุกยิ่งรัดร่างเข้าไว้แน่น พอดีเสียงสัญญาณในลิฟต์ดังขึ้นพร้อมประตูที่เปิดออก คนที่ยืนอยู่ด้านนอกจึงเห็นชายหนุ่มกอดรัดร่างเพรียวบางไว้ในวงแขน“เฮ้ย!ทำอะไรนั่นน้องสาวฉันนะเฟ้ย!”“ไม่มีอะไรค่ะพี่เบียร์” โซดารีบสลัดตัวออกจากวงแขน ซึ่งก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย เบียร์ทำท่าจะเข้ามามากระชากคอเสื้อสุดแดนแต่ตั้มก็ใช้แขนล็อกคอเพื่อนรักไว้ก่อน“น่า...นะ โซดาว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรซิ ไป…หน้าที่นายดูแลอาหารการกิน ทางโน้นเลย...เอ้า! ท่านเจ้าภาพ เอ๊ยประธานบริษัทมาแล้ว หลีกทางหน่อยครับ”ตั้มหันไปยักคิ้วหลิวตาให้สุดแดนอย่างรู้ทัน เบียร์หงุดหงิดเดินมาที่ซุ้มอาหารบุฟเฟ่ย์ ซึ่งเวลานี้มีผู้คนเข้ามาในบริเวณชั้นหนึ่งของตึกเป็นที่สำหรับจัดงานเปิดตัวหนังสือและสำนักพิมพ์ในเครือบริษัท ซึ่งสำนักพิมพ์ ยักษ์เล็กที่จะเน้นให้โอกาสนักเข
ยาไอซ์จัดเป็นยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 1 ตาม พ.ร.บ ยาเสพติดปี 2522 ลักษณะของเม็ดยาเป็นผลึกคล้ายน้ำแข็งเป็นที่มา ของชื่อยาไอซ์ ความบริสุทธ์ของยาค่อนข้างสูง ออกฤทธิ์แรงกว่ายาบ้ามากจึงมีคนเรียกว่าหัวยาบ้า การนำไปใช้ โดยการละลายน้ำแล้วฉีดเข้าเส้นบางคนนำไปเผาแล้วสูดดมควันเหมือนการเสพยาบ้า ยาตัวนี้ทำให้อารมณ์เคลิบเคลิ้มสนุกสนานสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ยาไอซ์ลักษณะทั้งโครงสร้างและการออกฤทธิ์คล้ายยาบ้า แต่มีข้อแตกต่างตรงที่หลังเสพยาไอซ์จะมีความสดชื่นมีชีวิตชีวาไม่ซูบโทรมเหมือนยาบ้า คนที่เสพยานี้มักจะดูไม่ออกเพราะหน้าตาจะเบิกบานไม่เหมือนคนเสพยาทั่วๆ ไป ยาตัวนี้ไม่ได้มีแพร่หลายกันทั่วไปเนื่องจากหายากและราคาค่อนข้างแพงมักจะใช้กันในสังคมไฮโซทั้งหลาย’ชายหนุ่มลดหนังสือพิมพ์ลงและวางไว้บนโต๊ะก่อนระบายลมหายใจเบา ๆ เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อประมาณสี่เดือนก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาเพิ่งกลับจากเมืองนอก ได้ไม่นานและเริ่มเข้ามาดูแลงานในบริษัทแทนผู้เป็นพ่อซึ่งต้องปลดเกษียรตัวเองด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอเพราะโหมงานอย่างหนัก วันนั้นเขาตรวจสอบของบัญชีรายรับ-จ่ายและเห็นความผิดปกต
และเมื่ออ่านมากก็อยากเป็นนักเขียน เขามักเอาตัวเองไปอยู่ในโลกของนิยาย เรื่องแล้วเรื่องเล่า เขาคิดเสมอว่า ถ้าวันหนึ่งที่เขาไม่อยู่บนโลกนี้ ก็ยังเหลือ ‘นิยาย’ ที่เขาเขียนทิ้งไว้แทนตัวเขา อาจใครสักคนมาอ่านเจอเรื่องเหล่านี้ เรื่องสุดท้ายที่เขาเขียน คือเรื่อง ‘ทะลุมิติไปเป็นนักเขียนนิยายยุค 90’s’ เขาได้แรงบันดาลใจมากจากคุณน้านักอ่านท่านหนึ่งที่มักเข้ามาอ่านนิยายของเขาและคอยคอมเม้นต์ให้กำลังใจเสมอ ดวงจิตของชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบกาย เขาเข้าใจแล้วว่าเขาหายไปที่ไหนมา เขาไปอยู่ในเรื่องเล่าของคุณน้านักอ่านท่านนั้น สำหรับคนอื่นมันอาจเป็นแค่นิยาย แต่สำหรับบ้างคน ตัวละครในนั้นมีตัวตนจริงในอดีตที่ผ่านมา สายลมอ่อนโยนพัดผ่าน ทั้งที่อยู่ในห้องที่ปิดหน้าต่าง ราวกับสัมผัสแผ่วเบาเพื่อบอกลากัน ชายหนุ่มหันไปที่หน้าต่าง แสงสว่างจางๆ สาดเข้ามา เขายิ้มและเผชิญกับการจากลาอย่างกล้าหาญ มันเป็นเรื่องที่เขาและคนในครอบครัวเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกันมานานแล้ว “พ่อครับ แม่ครับ ขอบคุณที่ดูแลผม พี่ครับฝากดูแลพ่อกับแม่ด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ ผมสบายดี ไม่ทรมานอีกแล้ว”
“รู้สึกว่าจะฟื้นเร็วกว่าที่คิดนะ”“อะไรนะคะ พี่ปกรณ์พูดอะไรออกมา” เด็กสาวตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน แต่อีกฝ่ายกลับหมุนตัวไปหยิบกล้องดิจิตอลขึ้นมาบันทึกการเคลื่อนไหวเด็กสาวตรงหน้า “พี่ปกรณ์เพี้ยนไปแล้วเหรอค่ะ พี่คิดอะไรอยู่”“ความจริงพี่ก็ไม่อยากทำแบบนี้...แต่นี้คงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้แป้งร่ำอยู่ภายใต้การควบคุมของพี่ได้ พี่จะได้ช่วยดูแลทุกอย่างในบริษัทฯได้อย่างเต็มที”ยังไม่ทันที่แป้งร่ำจะเข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายพูด มือที่ว่างจากการควบคุมกล้องดิจิตอลก็กระชากเสื้อของเธอออกจนเห็นบราเซียลูกไม้สีขาวบริสุทธิ์ “พี่ปกรณ์!” แป้งร่ำกรี๊ดร้องสุดเสียง เมื่อมือแข็งแกร่งพยายามกระชากเสื้อผ้าเธอออก พร้อมกับขึ้นคร่อมร่างเธอที่นอนดิ้นพยายามปิดป้องร่างกายที่เกือบจะเปลือยเปล่า “อย่ามาแสดงท่าอย่างนี้กับฉัน!” ปกรณ์เผลอตะคอกออกมาสุดเสียง ไม่เหลือแววตาอ่อนโยนที่เคยเห็น หน้ากากของเขาแตกละเอียดเหลือเพียงใบหน้าที่แท้จริงของซาตาน เขาใช้มือแข็งแรงปานคีมเหล็กเข้าบีบคอเล็ก ๆ ของแป้งร่ำเด็กสาวดิ้นทุรนทุรายเจ็บปวดจนน้ำตาไหล ทั้งที่ฝืนกลั้นไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ“เธอมันก็เหมื
“คราวหน้าคงได้มาสนุกอย่างนี้อีกนะ” แป้งร่ำยิ้มบาง ๆ แล้วโบกมือลาเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ“เราเดินไปส่งนะ” โซดาลุกขึ้นยืนและยื่นมือออกไปให้มือเรียวเล็กจับก่อนลุกขึ้นยืน ผีหนุ่มมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มรู้สึกอิ่มข้างในใจอยากบอกไม่ถูก เด็กสาวสองคนเดินจูงมือกันไปที่ต้นถนนจุดที่นัดคนขับรถไว้ รถเก๋งยุโรปคันหรูเคลื่อนมาใกล้ แป้งร่ำไม่อยากเร่งเท้านักแต่รู้ว่าบริเวณนี้จอดรถนานไม่ได้เธอจึงจำใจเดินไปที่รถ“โชคดีนะ วันนี้สนุกมากเลย”“เช่นกันจ๊ะโซดา”ประตูเปิดออกก่อนที่มือของแป้งร่ำจะเอื้อมไปจับ แต่ร่างเล็ก ๆ ก็ถูกกระชากเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว โซดาตกใจกับภาพที่เห็นรีบกระโจนพุงตัวเข้าไปในรถทันที มือใครบางคนในรถเอื้อมมือออกมาปิดประตูรถอย่างรวดเร็วจนไม่ทันมีใครในบริเวณนั้นสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ รถเคลื่อนตัวออกไปพอดีกับที่ เบียร์ก้าวลงมาจากรถแท็กซี่ที่เข้ามาจอดแทนที่รถยุโรปที่พุ่งตัวออกอย่างรวดเร็ว“ช่วยด้วย! นายวุ่นวาย!” ผีหนุ่มร่างโปร่งใสยืนหันรีหันขวางอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่มีใครมองเห็นตัวเขา และไม่ทันสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายวุ่นวายมองหาร่างของเบียร์ รีบวิ่งไปตะโก
“เด็กโง่ๆนั่นนะเหรอ...อีกหน่อยก็เป็นเหมือนอุ้ม-อั้มอะไรนั้นอีกหรอก ให้เป็นghost writerดีๆไม่ชอบอย่างขึ้นมาประกาศตัวให้โลกรู้จัก เชอะ! ฝันไปเถอะ..สภาพพิการอย่างนั้นใครเค้าจะชื่นชม หมดยุคสมัยนักเขียนไส้แห้งกินอุดมคติกันแล้ว ลองไม่ใช่ปกรณ์หรือปลายศร หนังสือที่ไหนจะขายออกได้หลักแสนเล่มแบบนี้บ้าง” “เอานะ..เดี๋ยวพี่ปั้นเด็กใหม่ก่อน หลอกทำสัญญาให้เรียบร้อยก่อน เด็กนี่ก็ใช้ได้มีแววดีสั่งงานอะไรก็ทำได้ตามสั่งอย่างกับทำอาหารตามสั่งแนะเหมาะกับการทำงานเป็นGhost writerให้เรา”“ชื่ออะไรนะ โซดาเหรอ ปลื้มพี่ดุจตะวันน่าดูนี่นะ ถ้ารู้ว่าตัวจริงเป็นแค่ผู้หญิงพิการสาวเอ๋อออทิสติกละก็..จะเป็นยังไงนะ” ‘ ดุจตะวัน ’ คงมาจากชื่อจริงของพี่อุ้มนี่เอง พี่อุ้มก็คือนักเขียน‘ ดุจตะวัน ’ ตัวจริง ที่เธอปลื้มแล้วเด็กใหม่โง่ๆที่คิดแค่ทำอะไรก็ได้ให้ใกล้ชิดแวดวงนักเขียนก็พอก็คงเป็นเธอซินะ “โซดา!” นายวุ่นวายกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู เขาเองก็รับรู้ความเจ็บปวดที่เธอมีและยิ่งนึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถจะเอื้อมมือไปกุมมือเล็ก ๆ ที่สั่นระริก ปวดใจยิ่งนักที่ไม่สามารถปลอบใจและให้กำลังใจผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ได้ โง่ให้พ