จางเสี่ยวหลงได้ยินเสียงระบบก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้ถูกทิ้งตามลำพัง แล้วระบบนี้จะช่วยให้เธอกลับบ้านได้หรือเปล่านะ
(ระบบไม่สามารถทำได้ค่ะ แต่สามารถช่วยเหลือ และ มอบหมายภารกิจให้ได้ ถ้าทำสำเร็จจะได้รับคะแนนเพื่อแลกเปลี่ยนของใช้ที่จำเป็นได้)
ไม่คิดว่าระบบจะใช้วิธีสื่อสารแบบนี้ เธอเคยเห็นแค่ในซีรีส์ ที่จะมีระบบแนวนี้มาช่วยเหลือ ถ้าอย่างนั้นเธอจะใช้งานระบบนี้ได้อย่างไร
(ผู้ใช้สามารถเข้ามาในระบบได้อย่างอิสระ เพียงแค่พูดว่าเข้าสู่ระบบ ร่างกายของผู้ใช้จะเข้ามาในมิติของระบบโดยอัตโนมัติ แต่ไม่สามารถนำสิ่งมีชีวิตเข้ามาได้)
แบบนี้เองเหรอ จางเสี่ยวหลงรู้สึกทึ่งกับระบบนี้มาก เธออยากลองเข้าไปดู แต่ไม่อยากให้บ่าวรับใช้สองคนของตนต้องตื่นตระหนก ถ้าเห็นว่าเธอหายวับไปกับตาจะเป็นยังไงนะ
“พวกเธอ.. เออไม่สิ พวกเจ้าสองคนไปพักเถอะ ข้าอยากพักผ่อนเช่นกัน” จางเสี่ยวหลงพูดกับสองคน นางอยู่ในร่างของหลานเสวี่ย และจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับร่างนี้ นางจึงจะต้องกลมกลืนกับสถานที่แห่งนี้เสียก่อน
“ท่านหายดีจริง ๆ ใช่ไหมเจ้าคะ” หยางหยาง พูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ถ้าท่านยังไม่หาย ข้าจะไปตามหมอมาให้นะ” เหมยเหมย พร้อมที่จะลุกไปทันที
แม้ว่าเธอจะรู้ตัวดีว่าไม่มีใครยอมช่วยเหลือ และเท่าที่สองบ่าวรับใช้เล่าให้ฟัง จางเสี่ยวหลงก็พอเข้าใจสถานการณ์อย่างดี พวกเธอสามคนพูดได้เต็มปากว่า จะอยู่ก็ได้จะตายก็ไม่มีใครว่า ใครจะยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเธอ
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเจ้าไปพักเถอะเหนื่อยมาหลายวันแล้วเดี๋ยวจะล้มป่วยเอาได้” หลานเสวี่ยยิ้มอ่อนให้สองคน ทำให้ทั้งสองรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา ถึงจะรู้สึกว่าคุณหนูของตนเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม
“พวกเราสองคนไปพักก่อนนะเจ้าคะ หากคุณหนูต้องการอะไรเรียกพวกเราได้เลย”
“เข้าใจแล้ว ไปพักเถอะ”
สองคนก้มคำนับก่อนจะเดินออกไปจากห้อง พอเห็นแบบนี้จางเสี่ยวหลงก็รู้สึกได้ถึงความห่วงใย ของทั้งสองคน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องเข้าไปสำรวจระบบ เข้าสู่ระบบ
(ยินดีต้อนรับผู้ใช้ นี้คือระบบของท่าน)
เพียงแค่แวบเดียวนางก็เข้ามาในห้องมิติที่เป็นเหมือนโลกอีกใบหนึ่ง สายตาคมจับจองทิวทัศน์สวยงามสุดลูกหูลูกตา ท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส แต่ทว่าเธอไม่สามารถเดินออกไปได้ไกลนักเหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นขัดขวางเธออยู่
เธอเดินสำรวจจนพอเข้าใจได้ว่าพื้นที่ที่สามารถใช้ได้มีแค่ขนาดห้าตารางเมตรเท่านั้น
(ได้รับ 100 คะแนนสำหรับเข้าสู่ระบบครั้งแรก)
(ได้รับ 10 คะแนนสำหรับการสำรวจพื้นที่)
ระบบแจ้งเตือนอีกครั้ง ทำให้เธอเห็นว่า มีเมนูร้านค้า และ จำนวนแต้มที่มีแสดงอยู่มุมขวาบน อย่างกับในเกม
“ระบบ ฉันสามารถใช้แต้มทำอะไรได้บ้าง”
(สามารถแลกเปลี่ยนสินค้าในร้านค้าได้ แต่ดิฉันขอแนะนำให้ซื้อเมล็ดพันธุ์พืชสำหรับเพาะปลูก เพื่อให้ได้รับแต้มเพิ่ม และถุงมิติเพื่อเอาไว้เก็บเกี่ยวผลผลิต)
ระบบนี้มีประโยชน์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ จางเสี่ยวหลงกดเข้าเมนูก็มีรายการสินค้ามากมาย ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ มีครบหมดเลย ขอแค่มีแต้มเพียงพอก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้แล้ว
แต่ว่าจะใช้คุณหนูอย่างเธอมาปลูกผัก ไม่รู้ว่าจะเห็นยอดอ่อนของมันหรือเปล่า ชีวิตก่อนเธอไม่เคยลำบากใช้ชีวิตสุขสบาย เล่นเที่ยวซื้อของ ดูซีรีส์ จะลำบากหน่อยก็แค่เรื่องเรียนอย่างเดียว มาถึงตอนนี้เธอต้องกลายมาเป็นคนปลูกผักเสียแล้ว
(ระบบขอแนะนำว่าผู้ใช้ สามารถใช้ 4 แต้มเพื่อปลูก และ เก็บเกี่ยวอัตโนมัติ)
“แบบนี้ก็ดีเลย ถ้างั้นก็ปลูกเลยแล้วกัน”
ก่อนอื่นต้องเลือกแนวพันธุ์เสียก่อน ปลูกอะไรดีนะ เธอเห็นรูปผักกาดขาวหัวใหญ่ก็เลยเลือกมา มันฝรั่ง สองอย่างก็เต็มสวนของเธอตอนนี้แล้ว
ผักกาดขาว 5 คะแนน มันฝรั่งใช้ไป 5 คะแนนเช่นกัน แล้วก็ปลูกกับเก็บเกี่ยวอัตโนมัติ 4 คะแนนทำให้เหลือ 96 คะแนน
หลังจากที่สั่งให้ปลูกอัตโนมัติ เธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นข้าวของเครื่องใช้กำลังทำงานเอง อย่างกับในเกมปลูกผักเลย ก่อนที่เธอจะสนใจบ่อน้ำพุที่ใสสะอาดราวกับว่าเป็นน้ำวิเศษ
“น้ำพุที่นี่ดื่มได้หรือเปล่า”
(ดื่มได้ค่ะ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง และเพิ่มการเจริญเติบโตของพืชได้อีกด้วย)
จางเสี่ยวหลงไม่รอช้ารีบใช้มือสองข้างตักน้ำขึ้นมาดื่ม ทันทีที่น้ำพุซึมเข้าไปในร่างกายเธอก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าร่างกายตอนนี้เบาสบายมาก ๆ รู้สึกเหมือนจะมองเห็นชัดกว่าเดิมเสียอีก
แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจเห็นทีจะเป็นส่วนผักที่กำลังมียอดอ่อนของผักกาดขาว และ มันฝรั่งผุดขึ้นมาจากพื้น
“เติบโตเร็วมาก ๆ เลยเจ้าผักกาด เจ้ามันฝรั่งก็เหมือนกัน แบบนี้ไม่นานก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วใช่ไหม คงจะดีกว่านี้ถ้าสามารถกินได้”
(พืชที่ปลูกที่นี่สามารถรับประทานได้ตามปกติ แล้วดีต่อร่างกายมากกว่าพืชที่ปลูกข้างนอกหลายสิบเท่า)
“แบบนี้จะดีมากเลย ต่อไปไม่ต้องอดอยากอีกแล้วนะหลานเสวี่ยข้าจะดูแลร่างกายนี้ให้ดี และดูแลบ่าวรับใช้ของเจ้าด้วย” ใบหน้างามยิ้มด้วยความดีใจ
(ได้รับ 20 คะแนนสำหรับการเพาะปลูกผักกาดขาวครั้งแรก)
(ได้รับ 20 คะแนนสำหรับการเพาะปลูกมันฝรั่งครั้งแรก)
(ได้รับ 20 คะแนนสำหรับการใช้การเพาะปลูกอัตโนมัติ)
“ทำอะไรครั้งแรกจะได้รับคะแนนสินะ ตอนนี้มี 156 คะแนนแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่ารู้สึกง่วงขึ้นมาแล้วสิ ออกจากระบบ”
ทันทีที่สั่งเธอก็มาอยู่ที่ห้องเหมือนเดิม ร่างแบบบางกอดตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายรู้สึกหนาวมาก ๆ อากาศที่นี่หนาวขนาดนี้ ทำไมผ้าห่มถึงได้บางจังเลบ
(ระบบอัพเดทความทรงของเจ้าของร่าง)
“หมายความว่าไง ทำไม...ปวดหัวจังเลย”
จางเสี่ยวหลงรู้สึกปวดหัวก่อนจะหลับไป เธอตื่นมาในความฝันที่เป็นเหมือนเรื่องราวต่าง ๆ ของหลานเสวี่ย เรื่องราวสำคัญของเธอถูกอัพโหลดเข้ามาในหัวของจางเสี่ยวหลงทีละนิด
คุณหนูตระกูลขุนนางจวนเสนาบดี ใช้ชีวิตสุขสบายตั้งแต่เด็กจนกระทั่งวันที่นางต้องออกเรือนเพราะครอบครัวบีบบังคับ ตอนแรกคนที่ต้องแต่งออกไปคือ พี่สาวของหลานเสวี่ย แต่เพราะเหตุใดไม่รู้กลายเป็นว่านางต้องเข้าพิธีกับ หลงเยี่ยนองค์ชายสาม แห่งแคว้นต้าเหยียนเมื่อสี่ปีก่อน
ทว่าเขากับไม่สนใจไยดีนางแม้แต่นิดเดียว คืนเข้าหอไม่เห็นแม้แต่หน้าของเขา ผ้าปิดหน้าสีแดงของสตรีผู้งดงามยังคงอยู่เช่นเดิมจนถึงเช้า ต่อจากนั้นแม้ชีวิตจะอยู่ในจวนองค์ชาย แต่ก็เป็นแค่ในนาม ทั้งสองไม่เคยเดินสวนกันด้วยซ้ำ
หลานเสวี่ยต้องใช้ชีวิตแบบนั้นทุก ๆ วันจนกระทั่งมีเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ทำให้นางมาอยู่ในตำหนักเย็น เพราะตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต ทำให้หลายคนเคลื่อนไหว จนเกิดความวุ่นวาย และสุดท้าย หลงเยี่ยนก็ขึ้นครองราชย์กลายเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่
ทว่าตระกูลหลานที่สนับสนุนองค์รัชทายาทได้ถูกขับไล่ไปอยู่ทางใต้เพราะเป็นผู้พ่ายแพ้ ส่วนนางก็ติดร่างแหไปด้วย เดิมที่เขาก็ไม่ชอบนางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นแบบนี้เขาจึงส่งนางไปอยู่ในตำหนักเย็น
ตลอดเวลาสามปี หลานเสวี่ยดิ้นรนเอาชีวิตให้รอดในแต่ละวัน โดยมีหยางหยาง กับเหมยเหมยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งสองคนอดอยากปากแห้งมาตลอดสามปี เพราะไม่มีใครยำเกรงพระชายาตำหนักเย็น
พวกข้ารับใช้ในวังก็ไม่เห็นหัว แถมยังแอบตัดเบี้ยเลี้ยงของนางไปเป็นของพวกตัวเอง ทำให้ชีวิตของหลานเสวี่ยยิ่งลำบากกว่าเดิม จนกระทั่งล้มป่วย และเสียชีวิต
จางเสี่ยวหลงร้องไห้เมื่อรับรู้เรื่องราวทุกอย่าง เรื่องพวกนี้ราวกับว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเธอจริง ประสบการณ์ทั้งหมดเหมือนว่าเธอเคยผ่านมาด้วยตนเอง เธอสงสารผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้จับใจ
“หลานเสวี่ยฉันสัญญาว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือให้สุขสบาย รวมถึงจะดูแลคนของเธอให้อยู่ดีกินดี เธอไม่ต้องห่วงหรอกนะ สักวันฉันจะออกไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตข้างนอกอย่างมีความสุขให้ได้”
จางเสี่ยวหลงพูดกับตัวเองในความฝัน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก่อนที่เธอจะรับรู้ถึงความหนาวอีกครั้งหนึ่ง ดวงตากลมโตขยับไปมาเพื่อปรับแสงที่ส่องผ่านเข้ามา ร่างเพรียวยันตัวลุกขึ้นสำรวจร่างกายตัวเอง
แม้จะรู้เรื่องราวมากมายแต่เธอก็คิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างคนอื่น แม้จะรู้สึกว่าเธอเป็นหลานเสวี่ยจริง ๆ ก็ตาม
ผู้หญิงคนนี้งดงามเหลือเกิน ใบหน้าสวยได้รูป หุ่นเพรียวผิวพรรณผุดผ่อง ดูดีจริง ๆ ขนาดเธอที่ชีวิตก่อนก็สวยอยู่แล้วยังต้องอิจฉา แม้จะอยู่ในชุดผ้าไหมสีขาวเก่า ๆ ยังดูดีขนาดนี้เลย จางเสี่ยวหลงคิดในใจว่า ฮ่องเต้องค์นั้นคงตาบอดไปแล้วที่ไม่ทะนุถนอมนางเอาไว้
ผู้หญิงที่งดงามทั้งนอกและในแบบหลานเสวี่ย ต่อให้เขาหาผู้หญิงแบบนี้ทั้งแผ่นดินก็คงไม่มีใครเทียบได้ ช่างเถอะต่อไปต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ก่อน
“แต่ตอนนี้หิวจังเลย มีอะไรกินบ้างไหมเนี่ย”
“คุณหนู ท่านล้างหน้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ เสร็จแล้วบ่าวจะให้เหมยเหมยยกอาหารมาให้” หยางหยางยกถังน้ำมาให้
จางเสี่ยวหลงสามารถจดจำสิ่งที่ร่างนี้เคยทำมาก่อน เธอเลยทำทุกอย่างได้อย่างดี
“คุณหนู ทำไมท่านดู... เหมือนจะอวบอิ่มขึ้นมานะเจ้าคะ ผิวพรรณสดใสขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน สวยมากเลยเจ้าค่ะ”
จางเสี่ยวหลงแทบจะไม่อยากเชื่อว่านั้นคือเรื่องจริง เธอก็คิดว่าตัวเองรู้สึกเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ข้าเป็นแบบนั้นจริงหรือ เอากระจกมาให้หน่อยสิ”
เมื่อมองตัวเองในกระจกก็รับรู้ว่าเป็นอย่างที่นางบอกจริง เพราะอะไรกันนะทำไมถึงดูดีผิดหูผิดตาแบบนี้ ก่อนยิ้มดีใจให้กับตัวเอง คนอะไรสวยขนาดนี้
“อาหารมาแล้วเจ้าคะ”
เมื่ออาหารเข้ามาเธอก็หันไปให้ความสนใจ เพราะกำลังหิวอยู่พอดี แต่ทว่าตรงหน้าเรียกว่าอาหารได้หรือเปล่าเนี่ย ทำไมมันเหมือนอ้วกแทนที่จะเป็นอาหาร เธอขยี้ตาดูอีกรอบก็คงเป็นเหมือนเดิม
หลานเสวี่ยเธอต้องกินอาหารพวกนี้ทุกวันสินะ แต่จางเสี่ยวหลงไม่มีวันที่จะตักอาหารแบบนี้เข้าปากแน่ ยอมตายดีกว่า ถ้าให้กินของแบบนี้
“ข้ากินไม่ลงหรอกนะ มันน่า.... ไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรออย่างเช่น หมูผัดพริก ไก่ย่าง หรือซาลาเปาไส้หมูก็ได้”
ทั้งสองคนก้มหน้ารู้สึกผิดที่รับใช้ให้คุณหนูของตนได้ทานอาหารดี ๆ ไม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจวนตระกูลหลาน ไม่มีทางให้คุณหนูของพวกเธออดอยากแน่นอน
“เอาละ ไม่ต้องทำหน้าแบบนี้หรอกข้าไม่โทษพวกเจ้า แต่ว่านะต่อไปเราจะไม่กินอาหารพวกนี้อีกแล้ว ข้าจะทำอาหารให้พวกเจ้ากินเอง” เธอพูดด้วยท่าทางมั่นใจ เพราะฝีมือทำอาหารของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าเชฟมิชลินเลย
“แต่เราไม่มีข้าวของอะไรเลยนะเจ้าคะ”
“พวกเขาให้เราแค่นี้ ข้าขอโทษคุณหนู”
แน่นอนว่าเธอรู้ดี เพราะเธอเพิ่งคิดออกว่าตัวเองปลูกผักกาดขาวเอาไว้อยู่
“รอดูได้เลย เดี๋ยวข้าจะใช้เวทมนตร์ให้พวกเจ้าดู” จางเสี่ยวหลงพูดหาข้ออ้างไปตามสถานการณ์ เธอคิดว่าให้พวกเขาเข้าใจว่าเธอมีเวทมนตร์ดีกว่าต้องปิดบัง ถึงจะไม่รู้ว่าเวทมนตร์มีจริงหรือเปล่า
ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างงุนงง พวกเธอก็พอรู้ว่ามีหลายคนใช้วิชาเวทมนตร์ได้ แต่คุณหนูของเธอเคยเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
หลานเสวี่ยเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวัน แต่นางยังคงเป็นกังวลเรื่องหลงเยี่ยน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรสนใจ แต่ภาพของเขายังคงวนเวียนอยู่ในใจ ตลอดเวลาหลายวัน นางนอนพลิกไปพลิกมา เพราะเรื่องเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านนี้คงกลับโลกเดิมไปแล้ว เพราะคะแนนเพียงพอ แต่นางยังคงรอให้เขากลับมาก่อน “หวังว่าเขาจะปลอดภัย” นางพึมพำก่อนหลับตาลงวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวจากสนามรบมาถึงเมืองหลวง โดยมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ได้ยินว่าท่านแม่ทัพบาดเจ็บ ก็ทำเอาหลานเสวี่ยใจคอไม่ดี รีบเตรียมน้ำวิเศษเอาไว้รอเขา ร่างเพรียวบางสวมอาภรณ์สีน้ำเงินอ่อน เดินไปมาหน้าจวนตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าได้รับชัยชนะนางก็มารอ แม้ทหารยามจะบอกว่าอีกสี่ห้าวันถึงจะมาถึงแต่นางไม่อาจอยู่นิ่งได้ ราวกับมีก้อนไฟที่สุมอยู่ในอกข้างซ้าย นางถึงขั้นนั่งรอตั้งแต่เช้ายันฟ้ามืด โดยหารู้ไม่ว่าหลงเยี่ยนมาถึงแล้ว แต่ใช้ประตูมิติไปที่ห้องหนังสือแทน พอรู้ว่านางรอเขาก็ได้แต่หัวเราะออกมา “ต่อให้ทำดี ข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ” เขาได้แต่มองนางอยู่ข้างในจวนราวกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ความรู้สึก และความต้องการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทำให้เ
เช้าตรู่ของวันใหม่ เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารดังสะท้อนไปทั่วจวน ก่อนที่ทหารคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ท่าทีเร่งรีบของ แม่ทัพเฉินพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมเดินเข้ามา “กราบทูลท่านแม่ทัพ! ทัพศัตรูจากแคว้นกุ้ยโจว กับแคว้นหานโจวได้เคลื่อนพลประชิดชายแดนแล้วขอรับ!”หลงเยี่ยนที่กำลังอ่านรายงานอยู่ เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบแสดงถึงความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว ก่อนจะออกคำสั่ง “จัดเตรียมกองกำลัง ข้าจะออกไปบัญชาการศึกด้วยตัวเอง”แม่ทัพเฉินคำนับและออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลงเยี่ยนลุกขึ้นและเดินผ่านห้องโถง หลานเสวี่ยที่เพิ่งตื่นและได้ยินข่าวลือในจวน รีบตรงไปหาหลงเยี่ยน นางเอกก็แปลกใจอยู่หลายส่วน เพราะต้าเหยียนไม่ใช่เมื่อก่อนที่ขาดแคลนเสบียง แถมตอนนี้กำลังทหารน่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนกุ้ยโจว กับ หานโจ คิดทำอันใดอยู่ถึงกล้าทำเช่นนี้ นางเดินมาส่งหลงเยี่ยนอย่างจำใจ ถ้าหากเขาออกไปแล้วนางก็จะไม่ขออยู่จวนแม่ทัพอีก “ท่านแม่ทัพ ข้าได้ยินว่าศัตรูมาประชิดชายแดน ท่านจะไปออกศึกหรือเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของหลานเสวี่ยเจือความกังวล แม้จะพยายามปกปิดความดีใจของตน“เจ้าคงดีใจ และสาปแช่งให้ข้ามีอันเป็นไปกระมัง ถึงยิ้มออกน
หลานเสวี่ยถูกกักบริเวณไว้ในจวนของแม่ทัพ นางไม่สามารถออกไปได้เพราะมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะคะแนนความดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่แปลกคือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ราวกับว่านางเปิดร้านเป็นร้อยสาขาไม่นานก็ตกเย็นยังไม่เห็นเงาของหลงเยี่ยนเลย แต่ก็ดีนางคิดในใจ ก่อนจะเดินไปมาในจวน แล้วนึกขึ้นได้เมื่อเห็นทหารยาม“ข้าถามอะไรได้หรือไม่” นางเดินมาถามทหารยาม เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเสวี่ย ทหารยามก็ทำความเคารพอย่างเคร่งครัด สงสัยคงไม่ได้รู้เรื่องของนาง นับว่าฮ่องเต้บ้าอำนาจยังเป็นคนดีอยู่บ้าง“มีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ” ทหารยามก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“แค่อยากถามเท่านั้นเอง แล้วท่านแม่ทัพหายไปไหนหรือ มืดค่ำเช่นนี้ยังไม่กลับมาอีก” สงสัยคงไม่อยากเจอหน้านางหรือ“ท่านแม่ทัพออกไปแจกเสบียงขอรับ” “เสบียงอะไรหรือ” “แม่นางคงยังไม่รู้ ท่านแม่ทัพเอาเงินส่วนตัวมาซื้อเสบียงแจกจ่ายให้กองทัพ เห็นที่ร้านสะดวกซื้อของท่านสินค้าคงไม่เหลือแล้ว” ทหารยามพูดไปยิ้มไป หลานเสวี่ยจึงพอเข้าใจ ที่แท้เป็นเขาเองหรือที่อยากให้นางกลับโลกเดิมเร็ว ๆ จนใช้วิธีนี้ ชิงชังกันขนาดนั้นเชียวหรือ นางกัดฟันแน่นคิดแล
ร่างเพรียวถอยห่างแต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไว้ ไม่ยอมให้ริมฝีปากหวานหนีพ้น มือเล็กอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน เสียงหัวใจพลันเต้นโครมครามราวกับกลองศึก เลือกในกายสูบฉีด ไปต่างจากคนตัวโตที่ทุบกำแพงสูงใหญ่ข้ามความกลัวของตัวเอง เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน เขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยนางไปอีกครั้ง ต่อให้นางยอมตรอมใจตายตามคนอื่น เขาก็จะชุบชีวิตนางขึ้นมา หลงเยี่ยนกอดรัดร่างแบบบางให้แนบชิดแผ่นอก ริมฝีปากหนักหน่วงดันลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจโพรงปากหวาน หลานเสวี่ยตาเบิกกว้างเมื่อสัมผัสลิ้นนุ่ม ทว่าทุกอย่างราวกับสายฟ้าแลบ เพียงชั่วอึดใจ นางก็ถูกหลงเยี่ยนดูดดึงลิ้นเล็กอย่างเอาแต่ใจ ความหิวโหยหนักหน่วงไม่ลดละ เข้าไม่ปล่อยให้นางได้หลีกหนี ร่างสูงรวบตัวยาวขึ้นก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน หลานเสวี่ยอายจนหน้าแดงก่ำ แต่นางกลัวมากเมื่อรู้ว่าถูกพาเข้ามาในห้อง“ฝ่าบาทจะมำอันใดหรือเพคะ...” นางพูดเสียงสั่นเครือ เรียกด้วยสถานะจริงของเขา “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง” หลานเสวี่ยไม่อยากฉวยโอกาส ใช้ร่างกายของคนอื่น แม้ว่าหัวใจนางจะปลิวละล่องไปตามเขาแล้ว“วันนี้เรามาเข้าหอกันใหม่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าอีกแล้ว เป็นของข้าทั้งตัวทั้งใจเถิด
หลงเยี่ยนกระชากแขนเรียวดึงเข้าหาตัว สายตาพลันจับจ้องดวงหน้าสวย ทั้งคู่มองตาไม่กะพริบ มือเรียวดันแผ่นอกเอาไว้ หลงเยี่ยนมองนางด้วยสายตาสับสน เหมือนความคิดของเขาที่ไม่ตรงกัน ยิ่งหลานเสวี่ยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกความจริง หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมา ใบหน้าคมสวยไม่กล้าสบตาคู่นั้น หันไปมองโคมไฟข้างฝาแทน แต่มือหนาประคองแก้มนวลให้หันมาสบตาเช่นเดิม“เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือ ถึงขนาดนี้เจ้ายังมองข้าเป็นคนอื่นหรือไร บอกความจริงเถิด” หลงเยี่ยนคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ใบหน้าแสดงออกถึงความสับสนและร้อนรุ่มในใจ แต่จะให้หลานเสวี่ยทำอย่างไร หากบอกไปชีวิตนางจะยังเหลือให้กลับบ้านอีกหรือ นางกลัวจนหัวใจเต้นระรัว ร่างกายแบบบางสั่นเทา “ข้าน้อยบอกไม่ได้...ข้าน้อยไม่มีทางคิดเป็นอื่น” นางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาคู่งามยามจ้องมองฉายแววเศร้าหมอง คิ้วสวยหักลงยามที่นึกถึงชะตากรรมตัวเอง เขารักหลานเสวี่ยมากเท่าใดไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ หากทุกอย่างเปิดเผยถึงคราวนั้นชีวิตจางเสี่ยวหลงจะเป็นยังไง “เหตุใดถึงปากแข็งนัก แค่เจ้าพูดมาข้าก็ช่วยเจ้าได้ หรือที่เจ้าไม่พูดเพราะเกี่ยวกับกวนเหยาหมิง” หลงเยี่ยนพูดพลางบีบมือเรียวสุด
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ