หลี่อวิ้นกุยเกิดมาพร้อมกับการจากไปของผู้เป็นมารดา เขาจึงไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในครอบครัว ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาในยามนั้นแย่ยิ่งกว่าบ่าวรับใช้ในเรือนหลังนั้นเสียอีก แม้ว่าผู้เป็นตากับยายจะรับตัวเขากลับมาอยู่ที่เรือนหลักของตระกูลแล้ว แต่ก็ได้ส่งตัวเขาให้บ่าวก้นครัวเป็นผู้ดูแล เขาจึงเติบโตมาพร้อมกับความเกลียดชังของคนในครอบครัว แล้วในทุกครั้งที่มีคนในครอบครัวบังเอิญเดินมาเจอกับหลี่อวิ้นกุย ก็มักจะด่าทอเขาด้วยคำพูดที่ว่า เขาคือคนทำให้มารดาของตัวเองต้องตาย!
แล้วทุกอย่างก็ได้ผ่านล่วงเลยไปแบบนั้น จนมาถึงวันหนึ่งในขณะที่หลี่อวิ้นกุยวัยเจ็ดหนาวตามคนครัวออกไปช่วยซื้อของในตลาดเหมือนทุกวัน เนื่องจากในช่วงเช้าแม่ครัวทุกคนจะยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารจนไม่มีเวลามาคอยดูแลเขา ซึ่งทุกคนในครัวต่างก็รู้ดีว่าหากทิ้งเด็กชายเอาไว้เพียงลำพัง บุตรของบ่าวในเรือนส่วนอื่น ๆ จะเข้ามาล้อเลียน กลั่นแกล้ง และคอยมารังแกคุณชายน้อยผู้นี้อยู่เสมอ
แต่ในวันนั้นหลี่อวิ้นกุยได้พลัดหลงกับแม่ครัวที่ออกมาซื้อของด้วยกัน แล้วเดินไปชนเข้ากับกลุ่มบุตรชายของแม่ค้าในตลาด จึงทำให้เขาถูกเด็กโตกลุ่มนั้นรุมทำร้าย แม้ว่าหลี่อวิ้นกุยจะยังเด็กและไม่เคยใช้กำลังต่อสู้กับผู้ใดมาก่อน แต่เขาก็พยายามที่จะต่อสู้ และพยายามที่จะปกป้องตัวเองอย่างเต็มที่
แล้วในขณะนั้นจิ่นโซวลูกน้องคนสนิทของหลี่อวิ้นเซียน ซึ่งตามเหล่าปีศาจที่หลบหนีจากการจับกุมเข้ามาซ่อนตัวในฝั่งของพวกมนุษย์ ผ่านมาเห็นเหตุการณ์นั้นเข้า โดยเขาได้สังเกตเห็นถึงพลังสายหนึ่ง แล้วยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันที่มักจะแผ่โอบล้อมรอบตัวของคนเผ่ามารยามใช้กำลังต่อสู้ ซึ่งบรรยากาศแบบนี้เป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้คนเผ่ามารอยู่เหนือกว่าปีศาจเผ่าอื่น ๆ แล้วยิ่งผู้ที่สืบทอดสายเลือดจากมารผู้เป็นราชาปีศาจ พลังและบรรยากาศกดดันก็จะยิ่งเข้มข้น
ซึ่งในยามนั้นจิ่นโซวก็ได้เห็น และสัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านั้นออกมาจากตัวเด็กชายกลางวงล้อม แล้วเพียงไม่นานกลุ่มของเด็กตัวโตที่กำลังรุมทำร้ายเด็กคนนั้นก็ทยอยกันล้มลงไปกองกับพื้น ซึ่งสภาพของแต่ละคนราวกับว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจตาย เขาจึงต้องรีบเข้าไปดึงสติเด็กชายคนนั้น ก่อนจะมีผู้ใดขาดใจตายลงไปจริง ๆ
เมื่อเด็กชายดึงสติของตัวเองกลับมาได้ จิ่นโซวจึงรีบพาหลี่อวิ้นกุยกลับไปส่งที่เรือน จากนั้นเขาก็ตามดูชีวิตความเป็นอยู่พร้อมกับส่งคนไปตามสืบประวัติความเป็นมาของเด็กชาย จนเขาได้รับรู้เรื่องราวที่ผ่านมาของหลี่อวิ้นกุยทั้งหมด หลังจากนั้นจิ่นโซวจึงทำการส่งสารไปแจ้งต่อผู้เป็นนาย แล้วเพียงไม่นานหลี่อวิ้นเซียนก็ส่งสารสั่งการให้เขาพาตัวหลี่อวิ้นกุยกลับไปพบเจ้าตัวที่วังราชาปีศาจทันที
จิ่นโซวจึงรีบเข้าไปพูดคุยกับผู้เป็นตาและยายของหลี่อวิ้นกุย เพื่อขอรับตัวเด็กชายไปอยู่กับผู้เป็นบิดาของเจ้าตัว ซึ่งคนทั้งสองก็ได้ตอบรับคำขอนั้นของเขาในทันที แต่ก็จะมีเพียงผู้เป็นน้าที่ดูเหมือนจะไม่ต้องการให้หลี่อวิ้นกุยไปกับเขา โดยเซียวชิงเถาได้ทำการแสดงให้เขาเห็นว่า นางห่วงใยในตัวหลานชายมากแค่ไหน ก่อนจะยื่นข้อเสนอว่าหากเขาต้องการจะพาตัวหลี่อวิ้นกุยไปอยู่กับผู้เป็นบิดาที่เผ่ามารให้ได้ นางก็จะอาสาตามไปคอยดูแลหลานชายของนางด้วยตัวเอง แม้ในยามนั้นจิ่นโซวจะยังไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของนาง แต่อย่างน้อยนางก็เป็นญาติของเด็กชาย ซึ่งมันก็เป็นการดีกับหลี่อวิ้นกุยที่จะมีมนุษย์ไปอยู่กับเจ้าตัวที่นั่นด้วย
จากนั้นหลี่อวิ้นกุยจึงได้เดินทางข้ามเขตแดนเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในวังของราชาปีศาจในฐานะองค์ชายสาม โดยมีเซียวชิงเถาติดตามไปอยู่ที่นั่นด้วย แม้ความเป็นอยู่จะดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ด้วยความที่หลี่อวิ้นกุยมีเลือดของมนุษย์ไหลเวียนอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง เขาจึงไม่เป็นที่ยอมรับของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากนั้นไม่นานผู้เป็นบิดาก็ได้สั่งให้เขาเข้าไปศึกษาวิชาต่าง ๆ ในสำนักศึกษาของเผ่ามาร
ด้วยความที่อยากให้ตนเองเป็นที่ยอมรับ หลี่อวิ้นกุยจึงพยายามกับการฝึกวรยุทธและการเรียนรู้วิชาต่าง ๆ ในเผ่ามาร แล้วก็ด้วยความที่หลี่อวิ้นกุยสามารถเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาจึงกลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญขององค์ชายใหญ่ในการสืบทอดตำแหน่งราชาปีศาจต่อจากผู้เป็นบิดา
ซึ่งหลังจากนั้นชีวิตของหลี่อวิ้นกุยก็เริ่มเผชิญหน้ากับการถูกลอบฆ่า ทั้งจากนักฆ่าและจากยาพิษที่เหล่าพี่น้องต่างมารดาส่งมาทักทายเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังดีที่ผู้เป็นบิดาได้ส่งมือดีของเจ้าตัวมาคอยดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ให้กับเขา หลี่อวิ้นกุยจึงยังสามารถรักษาชีวิตในวัยเยาว์ของตนเองเอาไว้ได้
ถึงแม้ว่าเมิ่งเจียวซินจะจำรายละเอียดบทบรรยายถึงชีวิตในวัยเยาว์ที่น่าสงสารของพระเอกนิยายเรื่องนี้ได้ แต่เมื่อนึกไปถึงการกระทำหลังจากที่พระเอกเข้าสู่ด้านมืดแล้ว แม้การแก้แค้นในบางเรื่องมันอาจจะดูสมเหตุสมผล แต่การกระทำบางอย่างของพระเอกที่ลงมือกับผู้บริสุทธิ์เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและการยอมรับ แล้วในบางครั้งพระเอกถึงกับลงมือทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เพียงเพราะต้องการจะได้เห็นสีหน้าและแววตาที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดของคนผู้นั้น เพื่อตอบสนองความบิดเบี้ยวในใจของตัวเอง แล้วก็เพื่อจะลบภาพความเจ็บปวดในอดีตที่เจ้าตัวเคยได้รับมา ซึ่งสำหรับเมิ่งเจียวซินแล้วมันถือเป็นเรื่องที่ผิด และเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากยืนทบทวนข้อมูลต่าง ๆ ในนิยายมาได้สักพัก เมิ่งเจียวซินจึงหยุดพักความคิดของตนเองเอาไว้ก่อน แล้วเดินกลับมาเตรียมของเพื่อไปจัดการดูแลตัวเอง โดยใช้ความทรงจำที่ได้รับมาเมื่อครู่เป็นตัวบอกว่าของใช้ต่าง ๆ วางอยู่ที่ไหน แล้วก็เพราะความทรงจำที่ได้รับมาจึงทำให้นางรู้ว่า ที่จริงบิดาของร่างนี้เป็นหมอที่มีฝีมือคนหนึ่งเลย หาได้เป็นเพียงหมอประจำร้านขายยาสมุนไพรอย่างที่อาหวงบรรยายเอาไว้ในนิยาย ซึ่งในยามนี้เจ้าตัวได้ถูกว่าจ้างโดยผู้มีอำนาจฝั่งของพวกเผ่ามารและเผ่าปีศาจให้ออกเดินทางไปทำการรักษาคนของอีกฝ่ายที่นั่น ส่วนมารดาเจ้าของร่างนี้ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว ตอนนี้ในเรือนจึงเหลือเพียงสตรีอยู่ด้วยกันแค่สามคน นอกจากตัวนางก็จะมีแม่นมที่คอยดูแลเจ้าของร่างนี้มาตั้งแต่เกิดมีนามว่าจูมี่ และหลานสาวห่าง ๆ ของแม่นม ซึ่งเป็นตัวละครฝั่งตัวร้ายมีนามว่าซุนเย่ผิง
โดยตัวละครฝั่งตัวร้ายนางนี้ หลังจากที่จูมี่ป้าของนางขอลากลับไปดูแลบุตรชายที่ล้มป่วยยังบ้านเดิมเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในวันนั้นเมื่อจูมี่ก้าวขาออกจากเรือน แล้วหลังจากที่ซุนเย่ผิงจัดการงานต่าง ๆ ภายในเรือน และจัดเตรียมสำรับทั้งสามมื้อไว้ให้กับเมิ่งเจียวซินเสร็จ นางก็เข้ามาขออนุญาตผู้เป็นนายออกไปเที่ยวเล่นกับสหายทันที ซึ่งเมิ่งเจียวซินคนเก่าก็อนุญาตโดยไม่ได้สอบถามเลยว่า นางจะกลับมาถึงเรือนอีกครั้งในยามใด แล้วในเช้าวันถัดมาเมื่อเมิ่งเจียวซินคนเก่าเดินออกมาจากห้องพักก็ได้เห็นว่าซุนเย่ผิงกำลังลงมือจัดการกับงานทุกอย่างในเรือน ก่อนจะเข้ามาขออนุญาตออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกอีกครั้ง
ซึ่งหลังจากวันที่ซุนเย่ผิงเข้ามาขออนุญาตออกไปเที่ยวเล่นกับสหายในครั้งแรก จนมาถึงตอนนี้ นางก็ได้ทำตัวแบบเดิมมาแล้วถึงสามวัน โดยในแต่ละวันนางก็ยังคงรับผิดชอบงานในส่วนของตนเองได้เป็นอย่างดี แล้วก็ด้วยความที่ซุนเย่ผิงมีอายุมากกว่าเมิ่งเจียวซิน เจ้าของร่างนี้คนเดิมจึงคร้านที่จะใส่ใจเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย
แล้วก็เพราะความไม่ใส่ใจนั้น เจ้าของร่างนี้คนเดิมจึงไม่เคยรับรู้เลยว่า ตนเองได้ถูกทิ้งให้นอนอยู่ในเรือนหลังนี้คนเดียวทุกคืน แล้วก็จะเป็นเช่นนี้ไปจนถึงวันที่แม่นมของเจ้าตัวเดินทางกลับมา...
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
เมิ่งเจียวซินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรวบรวมสติเพ่งมองภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า เธอเห็นหลี่อวิ้นกุยควบม้าตะบึงนำเหล่าองครักษ์ออกจากเขตวังราชาปีศาจ จากที่เธอสังเกตราวกับว่า...มีกล้องวีดีโอคอยตามถ่ายความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นกุย แล้วส่งเรื่องราวเหล่านั้นมาให้เธอดู เมิ่งเจียวซินเห็นหลี่อวิ้นกุยนำเหล่าองครักษ์เข้าต่อสู้กับกลุ่มคนชุดดำที่กำลังโจมตีขบวนรถม้า... หากวัดจากจำนวนคน...ฝ่ายของหลี่อวิ้นกุยน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเท่าตัว แต่ทว่าหากวัดจากฝีมือการต่อสู้ และพลังที่ปล่อยออกมา ฝ่ายของบุรุษที่เธอรักดูเหนือกว่ามาก ในขณะที่หลี่อวิ้นกุยต้องรับมือกับเหล่าศัตรูถึงห้าคนพร้อมกัน เจ้าตัวเกิดพลาดถูกดาบของหนึ่งในห้าฟันเข้าที่ต้นแขนข้างขวา แล้วแทนที่เลือดจะไหลซึมออกมาเป็นสีแดง แต่ทว่ามันกลับเป็นสีดำ!
เมิ่งเจียวซินรีบดึงสติของตัวเองกลับมา จากนั้นก็ก้มลงไปหยิบปากกา เธอยื่นมันกลับไปให้บุรุษหนุ่มตรงหน้า ระหว่างนั้นคุณหมอนพชัยก็เชิญเธอลงมานั่งพูดคุยด้วย แต่ทว่า... “ผมเซ็นยินยอมเข้าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีก ตอนนี้คุณหมอนพชัยควรเก็บเอกสารส่วนตัวของผมทั้งหมดกลับเข้าไปในแฟ้ม แล้วผมจำได้...เมื่อครู่คุณหมอนพชัยบอกว่า ช่วงสายมีเคสผ่าตัดไม่ใช่หรือครับ?” “ครับ...จริงด้วยครับ อย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” เมิ่งเจียวซินขยับลงไปนั่งที่เก้าอี้ เธอจ้องมองบุรุษหนุ่มบนรถเข็น แม้แต่สีหน้า และท่าทีเวลาข่มขู่ผู้อื่น บุรุษหนุ่มก็ยังเหมือนกับคนในความทรงจำของเธอ เมื่อคุณหมอนพชัยเดินห่างออกไปพอสมควรแล้ว เมิ่งเจียวซินก็เห็นคุณใหญ่หันกลับมา แล้วเตรียมอ้าปากเหมือนจะพูด เธอจึงชิงถามออกไปก่อนว่า
เมิ่งเจียวซินรีบดึงสติ ปรับลมหายใจ อาจเพราะเธอรู้ชื่อจริงของคุณใหญ่จึงได้รู้สึกหวั่นไหวเช่นนี้ พอรวบรวมสติของตัวเองกลับมาได้ เมิ่งเจียวซินจึงรับรู้ว่า พ่อบ้านเจิ้งกำลังเล่าเรื่องอะไรบางอย่างให้เธอฟัง แล้วด้วยความที่ไม่ได้ฟังมาตั้งแต่แรก เธอจึงหันไปทำทีพยักหน้า พร้อมกับส่งยิ้มน้อย ๆ จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เริ่มฟังว่า บุรุษสูงวัยกำลังเล่าเรื่องอะไร ซึ่งเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าก็คือ เรื่องเดียวกับที่คุณยายใบบัวเพิ่งจะเล่าให้เธอฟัง แล้วในขณะที่เมิ่งเจียวซินหันไปให้ความสนใจกับพ่อบ้านเจิ้ง เธอก็รับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมองมา แต่พอเธอหันไปทางนั้น...ผู้ที่แอบมองกลับรีบก้มหน้าหลบตา เมื่อเห็นเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินจึงลอบสังเกตฝ่ายตรงข้าม คุณใหญ่หลี่อวิ้นกุยมีอายุน้อยกว่าเธอสองปี แล้วเกือบสามเดือนที่ผ่านมา...เจ้าตัวนอนหลับอยู่บ
ระหว่างนั้นพยาบาลได้เข็นรถอาหารเข้ามาในห้องพัก จากนั้นพยาบาลคนดังกล่าวก็เดินเข้ามาปรับเตียง พร้อมกับจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทานอาหารให้กับเมิ่งเจียวซินจนเรียบร้อย ก่อนจะถอยออกไปจากห้อง เมิ่งเจียวซินยื่นมือออกไปเตรียมจะหยิบช้อน แต่ทว่าคุณยายใบบัวก็ชิงหยิบช้อนตัดหน้า จากนั้นอีกฝ่ายก็ตักข้าวต้มกุ้ง แล้วยื่นมาชิดที่ริมฝีปากของเธอ “บาดแผลที่บ่าเพิ่งจะสมานกัน คุณหมอสั่งว่า ช่วงนี้ใบหม่อนควรเคลื่อนไหวแขนข้างขวาให้น้อยนะลูก” เมิ่งเจียวซินพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง เพราะรู้ดีว่า ช่วงที่เธอนอนไม่ได้สติเกือบเก้าวันคงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นห่วงมาก เวลานี้คุณยายใบบัวอยากทำอะไร เธอก็จะยอมตามใจทุกอย่าง เธอส่งยิ้มปลอบโยนให้ผู้เป็นยาย ก่อนจะอ้าปาก แล้วในขณะนั้นภาพของใครอีกคนที่เมิ่งเจียวซินยอมให้ป้อนอาหารใส่ปากก็ทับซ้อนกับสตรีส
เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมาก็เห็นเพดานห้องที่ดูเหมือนจะทั้งคุ้น และไม่คุ้นตา ยามนี้นางรู้สึกมึน และรู้สึกปวดศีรษะมาก นางจึงหลับตาลง แล้วลองลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างช้า ๆ จากนั้นจึงก้มลงไปมองสำรวจร่างกายของตัวเอง... ‘ผ้าห่มโรงพยาบาล ผ้าก๊อซ สายน้ำกลือ?’ เมิ่งเจียวซินละสายตาจากสายน้ำเกลือที่เสียบอยู่บนมือข้างซ้าย จากนั้นก็สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง นางเห็นคุณยายใบบัวกำลังนั่งพูดคุยอะไรบางอย่างกับหมอ และพยาบาลอยู่ที่โซฟา แล้วเมื่อคนทั้งสามหันมาสบตากับนาง “ใบหม่อน! หนูฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้างลูก? เจ็บตรงไหนบ้าง?” เมิ่งเจียวซินมองคุณยายใบบัว หมอ และพยาบาลที่เดินเข้ามาสอบถาม แล้วไล่ตรวจดูร่างกายของนาง โดยในระหว่างนั้นเมิ่งเจียวซินสังเกตเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงจากผู้เป็นยาย รวมไปถึงน้ำตาที่ไ
หลังจากนั่งพูดคุยวางแผนทั้งตั้งรับ และสู้กลับเกือบสองชั่วยาม หลี่อวิ้นกุยก็รีบขอตัวกลับไปป้อนยาเมิ่งเจียวซินที่ตำหนัก ก่อนออกมาเขาได้ฝากจิ่นโซวกับโจวหลิวอิงดูแลความปลอดภัยของผู้เป็นบิดา เพราะถึงพวกเขาจะสั่งปิดเส้นทางลับใต้ดินไปแล้ว และยังส่งเหล่าทหารไปเฝ้าหน้าปากทางเข้าออก แต่ทว่าจะประมาทคนมากเล่ห์เจ้าแผนการอย่างหลี่อวิ้นหยางไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อกลับมาถึงตำหนัก หลี่อวิ้นกุยก็ได้รับรายงานว่า ยามนี้ขบวนรถม้าของเมิ่งเจียวฉือเข้ามาในเขตของเผ่ามารแล้ว เขาจึงตัดสินใจให้องครักษ์รีบไปดูที่ประตูพระราชวังทางทิศตะวันออก หากปลอดภัยก็ให้ผู้นำขบวนรถม้าพาเมิ่งเจียวฉือเข้ามาทางประตูนั้นได้เลย แต่ถ้าหากดูแล้วน่าจะไม่ปลอดภัย หรือน่าจะเกิดปัญหาในขณะเคลื่อนขบวนรถม้าเข้ามา ก็ให้รีบไปแจ้งผู้นำขบวนถอยขบวนรถม้าไปพักที่จวนตระกูลโจวก่อน เมื่อสั่งการเสร็จ หลี่อวิ้นกุยก็รีบปรับลมหายใจ รวบรวมสติ พอสงบใจลงได้ เขาจึงเดินไปเปิดประตูห้องพักของเมิ่งเจียวซิน&n